บทที่ 2
อินอรเปิดร้านขายข้าวแกงโดยใช้ชื่อว่า ‘ร้านข้าวแกงคุณย่า’ ร้านของเธอเป็นตึกสองชั้นที่อยู่ซอยข้าง ‘ชุมชนร่วมใจทำดี’
ร้านนี้เปิดมาปีนี้ก็เข้าปีที่สามแล้ว เริ่มต้นจากใช้เงินเก็บมาเปิดร้านอาหารตามสั่งเล็ก ๆ ก่อน จนขายดิบขายดีจึงขยับขยายเปลี่ยนมาเช่าตึก
จากที่ทำคนเดียวก็มีลูกจ้าง จากที่ขายอาหารตามสั่งก็เปลี่ยนมาเป็นขายอาหาร ตักข้าวราดแกง
ชื่อร้านสูตรคุณย่าแต่จริง ๆ เธอไม่มีญาติ มีแต่สูตรตัวเองที่ทั้งชีวิตก็คงมีแต่เรื่องรสมือนี่แหละที่ไม่ว่าจะปรุงอาหารอะไรก็อร่อยถูกปากถูกใจคนไปซะหมด ทั้งหมดพิสูจน์ได้โดยใช้เวลาไม่นาน
ร้านข้าวแกงสูตรคุณย่าของอินอรแม่หม้ายสาวสวยลูกหนึ่งก็ติดปากติดใจคนทั้งชุมชน
ร้านเธอเปิดตั้งแต่ตีสี่ ปิดประมาณบ่ายโมงตรงไม่เกินบ่ายสองของทุกวันไม่มีวันหยุด
อินอรเลือกเปิดร้านขายของตอนเช้าเพราะข้าง ๆ มันเป็นตลาดสดที่มีคนจากชุมชนและละแวกใกล้เคียงมาจับจ่ายใช้สอย
เธอเลือกขายอาหารตอนเช้า อย่างน้อย ๆ ก็ได้ผลพลอยได้คือมีอาหารไว้กินกันในครอบครัว
ร้านเธอมีลูกน้องอยู่หกคน เป็นเด็ก ๆ และลูกหลานคนในชุมชน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาทำ ทั้งในครัว ทั้งหน้าร้าน จะว่าโชคดีก็โชคดี รายได้หักลบแล้วก็ลืมตาอ้าปากได้ในเวลาไม่นาน สิ้นปีนี้เธอจะซื้อตึกที่เช่าอยู่นี้ให้ได้
จุดขายของร้านเธอคืออาหารอร่อยถูกปากและราคาถูก ทั้งยังรับทำข้าวกล่องและรับจัดงานเลี้ยง อะไรที่ได้เงินอินอรรับหมดไม่มีเกี่ยง
อย่างงานทำบุญเมื่อเช้านี้ มีคนมาติดต่อเธอล่วงหน้า เธอก็ยอมปิดหน้าร้านหนึ่งวันเพื่อรับงานนอก แม้รายได้เป็นกอบเป็นกำแต่อินอรคิดว่าตักแกงหน้าบ้านได้กำไรเยอะกว่า
รับจัดเลี้ยงมันก็เป็นอะไรที่แปลกใหม่ในย่านชุมชนนี้ ไม่ว่างานไหน ๆ ก็เรียกใช้บริการร้านข้าวแกงสูตรคุุณย่าของเธอ
เพราะเงินตัวเดียวทำให้เธอโลภมากจนไม่ได้เช็กว่าลูกค้ารายล่าสุดที่รับมาคือคนของใคร
ความโลภเป็นเหตุ เธอถึงได้มานั่งจิตใจมัวหมอง เพราะเจอคนที่ไม่ได้อยากเจอนี่ไง
‘แม่ต๋าาาาาาาา’
เสียงฝีเท้าตุบตับดังมาจากหน้าบ้าน อินอรมองไปที่ประตูเหล็กหน้าร้านที่เธองับปิดทิ้งไว้ ก่อนจะมองมือเล็ก ๆ ที่สอดเข้ามาตามร่องประตูและดันซีกประตูเหล็กเพื่อจะเปิด แต่ไม่ว่าจะพยายามดันแค่ไหนก็เปิดไม่ได้ด้วยแรงน้อยนิดนั่น
ริมฝีปากบางแย้มยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ ๆ ประตู แต่ก็โดนเจ้ามือเล็ก ๆ คว้าหมับที่ชายเสื้อ
“แม่ต๋าาาา อินไปรอตนนู้นนานเยยย” ริมฝีปากกระจุ๋มกระจิ๋มขยับพูดกับมารดาเป็นคำ แถมยังส่งยิ้มหวานจนเห็นฟันกระต่ายซี่หน้าอีกด้วย
“น้องอินเอามือออกก่อน แม่จะเปิดประตูให้นะคะ” เธอพูดกับลูกเสียงเบา ก่อนที่มือเล็ก ๆ นั่นจะกำชายเสื้อเธอแน่นไม่ยอมปล่อยและหัวเราะออกมา
“อินไม่ต่อยหยอก” เจ้าเด็กอ้วนมัดผมแกละประแป้งที่แก้มทั้งสองข้างเงยหน้าขึ้นมาบอกมารดาด้วยเสียงดังฟังชัด แม้คนอื่นจะฟังไม่รู้เรื่องแต่คนในครอบครัวฟังออกทุกคำ
“เอาเร็ว ๆ เข้าตาจะไปนอนแล้วเหมือนกัน หรือลูกชิ้นน้อยอยากไปนอนกับยายมันอีกรอบ”
“อินไม่นอง ยายนองกน!”
“โว้ยยย ตาจะฟ้องยายว่าน้องอินบอกว่ายายมันนอนกรน!”
เมื่อได้ยินตาตาพูดแบบนั้นอินทุอรก็ตาโตปล่อยชายเสื้อแม่และหันไปเจรจากับตาตาเธอทันที
ตาตาคือตาแหวนที่เป็นสามีของยายยายคือยายสำลี ทั้งคู่เป็นพี่เลี้ยงลูกให้กับเธอ
ทั้งสองเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยอินอรเลี้ยงลูกสาวมาตั้งแต่แบเบาะ และยายสำลีก็เป็นกำลังสำคัญของร้านเธอด้วย
หากอินอรมีงานด่วนหรือติดธุระ บ้านตาตายายยายก็จะมารับอินทุอรไปเลี้ยงแทนประหนึ่งเป็นหลานสาวอีกคน
“ตาอย่าบอดยาย! ห้ามบอดอินไม่พูดแย้วววว” อินทุอรไม่ได้แค่พูด แต่คว้าหมับที่ผ้าขาวม้าตาแหวนจนคนสูงวัยคว้าปมเกือบไม่ทัน
กำปั้นเล็กที่อินอรคนเป็นแม่รู้ดีว่าหากได้ยึดจับอะไรไว้สักหน่อยก็จะไม่ปล่อยง่าย ๆ
ตาแหวนโดนยึดผ้าขาวม้าแบบนี้แล้ว คงทำอะไรไม่ได้นอกจากรออินทุอรปล่อยมือนั่นแหละ
“ปัดโถ่เจ้าเด็กนี่!” เจ้าเด็กอ้วนหัวเราะชอบใจส่ายศีรษะเล็ก ๆ จนผมแกละที่มัดไว้พลอยขยับไปด้วย เป็นภาพที่น่ารักน่าชังจนหัวใจคนเป็นแม่พลอยชุ่มชื้นหายเหนื่อยเหมือนปลิดทิ้ง
อินอรมองลูกสาวที่กำลังยิ้มและหัวเราะ จิตใจเธอลืมสิ้นกับเรื่องแย่ ๆ ที่ได้เจอในวันนี้ เธอแน่ชัดในความรู้สึกของตนเองว่าเข้มแข็งเหลือเกินแล้ว
เธอยืนหยัดบนลำแข้งตนเองอย่างมั่นคงและไม่ขอพึ่งพาใครหรือผู้ใดอีก ไม่ว่าใครหน้าไหนก็จะมาต่อว่าต่อขานเธอด้วยเรื่องเก่า ๆ ไม่ได้ เพราะเธอไม่ใช่อินอรคนเดิมอีกแล้ว
อินอรไม่แยแสว่าใครจะคิดอะไรหรือจะเกิดอะไรต่อจากนี้ เธอปฏิญาณตนอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับคนพวกนั้น และไม่มีใครหรือสิ่งใดสำคัญไปกว่าอินทุอรลูกสาวของเธอ
ไม่ว่าใครจะดาหน้าเข้ามา อินอรก็จะปกป้องลูกสุดชีวิตเช่นเดียวกัน!
