4 เติบใหญ่
แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า สาดส่องลอดรูของหลังคาหญ้าแห้งที่ชำรุด ลงมาปะทะกับดวงตาน้อยๆ ที่กำลังหลับพริ้มของเซน เขาค่อยๆ ปรือตาขึ้นมาเพื่อปรับการมองเห็นหลังจากที่พึ่งตื่นนอน ตอนนี้เป็นเวลาของเช้าวันใหม่ เรื่องร้ายๆ เมื่อคืนได้ผ่านพ้นไป แต่ซากของมันยังไม่สูญหาย ในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก ยังมีศพของพ่อ แม่เลี้ยงและคนอื่น ๆ ภายในบ้าน เพราะฉะนั้นเช้านี้เขาจะต้องรีบไปแจ้งทางการ เพื่อให้เข้ามาจัดการศพพวกนี้ก่อน
“ตื่นได้แล้ว อย่ามาติดนิสัยลูกคนมีอันจะกินที่นี่ อย่าลืมว่าพ่อเจ้าตายแล้ว โจเซฟ” เซนเอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับกระชากผ้าห่มผืนเก่าออกจากตัวโจเซฟ ก่อนจะลุกออกจากก้อนฟาง และเดินไปเปิดประตูเพื่อออกไปด้านนอก โดยไม่รอว่าน้องชายของตนจะตื่น และลุกตามมาหรือเปล่า
“ท่านพี่ ท่านจะไปไหน?” โจเซฟรีบลุกและเดินตามพี่ชายของตนออกมา มือน้อยๆ ยกขึ้นขยี้ตาอย่างงัวเงีย
“บ้านเจ้า” เซนเอ่ยโดยไม่ได้หันกลับมามอง เขาตั้งหน้าตั้งตาเดินไปดูที่คฤหาสน์ก่อน ว่ายังมีผู้รอดชีวิตคนอื่นอีกหรือไม่ เหตุที่เขาไม่ดูก่อนออกจากคฤหาสน์ไปตั้งแต่เมื่อคืน เป็นเพราะเกรงว่าจะมีโจรกลับเข้ามาอีกครั้งและจะเกิดอันตรายขึ้นซ้ำอีก
“ไม่ไปไม่ได้หรอ ข้ากลัว” โจเซฟรีบเดินเข้ามาดึงชายเสื้อของเซนเอาไว้ เพื่อรั้งให้เขาหยุดเดิน
“เจ้าก็ไม่ต้องไป ข้าไปเอง” พูดจบ เซนก็ดึงชายเสื้อของตนออกจากมือน้อยๆ ก่อนจะหันหลังและมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ต่อ แต่แทนที่โจเซฟจะเดินกลับไปรอที่บ้านไม้เก่าๆ ที่เขาพึ่งจากมา เขากลับเดินตามเซนไปอย่างไม่ห่างด้วยท่าทางที่หวาดหวั่นกับสิ่งที่จะได้พบ
เมื่อมาถึงคฤหาสน์ ก็พบว่ามีทหารมากมายเต็มไปหมด พวกเขากำลังขนศพที่อยู่ในบ้านออกมา คาดการณ์ว่าเหตุการณ์เมื่อคืนน่าจะมีคนรอดชีวิตไปแจ้งข่าวทางการได้ ก่อนที่จะมีทหารคนหนึ่งที่ดูน่ายำเกรงที่สุด ซึ่งกำลังยืนจับกลุ่มคุยกับคนอื่นๆ อยู่ด้านหน้าประตูหันมาเจอพวกเขา
“พวกเจ้าเป็นใคร?” ทหารนายนั้นก้าวอาดๆ มาหาเด็กหนุ่มทั้งสองด้วยสีหน้าสงสัย ก่อนจะมองพินิจพิจารณาเซนอยู่ชั่วครู่ ก็หันไปมองโจเซฟที่กำลังแอบอยู่ด้านหลังพี่ชายตนเองด้วยความกลัว “เจ้าเป็นลูกชายท่านเศรษฐีนี่” ทหารนายนั้นเอ่ยเมื่อเห็นหน้าของโจเซฟ
เนื่องจากเศรษฐีมักจะพาครอบครัวออกงานอยู่บ่อยๆ ทำให้หลายคนรู้จักและคุ้นหน้าคุ้นตาโจเซฟเป็นอย่างดี ผิดกับเซน ที่ถูกลืมและทิ้งเอาไว้ให้อยู่เพียงลำพังที่หลังคฤหาสน์ จึงไม่แปลกหรอกที่จะไม่มีคนรู้จักเขา
