3 พี่...น้อง
“ท่านเป็นใคร?” เซนเอ่ยถามด้วยใบหน้าเรียบเฉยที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัว ในขณะที่น้องชายต่างมารดาซึ่งนั่งแอบอยู่ในตู้ตอนแรก ได้วิ่งเข้ามาเกาะชายเสื้อด้านหลังเขาไว้พลางทำสีหน้าหวาดหวั่น
“ข้าชื่อฮันน่า ข้าคือเทพีแห่งความงาม” หญิงสาวเบื้องหน้าค่อยๆ หันมามองเขาด้วยสายตาเสน่ห์หา ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับยกมือขึ้นเพื่อจะสัมผัสใบหน้าที่งดงามของเซน “เจ้าช่างงดงามยิ่งนัก” นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มละมุน
“…” เด็กหนุ่มก้าวถอยหลังเล็กน้อยเพื่อหลบสัมผัสของนาง เขาไม่ได้หวาดกลัวแต่อย่างใด หากแต่รู้สึกไม่ไว้ใจหญิงสาวตรงหน้าเพียงเท่านั้น
“อย่ากลัวข้าไปเลย เด็กน้อย ข้ามาเพื่อช่วยเจ้า”
“ช่วยข้าทำไม?” เซนถามด้วยความสงสัย เขาไม่เคยเห็น ไม่คุ้นเคย และไม่รู้จักนางเลยด้วยซ้ำ เหตุใดนางจึงต้องเข้ามาวุ่นวายในชีวิตของเขาด้วย
ความจริงแล้วหากเขาตายไปมันก็อาจจะดีกว่า เพราะว่าชีวิตที่เหลือต่อจากนี้มันก็ไร้ซึ่งความหมายใดๆ เขาไม่มีใครให้ได้อยู่ปกป้อง หรือล้างแค้นอีกแล้ว จะมีก็เพียงแต่น้องชายต่างมารดา หากคืนนี้เขาโดนฆ่าตายด้วยน้ำมือของโจรอำมหิตเมื่อครู่ โจเซฟก็ต้องไม่รอดเหมือนกัน แต่ใยนางจึงต้องเข้ามาขัดขวางสิ่งที่เขาปรารถนาด้วยเล่า
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่…เซน แต่ชีวิตของเจ้ามันมีความหมายต่อข้ามาก ได้โปรดใช้ชีวิตอยู่ต่อไป…เพื่อข้า” เทพีฮันน่าเอ่ยขออย่างไร้ศักดิ์ศรี นางไม่เคยต้องร้องขอผู้ใดมาก่อน ตรงกันข้ามนางเป็นฝ่ายที่ถูกผู้อื่นร้องขอซะมากกว่า
เหตุผลที่นางนั้นต้องร้องขอให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป เพียงเพราะเธอต้องใจเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างมาก นางเฝ้าดูเขาตั้งแต่ยังเยาว์วัย การพัฒนาและเติบโตของเซนมีเสน่ห์น่าหลงใหล เขาฉลาด มีไหวพริบ มีสติปัญญาที่เฉียบแหลม รู้จักเอาตัวรอดและแก้ปัญหาทุกอย่างได้ดี อีกทั้งเขายังมีความงดงามที่หาตัวจับได้ยากยิ่ง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม นางตั้งใจจะใช้ชีวิตร่วมกับเขา และครองรักกันไปตราบนานเท่านาน
“ได้” แม้ไม่เข้าใจในสิ่งที่เทพีฮันน่าสื่อออกมา แต่เซนก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไปต่อ เขาคิดว่าการต่อปากต่อคำ หรือซักถามไปมานั้นจะทำให้บทสนทนานี้ไม่มีวันจบลง หรืออาจจะจบลงช้าซึ่งมันเสียเวลาของเขาเป็นอย่างมาก และมันก็ดูไร้ประโยชน์ ในเมื่อนางได้ช่วยชีวิตเขาแล้ว เขาก็ยินดีที่จะใช้ชีวิตนี้ต่อไปอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เขาจึงเลือกที่จะตอบตกลง
“เจ้าช่างเป็นเด็กที่น่ารักเสียจริง จงใช้ชีวิตต่อจากนี้เติบโตขึ้นมาให้ดีๆ ล่ะ ข้าจะรอเจ้า” เทพีฮันน่าแสยะยิ้มออกมาอย่างพึงใจ ก่อนที่นางจะอันตรธารหายไปต่อหน้าเด็กหนุ่มทั้งสอง
“พ่อกับแม่ข้าตายแล้ว ฮือๆ” เมื่ออยู่กันตามลำพัง โจเซฟที่ยืนเกาะชายเสื้อของเซนอยู่ในตอนแรก ก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันสั่นเครือ เด็กน้อยก้มลงมองร่างบิดาและมารดา ที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นพรมราคาแพง ก่อนที่น้ำตาแห่งความเศร้าโศกและตกใจจะไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“เจ้าก็ตายตามพวกเขาไปสิ” เซนปัดมือเล็กๆ ที่จับชายเสื้อของตนเองไว้จนหลุดออก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้ซึ่งความสงสารน้องชายสักนิด
