Destiny Love หลงบ่วงรัก

121.0K · จบแล้ว
นามปากกา แสงเทียน
58
บท
7.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

บทนำ “คนอย่างเธอต้องใช้น้ำกี่ขันถึงจะราดลง...กล้าดียังไงถึงได้เสนอหน้ามาอยู่ที่นี่!” น้ำเสียงถากถางที่ดังมาจากทางด้านหลัง หญิงสาวเจ้าของเรือนร่างบอบบางไม่อาจแน่ใจว่าเจ้าของเสียงต้องการที่จะสนทนากับใครจึงไม่ได้หันไปสนใจ “ไม่ได้ยินที่ฉันถามหรือไง!” พจมาศ คุณาธรรมคุณ กัดฟันถามด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เสียงฝีเท้าเดินย่ำเข้ามาใกล้ เจ้าของร่างบางจึงจำเป็นต้องหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้า เธอไม่ได้ตกใจที่เห็นคนตรงหน้าเพียงแต่ประหลาดใจก็เท่านั้น ทั้งที่ตลอดทั้งวันที่งานจัดเลี้ยงทำบุญหญิงสาวก็พยายามจะเลี่ยงคนผู้นี้แล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล “ดิฉันไม่ทราบว่าคุณนายพูดกับใคร” ดวงตากลมโตภายใต้แพขนตางอนยาวกะพริบเชื่องช้า  เมื่อเห็นอีกฝ่ายโกรธเธอจนปากสั่นก็ได้แต่เมินมอง ในตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในจุดที่ต้องเกรงกลัวหรือเกรงใจคนพวกนี้แล้ว “ต่ำช้า!” ผู้มาเยือนก่นเสียงด่าโทนต่ำราวกับว่ากลัวใครจะมาได้ยิน ส่วนคนโดนด่าไม่ได้มีท่าทีตกใจหรือแปลกใจอะไร แต่เธอเอาคืนอย่างเจ็บแสบด้วยการทำทีกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะหันกลับมาสบดวงตาของพจมาศที่มีความเกลียดชังเธออย่างเต็มเปี่ยม “คุณนายมีธุระอะไรกับร้านดิฉันหรือคะ?” อินอรเอ่ยถามก่อนจะหันหน้าไปทางขวามือตัวเอง เธอเหลือบสายตามองไปด้านหลังรถกระบะคันเก่าที่เป็นสมบัติของตัวเอง หญิงสาวเปิดร้านขายข้าวแกง พวกเราเพิ่งกลับจากงานจัดเลี้ยงที่มีคนมาจ้าง ลูกน้องของเธอกำลังเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ จำพวกหม้อไหกะละมังลงจากหลังกระบะ แต่อยู่ ๆ บุคคลตรงหน้าก็มาปรากฏตรงหน้าทำให้เป็นที่สนใจของพวกลูกน้องเธอ “ฉันไม่สะดวกพูดตรงนี้!” พจมาศแค่นเสียงบอกเธอและก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้ อินอรเลิกคิ้วขึ้นมองหญิงสูงวัยในชุดผ้าไหมดิ้นทอง กับชายวัยกลางคนที่สวมชุดสูทสีดำสนิท ทั้งคู่ยังคงมาด้วยกันเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง “งั้น...เชิญด้านในเถอะค่ะ” ร่างบอบบางในชุดเสื้อโปโลคอปกสีดำ กางเกงยีนสกินนี่สีเข้ม รองเท้าแตะหูหนีบธรรมดา เธอเดินนำเข้าไปในตึกสองชั้นที่รถกระบะคันเก่าจอดอยู่ด้านหน้า “นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือความตั้งใจของเธอกันแน่!” ยังไม่ทันจะพ้นประตูร้านดีเลยด้วยซ้ำ คนที่อินอรเชื้อเชิญเข้าร้านมาด้วยความจำเป็นก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก พจมาศตัวสั่นระริกเมื่อรู้แน่ชัดว่าอินอรเปิดร้านขายข้าวอยู่ที่นี่! “ทำไมคุณนายถึงถามดิฉันแบบนั้นล่ะคะ” อินอรเดินไปวางกระเป๋าคาดที่ใช้เก็บธนบัตรและเหรียญที่ได้จากการขายของลงบนโต๊ะ ก่อนจะหมุนตัวกลับมารอคำตอบจากคนที่ต้องการคำตอบจากเธอ “เธอไม่มีสิทธิ์มาตั้งคำถามกับฉัน” อินอรได้ยินแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “นั่นสิคะแล้วทำไมคุณนายถึงคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถามกับฉัน?” เธอตอกกลับทำเอาคนฟังเดือดเป็นไฟ “อินอร!!” หญิงสาวยกมือขึ้นจรดริมฝีปาก ก่อนจะแค่นยิ้มและมองคนตรงหน้าด้วยแววตาเฉยชา “ฉันคืออินอร คนที่คุณรู้จักฉันดีพอ ๆ กับที่ฉันรู้จักคุณดีนั่นแหละ เรามาพูดกันตรง ๆ เถอะค่ะ อย่ามัวอ้อมค้อมให้เสียเวลาเลย” อินอรยกสองมือขึ้นกอดอกมองหน้าอีกฝ่าย แววตาของเธอไม่ได้อ่อนแออย่างเช่นวันวานอีกแล้ว “ออกไปจากที่นี่! อย่าให้ฉันต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ!”  