“ท่านพ่อกับท่านแม่ข้าตายแล้ว พวกท่านช่วยข้าจับโจรชั่วพวกนั้นได้หรือไม่?” โจเซฟเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าๆ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเมื่อพูดถึงโจรใจบาปพวกนั้น
“ป่านนี้พวกมันก็คงเข้าป่าไปไกลแล้ว อย่าว่าแต่จับเลย ร่องรอยของพวกมันจะมีเหลือให้พวกข้าแกะรอยตามหรือเปล่าก็ไม่รู้ เจ้าเลิกล้มความคิดนี้ไปซะเถอะ ว่าแต่เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน ไม่ยักจะเคยเห็นหน้า” ทหารนายนั้นเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความหวัง ก่อนจะหันมาถามเซนด้วยความสงสัย
“…” เซนยืนนิ่งเงียบอย่างหยิ่งยโส ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะแนะนำตัวหรือพูดอะไรออกไป
“เขาเป็นพี่ชายของข้า” แต่กลับเป็นโจเซฟ ที่แนะนำเซนให้ทหารนายนั้นได้รู้จัก
“หือ? ไม่ยักรู้ว่าท่านเศรษฐีมีลูกชายอีกคน…อ้อ! จำได้ละ คงจะเกิดจากภรรยาสามัญชน ที่แต่งเข้ามาก่อนหน้าท่านหญิงเมื่อนานมาแล้วสินะ” ทหารนายนั้นว่าพลางทำหน้ากระจ่างในความสงสัย
“ใช่ๆ เขาเป็นพี่ชายของ…”
“หุบปาก!! ข้ายังไม่ได้นับเจ้าเป็นน้อง” ยังไม่ทันที่โจเซฟจะพูดจบ ก็ถูกเซนตวาดใส่ ทำให้สีหน้าภาคภูมิใจที่เล่าถึงพี่ชายตนเองเมื่อครู่ ค่อยๆ หงอยลงจนเกือบจะเหมือนคนกำลังจะร้องไห้
“ท่านพี่…” โจเซฟเบะปากน้อยๆ น้ำใสๆ เริ่มก่อตัวขึ้นที่หัวตา มือเล็กก็พยายามจะเอื้อมมาคว้าชายแขนเสื้อพี่ชายตนเองไว้ แต่เซนกลับเดินหนีเขาซะอย่างนั้น ปล่อยให้น้องชายตนเอง ยืนมองตามตาละห้อยด้วยความรู้สึกน้อยใจ ก่อนที่โจเซฟจะตัดสินใจเดินตามเซนเข้าไปด้านในคฤหาสน์
“พวกเจ้าจะอยู่กันต่ออย่างไรเล่า ไร้พ่อขาดแม่ ไม่มีแม้ญาติสนิทมิตรสหาย มีเพียงสมบัติมหาศาลที่พ่อของเขาทิ้งเอาไว้ให้เท่านั้น” ทหารนายนั้นเดินตามพวกเขาทั้งสองเข้ามาด้านในคฤหาสน์ ที่ทยอยนำศพออกไปด้านนอกจนเกือบหมดแล้ว
“ข้ายังอยู่คนเดียวมาได้ตั้ง 7 ปี แล้วทำไมข้าจะอยู่คนเดียวต่อไปไม่ได้?” เซนเงยหน้าขึ้นไปตอบด้วยสีหน้าและแววตาที่เด็ดเดี่ยว เล่นเอาผู้ใหญ่ตรงหน้าถึงกับรู้สึกตกใจในแววตาคู่นี้
“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่พวกเจ้าเลย ข้าแค่ถามเพราะความสงสัย หากมีอะไรที่พอจะให้ข้าช่วยได้ก็บอก ท่านเศรษฐีเคยมีบุญคุณกับข้าอยู่” ทหารนายนั้นเอ่ยด้วยสีหน้าที่เข็งขรึม
“ข้าอยากจ้างทหารฝีมือดีสักสี่ห้าคน เอาที่ฝีมือดีที่สุด” เซนเอ่ยเสียงเรียบ
“เจ้าจะเอาไปทำอะไร เด็กน้อย?”