“ท่าน…ทำไมเจ้าพูดกับข้าแบบนี้ ท่านเป็นพี่ข้านะ” โจเซฟถามด้วยสีหน้าตกใจปนเสียใจ เขาไม่คิดว่าญาติคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในชีวิตของเขา แถมยังเป็นพี่ชายคนเดียวของตนเอง จะพูดจาทำลายความรู้สึกแถมไม่ยอมปลอบโยนเขาแม้แต่น้อย
“ข้าไม่มีน้อง ข้าเป็นลูกคนเดียว!!” เซนตวาดก้อง ก่อนจะเดินออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ภายในมีแต่ศพ โดยมีโจเซฟวิ่งตามออกมาไม่ห่าง
“ท่าน ท่านจะไปไหน รอข้าด้วย” โจเซฟว่าพลางวิ่งฝ่าความมืดเข้ามาใกล้ๆ เซนด้วยความหวาดกลัว ตอนนี้เด็กน้อยเคว้งคว้างและต้องการหาที่พึ่ง ซึ่งที่พึ่งสุดท้ายของเขาในตอนนี้คือพี่ชายต่างมารดา ที่ไม่ยอมรับว่าเขาเป็นน้องชายของตน
พลั่ก
เซนหยุดเดิน และหันหลังกลับไปผลักโจเซฟ จนล้มลงบนพื้นหญ้านุ่มๆ เขารู้ตัวว่าไม่ได้รังเกียจน้องชายมากมายเท่าไหร่นัก ต้นเหตุมันไม่ได้เกิดจากโจเซฟที่พ่อไม่ได้รักเขา แต่เขาก็อดรู้สึกริษยาน้องชายตนเองไม่ได้ จึงไม่อยากให้น้องชายอยู่ในสายตาเพื่อตอกย้ำความรู้สึกนี้
“เลิกวิ่งตามข้าสักที เจ้าจะไปไหนก็ไป” เซนเอ่ยไล่ด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ ก่อนหันหลังเตรียมจะเดินต่อ
“ฮือๆ จะให้ข้าไปไหน พ่อกับแม่ข้าตายหมดแล้ว ข้าเหลือแต่ท่าน อย่าไล่ข้าไปเลยนะ ข้ากลัว” โจเซฟร้องไห้ออกมาพลางคุกเข่า ก่อนจะค่อยๆ คลานเข้ามาเกาะขาเซนเพื่ออ้อนวอน หัวใจเย็นชาที่ไร้ซึ่งความเห็นใจของเซนในตอนแรก กระตุกวูบไหวกับการกระทำของน้องชายยิ่งนัก
“ตอนแม่ข้าตาย แล้วข้าต้องอยู่คนเดียว ยังไม่เห็นเงาหัวของใครโผล่มาอยู่เคียงข้างข้าสักคน บัดนี้ ยามเมื่อเจ้าไร้ซึ่งที่พึ่ง เจ้ามีสิทธิอ้อนวอนขอความเห็นใจพวกนั้นจากข้าด้วยหรือ?” เซนก้มหน้าลงไปมองโจเซฟ ที่กำลังนั่งคุกเข่าเกาะขาตนเองอยู่ด้วยสายตาเรียบเฉย ตอนนี้ใบหน้าน้องชายเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา น้ำมูกใสๆ ไหลออกมาเลอะเทอะไปหมด...ชั่งดูน่าสมเพช
“ข้าขอล่ะ ให้ข้าทำอะไรก็ยอม แต่อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียวเลยนะ ท่านพี่” ท่านพี่…คำๆ นี้บาดลึกเข้าไปในความรู้สึกที่วูบไหว ซึ่งกำลังก่อเกิดความสงสารน้องชายตนเอง แม้เซนจะมีความไม่ชอบหน้าน้องชายเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ไม่ได้รังเกียจโจเซฟ
“ลุกขึ้น แล้วเช็ดน้ำตาของเจ้าซะ ข้าขยะแขยง” เซนพูดพลางเบือนหน้าหนีเล็กน้อย โจเซฟเมื่อได้ยินพี่ชายตนเองพูดแบบนั้น ก็รีบกระวีกระวาดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะใช้หลังมือปาดทำความสะอาดน้ำมูกน้ำตาไปมา พลางยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“ขอบคุณท่านพี่” โจเซฟพูดพลางยิ้มน้อยๆ ให้เซน ก่อนที่เซนจะหันหลังและเดินต่อ เพื่อกลับไปยังบ้านไม้โทรมๆ ของตนเองที่อยู่หลังคฤหาสน์ โดยมีน้องชายต่างมารดาเดินตามมาติดๆ