อินอรสบตาพจมาศเพราะอยากรู้ว่าทำไมคนคนนี้ถึงได้แสดงท่าทีมั่นใจว่าขู่ออกมาแล้วเธอจะต้องฟังอยู่อีก! แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือหัวเราะออกมา แถมยังมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่เชื่อว่าคนตรงหน้าจะกล้าพูดแบบนี้ “คุณนายจะทำเหมือนสามปีที่แล้วหรือคะ? คุณนาย…คนเรามันจะหนีกันได้ตลอดเลยหรือไง?” เธอถามกลับ และมองเลยไปสบตาผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้านายของเขา ดวงตาคมเข้มภายใต้แว่นสายตา เมื่อเห็นเธอมองก็หลบสายตาทันที นพคุณ ลูกน้องคนสนิทผู้เป็นดั่งมือเท้าของพจมาศ “อินอร! อย่าลืมว่าฉันทำให้เธอหายไปจากโลกนี้ได้! รวมทั้งร้านเฮงซวยนี่ด้วย!” อินอรพยักหน้ารับทราบและเชื่อในคำพูดของพจมาศ เธอรู้กิตติศัพท์ร้ายกาจของคนตรงหน้าดี พจมาศคนนี้เพื่อสิ่งที่ต้องการแล้วทำได้ทุกอย่าง อินอรหลับตาลง ก่อนจะลืมตาขึ้นเธอกวาดสายตามองไปทั่วร้าน และหยุดสายตาที่คอกกั้นเด็กด้านหลังโต๊ะเก็บเงิน “ดิฉันขายของอยู่ที่นี่นานแล้วค่ะ พรรคการเมืองที่คุณอุปถัมภ์เพิ่งย้ายมาที่นี่ เพราะฉะนั้นคนที่ย้ายออกไม่ควรเป็นฉัน” อินอรบอกกล่าวเสียงเรียบแลดูไม่ทุกข์ร้อนต่างกับอีกฝ่าย พจมาศรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะแพ้ผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนี้ เธอจะไม่มีวันยอมให้เป็นแบบนั้น! “เธอจะเอาเท่าไหร่ ต้องการเท่าไหร่บอกมา!” มือที่ประดับด้วยแหวนเพชรเม็ดโตยื่นไปด้านข้าง สมุดเช็คธนาคารก็ปรากฏแก่สายตา อินอรมองภาพนั่นก็ได้แต่ระอากับคนพวกนี้ อะไร ๆ ก็ใช้เงินฟาดหัว “ฉันจะไม่ย้ายไปไหน เหตุผลเดียวคือฉันมีครอบครัวต้องดูแล และที่นี่คือร้านทำมาหากินของฉัน” คำว่า ‘ครอบครัว’ ทำเอาพจมาศชาดิกไปทั้งร่างกาย “ฉันรู้ว่าคุณนายทำได้ทุกอย่าง งั้นทำยังไงก็ได้ให้ลูกชายคุณย้ายไปจากที่นี่จะดีกว่า ตรงนี้มันสลัมนะคะไม่เหมาะกับคนอย่างพวกคุณหรอกค่ะ” พจมาศได้ยินก็โกรธจนตัวสั่น เธอไม่เคยแพ้และจะมาแพ้แถมรู้สึกร้อนขอบตาเพราะคำพูดของผู้หญิงแพศยาคนนี้ไม่ได้ “นี่มันเป็นแผนของเธอใช่ไหมอินอร!” หญิงสาวรุ่นลูกแย้มยิ้ม ทั้งยังไม่ตอบคำถามให้พจมาศหายข้องใจ ในตอนนั้นมันเป็นจังหวะเดียวกับที่มีคนมาตะโกนเรียกอินอรหน้าร้าน “คุณนายไม่ควรอยู่ที่นี่ในเวลานี้นะคะ ร้านดิฉันขายข้าวแกงก็จริง แต่ตอนนี้ร้านปิดไปแล้ว” อินอรเดินผ่านพจมาศไปด้วยท่าทีร้อนรน จนนพคุณที่ยืนอยู่ต้องเหลียวหลังไปมองยังจุดที่อินอรมองออกไป ‘หนูอรเอ๊ยยยย ลุงเอาเจ้าลูกชิ้นก้อนโตมาส่งแล้ว’ “อย่ามายุ่งกับเอกณัฐ! ฉันขอเตือนเธอไว้!” พจมาศพูดออกไปทั้งที่อินอรเดินหายจากวงสนทนาไปที่หน้าประตูร้านแล้ว พจมาศรู้สึกหงุดหงิด ที่ตรงนี้มันเหมาะกับพวกชนชั้นต่ำที่ชอบตะโกนแหกปากเสียงดังโวยวาย เธอจะเกลี้ยกล่อมลูกชายให้ย้ายที่ว่าการพรรคการเมืองไปอยู่ที่อื่น หรือว่าเธอควรหยุดการก่อสร้างต่อเติมไปก่อน งั้นเอาเหตุผลหลัง! “ดิฉันไม่แน่ใจว่าคุณนายคิดไปถึงไหนในเรื่องนี้ แต่ขอให้คุณนายวางใจเถอะค่ะ เวลาเกือบสามปีมันพิสูจน์อะไรได้หลายอย่าง ดิฉันไม่เคยคิดอยากจะยุ่งกับพวกคุณด้วยซ้ำ ทางที่ดีคุณไปบอกลูกชายคุณให้ย้ายพรรคไปตั้งรกรากที่อื่นเท่านั้นก็จบเรื่อง” อินอรพูดย้ำด้วยท่าทีหันหลังไม่มองหน้า ก่อนที่เธอจะเดินไปรูดประตูเหล็กและตะโกนบอกให้คนส่งลูกชิ้นกลับไปที่บ้านก่อน ‘อ้าวยังไม่เสร็จงานเหรอ! งั้นก็ได้เดี๋ยวลุงพาไปขับรถเล่นอีกสักรอบ’ อินอรถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นท้ายไฟรถมอเตอร์ไซค์ลิบ ๆ ไปอีกทางแล้ว เธอหมุนตัวกลับมาสายตาก็สบเข้าสบดวงตาสีเข้มของชายใส่สูทที่ติดตามเจ้านายพอดิบพอดี หญิงสาวเหยียดยิ้มใส่เขา ก่อนจะสับขาเดินผ่านหน้าเขาไป “เธอนี่มันชั้นต่ำจริง ๆ ฉันพูดกับเธออยู่แต่เธอดันไปพูดกับคนส่งของ! ไร้มารยาท!” อินอรไม่ใส่ใจคำต่อว่าต่อขานของคนตรงหน้า “เอาเป็นว่าคุณนายอย่าได้มาที่นี่อีก ทางที่ดีอย่ามาเจอะเจอกันอีกเลยค่ะ” เธอไม่พูดเปล่าแต่ยกมือกากบาทเป็นเชิงสัญลักษณ์ ทั้งยังมองไปที่ประตูร้านเป็นเชิงไล่ พจมาศโกรธจนความดันจะขึ้น แต่ก็ต้องยืนอดทนคุยเรื่องที่อยากจะคุยให้จบ! “คิดว่าฉันอยากมาเหยียบร้านโสโครกนี่นักหรือไง!” ถ้าไม่ใช่เพราะอยากจะมายืนยันบางอย่าง คนอย่างพจมาศไม่มีทางมาเหยียบหรือยืนหายใจร่วมกับผู้หญิงแพศยาที่จ้องทำลายอนาคตลูกชายเธอหรอก “อะไรที่คุณนายปรารถนา…คนข้างหลังคุณนายเขาก็สนองให้หมดทุกอย่างอยู่แล้ว ลูกน้องที่ดีใช่ไหมคะคุณนพ” นพคุณเม้มริมฝีปากเมินสายตามองไปทางอื่นแทน พจมาศมองนพคุณด้วยแววตามาดร้าย “ที่คุณนายไปได้ยินมาว่าดิฉันมีลูก จนคุณนายร้อนใจต้องลากตัวเองมาเอาความจริงที่นี่ งั้นจะบอกความจริง ใช่ค่ะ ดิฉันมีลูกสาวและกำลังจะสามขวบในอีกสองเดือน” เมื่อได้ยินที่อินอรพูดแล้วพจมาศเผลอกำมือที่สั่นเทาของตัวเองไว้แน่น “...เธอหมายความว่ายังไง” เรื่องระหว่างเรามันช่างยุ่งเหยิงจนอินอรไม่คิดว่าจะต้องมานั่งอธิบายอะไรอีก “ลูกของดิฉัน…ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของคุณาธรรมคุณ ไม่ใช่ลูกสาวของคุณส.ส.ใหญ่ที่กำลังมาตั้งที่ทำการพรรคชุมชนฝั่งตรงข้าม ดิฉันอยู่ที่นี่มันคนละชุมชนฝั่งนั้นอยู่แล้ว เรื่องงานเลี้ยงวันนี้ดิฉันไม่รู้ว่าเป็นงานของพรรคพวกคุณ ถ้ารู้ คงไม่รับ” มันไม่มีป้ายบอก ที่จริงที่นั่นยังสร้างไม่เสร็จดีเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะเจ้าของคือคนตรงหน้าจะเปิดเอาฤกษ์เอายาม ทำเอาคนทำที่ทำงานหัวหมุนไปหมด ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่ ก่อนที่พจมาศจะหาเสียงตัวเองเจอและพูดออกมา “ฉันจะแน่ใจได้ยังไง…ว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง” “สิ่งที่ดิฉันพูดไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่จริง คุณนายก็ทำให้มันจริงและไม่จริงได้ หรือคุณนายจะให้ดิฉันพิสูจน์?” “เธอกำลังขู่ฉันอินอร!” “เปล่าค่ะ ดิฉันแค่อยากจะเตือนคุณนายว่าความลับไม่มีในโลก และไม่มีใครที่จะโง่ตลอดไป” “ถ้าคุณนายไม่อยากจะให้ความลับที่เก็บซ่อนไว้ถูกเปิดเผย ดิฉันขอเตือนว่าอย่ามาที่นี่อีก! ออกไป!” “คนอย่างเธอต้องใช้น้ำกี่ขันถึงจะราดลง...กล้าดียังไงถึงได้เสนอหน้ามาอยู่ที่นี่!” น้ำเสียงถากถางที่ดังมาจากทางด้านหลัง หญิงสาวเจ้าของเรือนร่างบอบบางไม่อาจแน่ใจว่าเจ้าของเสียงต้องการที่จะสนทนากับใครจึงไม่ได้หันไปสนใจ “ไม่ได้ยินที่ฉันถามหรือไง!” พจมาศ คุณาธรรมคุณ กัดฟันถามด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เสียงฝีเท้าเดินย่ำเข้ามาใกล้ เจ้าของร่างบางจึงจำเป็นต้องหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้า เธอไม่ได้ตกใจที่เห็นคนตรงหน้าเพียงแต่ประหลาดใจก็เท่านั้น ทั้งที่ตลอดทั้งวันที่งานจัดเลี้ยงทำบุญหญิงสาวก็พยายามจะเลี่ยงคนผู้นี้แล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล “ดิฉันไม่ทราบว่าคุณนายพูดกับใคร” ดวงตากลมโตภายใต้แพขนตางอนยาวกะพริบเชื่องช้า  เมื่อเห็นอีกฝ่ายโกรธเธอจนปากสั่นก็ได้แต่เมินมอง ในตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในจุดที่ต้องเกรงกลัวหรือเกรงใจคนพวกนี้แล้ว “ต่ำช้า!” ผู้มาเยือนก่นเสียงด่าโทนต่ำราวกับว่ากลัวใครจะมาได้ยิน ส่วนคนโดนด่าไม่ได้มีท่าทีตกใจหรือแปลกใจอะไร แต่เธอเอาคืนอย่างเจ็บแสบด้วยการทำทีกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะหันกลับมาสบดวงตาของพจมาศที่มีความเกลียดชังเธออย่างเต็มเปี่ยม “คุณนายมีธุระอะไรกับร้านดิฉันหรือคะ?” อินอรเอ่ยถามก่อนจะหันหน้าไปทางขวามือตัวเอง เธอเหลือบสายตามองไปด้านหลังรถกระบะคันเก่าที่เป็นสมบัติของตัวเอง หญิงสาวเปิดร้านขายข้าวแกง พวกเราเพิ่งกลับจากงานจัดเลี้ยงที่มีคนมาจ้าง ลูกน้องของเธอกำลังเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ จำพวกหม้อไหกะละมังลงจากหลังกระบะ แต่อยู่ ๆ บุคคลตรงหน้าก็มาปรากฏตรงหน้าทำให้เป็นที่สนใจของพวกลูกน้องเธอ “ฉันไม่สะดวกพูดตรงนี้!” พจมาศแค่นเสียงบอกเธอและก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้ อินอรเลิกคิ้วขึ้นมองหญิงสูงวัยในชุดผ้าไหมดิ้นทอง กับชายวัยกลางคนที่สวมชุดสูทสีดำสนิท ทั้งคู่ยังคงมาด้วยกันเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง “งั้น...