“ข้าอยากอยู่ต่อด้วยความรู้สึกที่ไร้ซึ่งอันตราย ไม่มีใครรับประกันให้ข้าได้ว่าพวกโจรมันจะไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นข้าต้องมีอาวุธ และข้าต้องฝึกการใช้อาวุธ!!”
“อื้ม... ได้ ข้าจะหามาให้เจ้า แล้วข้าจะแถมผู้รับใช้ให้เจ้าอีกสักสองสามคน” คนตัวโตตะลึงงันกับความคิดของเด็กชายตัวน้อย แม้ดูยังเดียงสานักแต่ความคิดและสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเขาไม่เดียงสาเลยสักนิด ไม่แปลกใจเลยกับคำพูดที่เด็กน้อยคนนี้พูดเอาไว้ว่า ‘ข้ายังอยู่คนเดียวมาได้ตั้ง 7 ปี แล้วทำไมข้าจะอยู่คนเดียวต่อไปไม่ได้?’
“ข้าต้องการแค่ทหาร”
“แต่ข้าอยากได้ผู้รับใช้ด้วย ข้าทำอะไรเองไม่เป็น ข้าไม่อยากเป็นภาระท่าน นะท่านพี่” โจเซฟที่ยืนฟังอย่างเงียบๆ มาสักพัก เอ่ยขอพี่ชายตนเองด้วยสีหน้าที่คาดหวัง
“เรื่องของเจ้า” เซนก้มลงไปมองหน้าน้องชายด้วยสายตาที่ประเมินอะไรไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความไยดี
15 ปีผ่านไป
บัดนี้ เด็กหนุ่มตัวน้อยทั้งสอง ได้เติบใหญ่ขึ้นเป็นชายหนุ่มรูปงามไร้ที่ติ นอกจากพวกเขาจะมีรูปร่างหน้าตาที่งามสง่าหาตัวจับได้ยากยิ่งแล้ว ฐานะของพวกเขายังมั่งคั่งร่ำรวยกว่าแต่เดิมมากมายนัก สมบัติที่ได้รับหลังจากผู้เป็นพ่อตายถูกนำมาต่อยอดจนมันเฟื่องฟู กิจการที่ลงทุนก็เจริญก้าวหน้าจนไม่มีใครกล้าเทียบเคียง พาให้บรรดาสตรีมากมายทั้งในอาณาจักรและนอกอาณาจักร ต่างพากันมาทอดสะพานให้ชายหนุ่มทั้งสองไม่ขาดสาย แต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดเลย ที่จะเคาะประตูหัวใจของพวกเขาได้สักคน อย่างมากก็ได้เพียงแค่ข้างกายชั่วข้ามคืน แต่ยังไม่มีสักคนที่ได้สานสัมพันธ์ต่อในวันถัดไป
“อย่าสัมผัสข้า!!” เซนตวาดเสียงก้องดังไปทั้งห้อง ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นด้วยความหงุดหงิด เมื่อมือเล็กของหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่ร่างกายเปลือยเปล่า เผยให้เห็นผิวที่ขาวเนียนซึ่งนอนอยู่เคียงข้าง เลื่อนไปสัมผัสโดนแผงอกแกร่ง
“ท่านเป็นอะไร เราพึ่งจะเสร็จการร่วมรักกันเมื่อครู่นี้เองนะ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความสงสัยระคนตกใจ เมื่ออยู่ๆ ชายผู้ที่เร่าร้อนดั่งไฟเมื่อครู่ ก็กลายร่างเป็นคนแปลกหน้าที่ทำเหมือนว่าไม่เคยเห็นเธอมาก่อน