เมื่อเดินมาถึงจุดหมาย โจเซฟก็มีสีหน้าที่แปลกใจกับที่อยู่อาศัยของผู้เป็นพี่ มันไม่สมควรถูกเรียกว่าบ้าน เพราะว่ามันมีเพียงแค่ไม้เก่าผุๆ ที่ตีล้อมรอบเป็นกรอบสี่เหลี่ยมซึ่งกันแรงลมไม่ได้ด้วยซ้ำ หลังคาถูกมุงด้วยหญ้าแห้งและเริ่มจะมีรูในบางจุด ประตูก็เป็นเพียงไม้หักๆ ที่เอามามัดรวมกันไว้สำหรับเปิดปิด ด้านในไร้ซึ่งเตียงนอนมีเพียงก้อนฟางที่ถูกเอามาเรียงต่อๆ กันให้พอนอนได้ บนก้อนฟางมีผ้าห่มผืนบางที่แลดูเก่าเหมือนใช้งานมานานมากนักอยู่หนึ่งผืน ไม่มีหมอน ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ และไร้ซึ่งเตาผิงไฟอุ่นๆ ที่เขาโหยหา มีเพียงซากกองไฟกองน้อยๆ ที่อยู่กลางบ้านเพียงเท่านั้น
“ท่าน…อยู่ที่นี่หรอ?” โจเซฟเอ่ยถามเพราะไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนอาศัยอยู่ที่นี่ได้จริงๆ
เขารู้ว่าเขามีพี่ชายต่างมารดาอยู่หนึ่งคน เพราะพ่อและแม่เคยกล่าวถึง แม้ว่าจะเคยเห็นหน้าคร่าตาของเซนแถวๆ คฤหาสน์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยรับรู้เลยว่าพี่ชายตนเองใช้ชีวิตอยู่แบบไหนหรือยังไง รู้เพียงว่าอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเล็กท้ายคฤหาสน์กับแม่ของเขา แต่เท่าที่โจเซฟเห็นในตอนนี้ มันไม่สมควรเรียกว่าบ้านด้วยซ้ำ
“แล้วจะให้ข้าอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ใช่ที่นี่” เซนเอ่ยเสียงเรียบราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ ที่คนๆ หนึ่งจะอาศัยอยู่ในเพิงไม้เก่าๆ ที่พร้อมจะพังลงมาได้ทุกเมื่อ ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปนั่งลงที่ก้อนฟาง และล้มตัวนอนลงอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนใดๆ
“ท่านอยู่ได้อย่างไร?” โจเซฟเอ่ยถามพลางเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ เซนที่นอนอยู่
“โชคชะตามันบีบบังคับให้ข้าต้องอยู่ให้ได้” เซนเอ่ยอย่างตัดพ้อในชีวิตตนเอง
“ถ้าข้ารู้ว่าท่านพี่ลำบากขนาดนี้ ข้าจะขอให้ท่านพ่อพาท่านพี่เข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ด้วย” โจเซฟมีสีหน้าที่เศร้าสร้อย เขารู้สึกผิดที่พี่ชายตนเองต้องใช้ชีวิตอยู่ภายนอกอย่างยากลำบาก ในขณะที่ตนเองนอนสุขสบายอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ ซึ่งเซนเองก็รับรู้ได้ว่าน้องชายรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ไม่ได้เสแสร้งออกมา
“เลิกพูดเถอะ แล้วนอนได้แล้ว ข้าสะอิดสะเอียน” แม้คำพูดจะดูไม่แยแสหรือไม่สนใจ แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม เซนดึงน้องชายตนเองมานอนลงข้างๆ ก่อนจะหยิบผ้าห่มผืนเก่าที่ใช้ห่มได้คนเดียวมาคลุมให้น้อง ทั้งคู่นอนเบียดกันอยู่บนก้อนฟางเพื่ออาศัยไออุ่นซึ่งกันและกัน ก่อนที่โจเซฟจะนอนขดตัวและหันหน้าเข้าหาไออุ่นจากผู้เป็นพี่ เซนจึงยกแขนขึ้นไปโอบกอดน้องเบาๆ และผล็อยหลับตามกันไป
บรรยากาศโดยรอบในตอนนี้ แม้มีเพียงแค่แสงจันทร์สาดส่องสลัวๆ สายลมหนาวโชยพัดมาเบาๆ ทำให้ร่างทั้งสองซึ่งอยู่ในชุดเสื้อผ้าตัวบางกับผ้าห่มผืนเก่าสั่นสะท้านเมื่อต้องลม รอบข้างเงียบสงัดพาลให้รู้สึกวิเวกวังเวง แต่ก็ไม่อาจทำอะไรความรู้สึกของเด็กทั้งสอง ที่เริ่มมีความอบอุ่นหัวใจเมื่อมีกันและกันอยู่เคียงข้างได้