เชิญด้านในเถอะค่ะ” ร่างบอบบางในชุดเสื้อโปโลคอปกสีดำ กางเกงยีนสกินนี่สีเข้ม รองเท้าแตะหูหนีบธรรมดา เธอเดินนำเข้าไปในตึกสองชั้นที่รถกระบะคันเก่าจอดอยู่ด้านหน้า “นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือความตั้งใจของเธอกันแน่!” ยังไม่ทันจะพ้นประตูร้านดีเลยด้วยซ้ำ คนที่อินอรเชื้อเชิญเข้าร้านมาด้วยความจำเป็นก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก พจมาศตัวสั่นระริกเมื่อรู้แน่ชัดว่าอินอรเปิดร้านขายข้าวอยู่ที่นี่! “ทำไมคุณนายถึงถามดิฉันแบบนั้นล่ะคะ” อินอรเดินไปวางกระเป๋าคาดที่ใช้เก็บธนบัตรและเหรียญที่ได้จากการขายของลงบนโต๊ะ ก่อนจะหมุนตัวกลับมารอคำตอบจากคนที่ต้องการคำตอบจากเธอ “เธอไม่มีสิทธิ์มาตั้งคำถามกับฉัน” อินอรได้ยินแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “นั่นสิคะแล้วทำไมคุณนายถึงคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถามกับฉัน?” เธอตอกกลับทำเอาคนฟังเดือดเป็นไฟ “อินอร!!” หญิงสาวยกมือขึ้นจรดริมฝีปาก ก่อนจะแค่นยิ้มและมองคนตรงหน้าด้วยแววตาเฉยชา “ฉันคืออินอร คนที่คุณรู้จักฉันดีพอ ๆ กับที่ฉันรู้จักคุณดีนั่นแหละ เรามาพูดกันตรง ๆ เถอะค่ะ อย่ามัวอ้อมค้อมให้เสียเวลาเลย” อินอรยกสองมือขึ้นกอดอกมองหน้าอีกฝ่าย แววตาของเธอไม่ได้อ่อนแออย่างเช่นวันวานอีกแล้ว “ออกไปจากที่นี่! อย่าให้ฉันต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ!”  อินอรสบตาพจมาศเพราะอยากรู้ว่าทำไมคนคนนี้ถึงได้แสดงท่าทีมั่นใจว่าขู่ออกมาแล้วเธอจะต้องฟังอยู่อีก! แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือหัวเราะออกมา แถมยังมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่เชื่อว่าคนตรงหน้าจะกล้าพูดแบบนี้ “คุณนายจะทำเหมือนสามปีที่แล้วหรือคะ? คุณนาย…คนเรามันจะหนีกันได้ตลอดเลยหรือไง?” เธอถามกลับ และมองเลยไปสบตาผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้านายของเขา ดวงตาคมเข้มภายใต้แว่นสายตา เมื่อเห็นเธอมองก็หลบสายตาทันที นพคุณ ลูกน้องคนสนิทผู้เป็นดั่งมือเท้าของพจมาศ “อินอร! อย่าลืมว่าฉันทำให้เธอหายไปจากโลกนี้ได้! รวมทั้งร้านเฮงซวยนี่ด้วย!” อินอรพยักหน้ารับทราบและเชื่อในคำพูดของพจมาศ เธอรู้กิตติศัพท์ร้ายกาจของคนตรงหน้าดี พจมาศคนนี้เพื่อสิ่งที่ต้องการแล้วทำได้ทุกอย่าง อินอรหลับตาลง ก่อนจะลืมตาขึ้นเธอกวาดสายตามองไปทั่วร้าน และหยุดสายตาที่คอกกั้นเด็กด้านหลังโต๊ะเก็บเงิน “ดิฉันขายของอยู่ที่นี่นานแล้วค่ะ พรรคการเมืองที่คุณอุปถัมภ์เพิ่งย้ายมาที่นี่ เพราะฉะนั้นคนที่ย้ายออกไม่ควรเป็นฉัน” อินอรบอกกล่าวเสียงเรียบแลดูไม่ทุกข์ร้อนต่างกับอีกฝ่าย พจมาศรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะแพ้ผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนี้ เธอจะไม่มีวันยอมให้เป็นแบบนั้น! “เธอจะเอาเท่าไหร่ ต้องการเท่าไหร่บอกมา!” มือที่ประดับด้วยแหวนเพชรเม็ดโตยื่นไปด้านข้าง สมุดเช็คธนาคารก็ปรากฏแก่สายตา อินอรมองภาพนั่นก็ได้แต่ระอากับคนพวกนี้ อะไร ๆ ก็ใช้เงินฟาดหัว “ฉันจะไม่ย้ายไปไหน เหตุผลเดียวคือฉันมีครอบครัวต้องดูแล และที่นี่คือร้านทำมาหากินของฉัน” คำว่า ‘ครอบครัว’ ทำเอาพจมาศชาดิกไปทั้งร่างกาย “ฉันรู้ว่าคุณนายทำได้ทุกอย่าง งั้นทำยังไงก็ได้ให้ลูกชายคุณย้ายไปจากที่นี่จะดีกว่า ตรงนี้มันสลัมนะคะไม่เหมาะกับคนอย่างพวกคุณหรอกค่ะ” พจมาศได้ยินก็โกรธจนตัวสั่น เธอไม่เคยแพ้และจะมาแพ้แถมรู้สึกร้อนขอบตาเพราะคำพูดของผู้หญิงแพศยาคนนี้ไม่ได้ “นี่มันเป็นแผนของเธอใช่ไหมอินอร!” หญิงสาวรุ่นลูกแย้มยิ้ม ทั้งยังไม่ตอบคำถามให้พจมาศหายข้องใจ ในตอนนั้นมันเป็นจังหวะเดียวกับที่มีคนมาตะโกนเรียกอินอรหน้าร้าน “คุณนายไม่ควรอยู่ที่นี่ในเวลานี้นะคะ ร้านดิฉันขายข้าวแกงก็จริง แต่ตอนนี้ร้านปิดไปแล้ว” อินอรเดินผ่านพจมาศไปด้วยท่าทีร้อนรน จนนพคุณที่ยืนอยู่ต้องเหลียวหลังไปมองยังจุดที่อินอรมองออกไป ‘หนูอรเอ๊ยยยย ลุงเอาเจ้าลูกชิ้นก้อนโตมาส่งแล้ว’ “อย่ามายุ่งกับเอกณัฐ! ฉันขอเตือนเธอไว้!” พจมาศพูดออกไปทั้งที่อินอรเดินหายจากวงสนทนาไปที่หน้าประตูร้านแล้ว พจมาศรู้สึกหงุดหงิด ที่ตรงนี้มันเหมาะกับพวกชนชั้นต่ำที่ชอบตะโกนแหกปากเสียงดังโวยวาย เธอจะเกลี้ยกล่อมลูกชายให้ย้ายที่ว่าการพรรคการเมืองไปอยู่ที่อื่น หรือว่าเธอควรหยุดการก่อสร้างต่อเติมไปก่อน งั้นเอาเหตุผลหลัง! “ดิฉันไม่แน่ใจว่าคุณนายคิดไปถึงไหนในเรื่องนี้ แต่ขอให้คุณนายวางใจเถอะค่ะ เวลาเกือบสามปีมันพิสูจน์อะไรได้หลายอย่าง ดิฉันไม่เคยคิดอยากจะยุ่งกับพวกคุณด้วยซ้ำ ทางที่ดีคุณไปบอกลูกชายคุณให้ย้ายพรรคไปตั้งรกรากที่อื่นเท่านั้นก็จบเรื่อง” อินอรพูดย้ำด้วยท่าทีหันหลังไม่มองหน้า ก่อนที่เธอจะเดินไปรูดประตูเหล็กและตะโกนบอกให้คนส่งลูกชิ้นกลับไปที่บ้านก่อน ‘อ้าวยังไม่เสร็จงานเหรอ! งั้นก็ได้เดี๋ยวลุงพาไปขับรถเล่นอีกสักรอบ’ อินอรถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นท้ายไฟรถมอเตอร์ไซค์ลิบ ๆ ไปอีกทางแล้ว เธอหมุนตัวกลับมาสายตาก็สบเข้าสบดวงตาสีเข้มของชายใส่สูทที่ติดตามเจ้านายพอดิบพอดี หญิงสาวเหยียดยิ้มใส่เขา ก่อนจะสับขาเดินผ่านหน้าเขาไป “เธอนี่มันชั้นต่ำจริง ๆ ฉันพูดกับเธออยู่แต่เธอดันไปพูดกับคนส่งของ! ไร้มารยาท!” อินอรไม่ใส่ใจคำต่อว่าต่อขานของคนตรงหน้า “เอาเป็นว่าคุณนายอย่าได้มาที่นี่อีก ทางที่ดีอย่ามาเจอะเจอกันอีกเลยค่ะ” เธอไม่พูดเปล่าแต่ยกมือกากบาทเป็นเชิงสัญลักษณ์ ทั้งยังมองไปที่ประตูร้านเป็นเชิงไล่ พจมาศโกรธจนความดันจะขึ้น แต่ก็ต้องยืนอดทนคุยเรื่องที่อยากจะคุยให้จบ! “คิดว่าฉันอยากมาเหยียบร้านโสโครกนี่นักหรือไง!” ถ้าไม่ใช่เพราะอยากจะมายืนยันบางอย่าง คนอย่างพจมาศไม่มีทางมาเหยียบหรือยืนหายใจร่วมกับผู้หญิงแพศยาที่จ้องทำลายอนาคตลูกชายเธอหรอก “อะไรที่คุณนายปรารถนา…คนข้างหลังคุณนายเขาก็สนองให้หมดทุกอย่างอยู่แล้ว ลูกน้องที่ดีใช่ไหมคะคุณนพ” นพคุณเม้มริมฝีปากเมินสายตามองไปทางอื่นแทน พจมาศมองนพคุณด้วยแววตามาดร้าย “ที่คุณนายไปได้ยินมาว่าดิฉันมีลูก จนคุณนายร้อนใจต้องลากตัวเองมาเอาความจริงที่นี่ งั้นจะบอกความจริง ใช่ค่ะ ดิฉันมีลูกสาวและกำลังจะสามขวบในอีกสองเดือน” เมื่อได้ยินที่อินอรพูดแล้วพจมาศเผลอกำมือที่สั่นเทาของตัวเองไว้แน่น “...เธอหมายความว่ายังไง” เรื่องระหว่างเรามันช่างยุ่งเหยิงจนอินอรไม่คิดว่าจะต้องมานั่งอธิบายอะไรอีก “ลูกของดิฉัน…ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของคุณาธรรมคุณ ไม่ใช่ลูกสาวของคุณส.ส.ใหญ่ที่กำลังมาตั้งที่ทำการพรรคชุมชนฝั่งตรงข้าม ดิฉันอยู่ที่นี่มันคนละชุมชนฝั่งนั้นอยู่แล้ว เรื่องงานเลี้ยงวันนี้ดิฉันไม่รู้ว่าเป็นงานของพรรคพวกคุณ ถ้ารู้ คงไม่รับ” มันไม่มีป้ายบอก ที่จริงที่นั่นยังสร้างไม่เสร็จดีเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะเจ้าของคือคนตรงหน้าจะเปิดเอาฤกษ์เอายาม ทำเอาคนทำที่ทำงานหัวหมุนไปหมด ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่ ก่อนที่พจมาศจะหาเสียงตัวเองเจอและพูดออกมา “ฉันจะแน่ใจได้ยังไง…ว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง” “สิ่งที่ดิฉันพูดไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่จริง คุณนายก็ทำให้มันจริงและไม่จริงได้ หรือคุณนายจะให้ดิฉันพิสูจน์?” “เธอกำลังขู่ฉันอินอร!” “เปล่าค่ะ ดิฉันแค่อยากจะเตือนคุณนายว่าความลับไม่มีในโลก และไม่มีใครที่จะโง่ตลอดไป” “ถ้าคุณนายไม่อยากจะให้ความลับที่เก็บซ่อนไว้ถูกเปิดเผย ดิฉันขอเตือนว่าอย่ามาที่นี่อีก! ออกไป!”