“ออกไป” เซนนั่งห้อยขาลงข้างเตียงพลางหันหลังให้ ก่อนจะเอ่ยไล่เสียงเรียบ
“ท่านไล่ข้าทำไม?” คนตัวเล็กพยายามจะไขว่คว้าร่างใหญ่เอาไว้ แต่เมื่อมือนางใกล้สัมผัสโดนผิวเนื้อของเขาก็ถูกปัดออกอย่างแรงด้วยความรังเกียจ
“ออกไป!!!” เซนลุกขึ้นจากเตียงและหันมาตวาดไล่อีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดุดันราวกับราชสีห์ แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ผ่านรอยแยกของผ้าม่านรำไร ทำให้ภาพเบื้องหน้ายิ่งดูน่าหวาดกลัว นางตัวสั่นระริกก่อนจะรีบเก็บอาภรณ์ของตนที่ร่วงหล่นกระจัดกระจายบนพื้น แล้ววิ่งตาลีตาเหลือกออกไปอย่างไม่กล้าหันหลังกลับมามองอีก
“เป็นอะไรไปอีกล่ะท่านพี่ ไม่สุขสมหรือ?” โจเซฟที่อยู่ห้องข้างๆ ได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดของพี่ชายตนเองก็ค่อยๆ เดินออกมาดู เขายืนกอดอกพิงขอบประตูพลางมองไปที่พี่ชายของตนด้วยรอยยิ้มขัน
“หุบปาก แล้วไปเรียกคนมาเปลี่ยนผ้าปูให้ข้าใหม่ด้วย” เซนทรุดตัวนั่งลงที่ริมเตียง ก่อนจะเอื้อมไปหยิบเสื้อผ้าที่พาดอยู่ปลายเตียงมาสวมใส่
“เมื่อไหร่ท่านจะเลิกไล่ตะเพิดสตรีหลังจากเสร็จกิจสักที ท่านควรจะนอนตะกรองกอดนางเอาไว้ยามค่ำคืน แล้วยามเช้าท่านค่อยเอ่ยลานางด้วยคำพูดแสนหวาน มันลำบากสำหรับท่านมากเลยหรือ?” โจเซฟเดินเข้ามาพลางทำท่าทางประกอบคำพูดของตนไปด้วย โดยไม่สนใจสายตาเย็นชาของผู้เป็นพี่แม้แต่น้อย
“ข้าไม่ใช่เจ้า จบแล้วคือแยกย้าย เงินข้าก็ให้ จะมาร่ำรี้ร่ำไรอยู่ทำไม น่ารำคาญ!” เซนแค่นเสียงพูดในลำคอด้วยความหงุดหงิด
“เฮ้อออ ท่านมันสมควรนอนตายอยู่คนเดียว ไม่รู้จักความอ่อนโยนเอาซะเลย” พูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจในพี่ชายตนเองจบ ก็หันหลังเดินส่ายหัวออกจากห้องไปทันที
สำหรับเซน ผู้หญิงก็เป็นได้แค่ตัวน่ารำคาญ คอยแต่จะจับจองทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของน่าหงุดหงิด เข้าหาเขาก็เพียงเพราะว่าเขารูปงามและมีเงินทอง หากแม้นไร้ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะมีใครสนใจผู้ชายอย่างเขาบ้าง ประสบการณ์ในการใช้ชีวิตที่ผ่านมาของเขาบอกได้คำเดียวว่า…ไม่มี