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักนิยายปัจจุบันดราม่าโรแมนติกพาลูกกหนีพระเอกเก่ง

บทนำ

“คนอย่างเธอต้องใช้น้ำกี่ขันถึงจะราดลง...กล้าดียังไงถึงได้เสนอหน้ามาอยู่ที่นี่!”

น้ำเสียงถากถางที่ดังมาจากทางด้านหลัง หญิงสาวเจ้าของเรือนร่างบอบบางไม่อาจแน่ใจว่าเจ้าของเสียงต้องการที่จะสนทนากับใครจึงไม่ได้หันไปสนใจ

“ไม่ได้ยินที่ฉันถามหรือไง!” พจมาศ คุณาธรรมคุณ กัดฟันถามด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

เสียงฝีเท้าเดินย่ำเข้ามาใกล้ เจ้าของร่างบางจึงจำเป็นต้องหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้า เธอไม่ได้ตกใจที่เห็นคนตรงหน้าเพียงแต่ประหลาดใจก็เท่านั้น ทั้งที่ตลอดทั้งวันที่งานจัดเลี้ยงทำบุญหญิงสาวก็พยายามจะเลี่ยงคนผู้นี้แล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล

“ดิฉันไม่ทราบว่าคุณนายพูดกับใคร” ดวงตากลมโตภายใต้แพขนตางอนยาวกะพริบเชื่องช้า 

เมื่อเห็นอีกฝ่ายโกรธเธอจนปากสั่นก็ได้แต่เมินมอง ในตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในจุดที่ต้องเกรงกลัวหรือเกรงใจคนพวกนี้แล้ว

“ต่ำช้า!” ผู้มาเยือนก่นเสียงด่าโทนต่ำราวกับว่ากลัวใครจะมาได้ยิน ส่วนคนโดนด่าไม่ได้มีท่าทีตกใจหรือแปลกใจอะไร แต่เธอเอาคืนอย่างเจ็บแสบด้วยการทำทีกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะหันกลับมาสบดวงตาของพจมาศที่มีความเกลียดชังเธออย่างเต็มเปี่ยม

“คุณนายมีธุระอะไรกับร้านดิฉันหรือคะ?”

อินอรเอ่ยถามก่อนจะหันหน้าไปทางขวามือตัวเอง เธอเหลือบสายตามองไปด้านหลังรถกระบะคันเก่าที่เป็นสมบัติของตัวเอง

หญิงสาวเปิดร้านขายข้าวแกง พวกเราเพิ่งกลับจากงานจัดเลี้ยงที่มีคนมาจ้าง ลูกน้องของเธอกำลังเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ จำพวกหม้อไหกะละมังลงจากหลังกระบะ แต่อยู่ ๆ บุคคลตรงหน้าก็มาปรากฏตรงหน้าทำให้เป็นที่สนใจของพวกลูกน้องเธอ

“ฉันไม่สะดวกพูดตรงนี้!” พจมาศแค่นเสียงบอกเธอและก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้

อินอรเลิกคิ้วขึ้นมองหญิงสูงวัยในชุดผ้าไหมดิ้นทอง กับชายวัยกลางคนที่สวมชุดสูทสีดำสนิท ทั้งคู่ยังคงมาด้วยกันเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

“งั้น...เชิญด้านในเถอะค่ะ” ร่างบอบบางในชุดเสื้อโปโลคอปกสีดำ กางเกงยีนสกินนี่สีเข้ม รองเท้าแตะหูหนีบธรรมดา เธอเดินนำเข้าไปในตึกสองชั้นที่รถกระบะคันเก่าจอดอยู่ด้านหน้า

“นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือความตั้งใจของเธอกันแน่!”

ยังไม่ทันจะพ้นประตูร้านดีเลยด้วยซ้ำ คนที่อินอรเชื้อเชิญเข้าร้านมาด้วยความจำเป็นก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก

พจมาศตัวสั่นระริกเมื่อรู้แน่ชัดว่าอินอรเปิดร้านขายข้าวอยู่ที่นี่!

“ทำไมคุณนายถึงถามดิฉันแบบนั้นล่ะคะ”

อินอรเดินไปวางกระเป๋าคาดที่ใช้เก็บธนบัตรและเหรียญที่ได้จากการขายของลงบนโต๊ะ ก่อนจะหมุนตัวกลับมารอคำตอบจากคนที่ต้องการคำตอบจากเธอ

“เธอไม่มีสิทธิ์มาตั้งคำถามกับฉัน” อินอรได้ยินแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

“นั่นสิคะแล้วทำไมคุณนายถึงคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถามกับฉัน?” เธอตอกกลับทำเอาคนฟังเดือดเป็นไฟ

“อินอร!!” หญิงสาวยกมือขึ้นจรดริมฝีปาก ก่อนจะแค่นยิ้มและมองคนตรงหน้าด้วยแววตาเฉยชา

“ฉันคืออินอร คนที่คุณรู้จักฉันดีพอ ๆ กับที่ฉันรู้จักคุณดีนั่นแหละ เรามาพูดกันตรง ๆ เถอะค่ะ อย่ามัวอ้อมค้อมให้เสียเวลาเลย”

อินอรยกสองมือขึ้นกอดอกมองหน้าอีกฝ่าย แววตาของเธอไม่ได้อ่อนแออย่างเช่นวันวานอีกแล้ว

“ออกไปจากที่นี่! อย่าให้ฉันต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ!” 

อินอรสบตาพจมาศเพราะอยากรู้ว่าทำไมคนคนนี้ถึงได้แสดงท่าทีมั่นใจว่าขู่ออกมาแล้วเธอจะต้องฟังอยู่อีก! แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือหัวเราะออกมา แถมยังมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่เชื่อว่าคนตรงหน้าจะกล้าพูดแบบนี้

“คุณนายจะทำเหมือนสามปีที่แล้วหรือคะ? คุณนาย…คนเรามันจะหนีกันได้ตลอดเลยหรือไง?” เธอถามกลับ และมองเลยไปสบตาผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้านายของเขา

ดวงตาคมเข้มภายใต้แว่นสายตา เมื่อเห็นเธอมองก็หลบสายตาทันที นพคุณ ลูกน้องคนสนิทผู้เป็นดั่งมือเท้าของพจมาศ

“อินอร! อย่าลืมว่าฉันทำให้เธอหายไปจากโลกนี้ได้! รวมทั้งร้านเฮงซวยนี่ด้วย!” อินอรพยักหน้ารับทราบและเชื่อในคำพูดของพจมาศ เธอรู้กิตติศัพท์ร้ายกาจของคนตรงหน้าดี

พจมาศคนนี้เพื่อสิ่งที่ต้องการแล้วทำได้ทุกอย่าง

อินอรหลับตาลง ก่อนจะลืมตาขึ้นเธอกวาดสายตามองไปทั่วร้าน และหยุดสายตาที่คอกกั้นเด็กด้านหลังโต๊ะเก็บเงิน

“ดิฉันขายของอยู่ที่นี่นานแล้วค่ะ พรรคการเมืองที่คุณอุปถัมภ์เพิ่งย้ายมาที่นี่ เพราะฉะนั้นคนที่ย้ายออกไม่ควรเป็นฉัน”

อินอรบอกกล่าวเสียงเรียบแลดูไม่ทุกข์ร้อนต่างกับอีกฝ่าย

พจมาศรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะแพ้ผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนี้ เธอจะไม่มีวันยอมให้เป็นแบบนั้น!

“เธอจะเอาเท่าไหร่ ต้องการเท่าไหร่บอกมา!” มือที่ประดับด้วยแหวนเพชรเม็ดโตยื่นไปด้านข้าง

สมุดเช็คธนาคารก็ปรากฏแก่สายตา อินอรมองภาพนั่นก็ได้แต่ระอากับคนพวกนี้ อะไร ๆ ก็ใช้เงินฟาดหัว

“ฉันจะไม่ย้ายไปไหน เหตุผลเดียวคือฉันมีครอบครัวต้องดูแล และที่นี่คือร้านทำมาหากินของฉัน”

คำว่า ‘ครอบครัว’ ทำเอาพจมาศชาดิกไปทั้งร่างกาย

“ฉันรู้ว่าคุณนายทำได้ทุกอย่าง งั้นทำยังไงก็ได้ให้ลูกชายคุณย้ายไปจากที่นี่จะดีกว่า ตรงนี้มันสลัมนะคะไม่เหมาะกับคนอย่างพวกคุณหรอกค่ะ” พจมาศได้ยินก็โกรธจนตัวสั่น เธอไม่เคยแพ้และจะมาแพ้แถมรู้สึกร้อนขอบตาเพราะคำพูดของผู้หญิงแพศยาคนนี้ไม่ได้

“นี่มันเป็นแผนของเธอใช่ไหมอินอร!” หญิงสาวรุ่นลูกแย้มยิ้ม ทั้งยังไม่ตอบคำถามให้พจมาศหายข้องใจ

ในตอนนั้นมันเป็นจังหวะเดียวกับที่มีคนมาตะโกนเรียกอินอรหน้าร้าน

“คุณนายไม่ควรอยู่ที่นี่ในเวลานี้นะคะ ร้านดิฉันขายข้าวแกงก็จริง แต่ตอนนี้ร้านปิดไปแล้ว”

อินอรเดินผ่านพจมาศไปด้วยท่าทีร้อนรน จนนพคุณที่ยืนอยู่ต้องเหลียวหลังไปมองยังจุดที่อินอรมองออกไป

‘หนูอรเอ๊ยยยย ลุงเอาเจ้าลูกชิ้นก้อนโตมาส่งแล้ว’

“อย่ามายุ่งกับเอกณัฐ! ฉันขอเตือนเธอไว้!”

พจมาศพูดออกไปทั้งที่อินอรเดินหายจากวงสนทนาไปที่หน้าประตูร้านแล้ว

พจมาศรู้สึกหงุดหงิด ที่ตรงนี้มันเหมาะกับพวกชนชั้นต่ำที่ชอบตะโกนแหกปากเสียงดังโวยวาย เธอจะเกลี้ยกล่อมลูกชายให้ย้ายที่ว่าการพรรคการเมืองไปอยู่ที่อื่น หรือว่าเธอควรหยุดการก่อสร้างต่อเติมไปก่อน งั้นเอาเหตุผลหลัง!

“ดิฉันไม่แน่ใจว่าคุณนายคิดไปถึงไหนในเรื่องนี้ แต่ขอให้คุณนายวางใจเถอะค่ะ เวลาเกือบสามปีมันพิสูจน์อะไรได้หลายอย่าง ดิฉันไม่เคยคิดอยากจะยุ่งกับพวกคุณด้วยซ้ำ ทางที่ดีคุณไปบอกลูกชายคุณให้ย้ายพรรคไปตั้งรกรากที่อื่นเท่านั้นก็จบเรื่อง”

อินอรพูดย้ำด้วยท่าทีหันหลังไม่มองหน้า ก่อนที่เธอจะเดินไปรูดประตูเหล็กและตะโกนบอกให้คนส่งลูกชิ้นกลับไปที่บ้านก่อน

‘อ้าวยังไม่เสร็จงานเหรอ! งั้นก็ได้เดี๋ยวลุงพาไปขับรถเล่นอีกสักรอบ’

อินอรถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นท้ายไฟรถมอเตอร์ไซค์ลิบ ๆ ไปอีกทางแล้ว

เธอหมุนตัวกลับมาสายตาก็สบเข้าสบดวงตาสีเข้มของชายใส่สูทที่ติดตามเจ้านายพอดิบพอดี

หญิงสาวเหยียดยิ้มใส่เขา ก่อนจะสับขาเดินผ่านหน้าเขาไป

“เธอนี่มันชั้นต่ำจริง ๆ ฉันพูดกับเธออยู่แต่เธอดันไปพูดกับคนส่งของ! ไร้มารยาท!” อินอรไม่ใส่ใจคำต่อว่าต่อขานของคนตรงหน้า

“เอาเป็นว่าคุณนายอย่าได้มาที่นี่อีก ทางที่ดีอย่ามาเจอะเจอกันอีกเลยค่ะ”

เธอไม่พูดเปล่าแต่ยกมือกากบาทเป็นเชิงสัญลักษณ์ ทั้งยังมองไปที่ประตูร้านเป็นเชิงไล่

พจมาศโกรธจนความดันจะขึ้น แต่ก็ต้องยืนอดทนคุยเรื่องที่อยากจะคุยให้จบ!

“คิดว่าฉันอยากมาเหยียบร้านโสโครกนี่นักหรือไง!”

ถ้าไม่ใช่เพราะอยากจะมายืนยันบางอย่าง คนอย่างพจมาศไม่มีทางมาเหยียบหรือยืนหายใจร่วมกับผู้หญิงแพศยาที่จ้องทำลายอนาคตลูกชายเธอหรอก

“อะไรที่คุณนายปรารถนา…คนข้างหลังคุณนายเขาก็สนองให้หมดทุกอย่างอยู่แล้ว ลูกน้องที่ดีใช่ไหมคะคุณนพ” นพคุณเม้มริมฝีปากเมินสายตามองไปทางอื่นแทน พจมาศมองนพคุณด้วยแววตามาดร้าย

“ที่คุณนายไปได้ยินมาว่าดิฉันมีลูก จนคุณนายร้อนใจต้องลากตัวเองมาเอาความจริงที่นี่ งั้นจะบอกความจริง ใช่ค่ะ ดิฉันมีลูกสาวและกำลังจะสามขวบในอีกสองเดือน”

เมื่อได้ยินที่อินอรพูดแล้วพจมาศเผลอกำมือที่สั่นเทาของตัวเองไว้แน่น

“...เธอหมายความว่ายังไง” เรื่องระหว่างเรามันช่างยุ่งเหยิงจนอินอรไม่คิดว่าจะต้องมานั่งอธิบายอะไรอีก

“ลูกของดิฉัน…ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของคุณาธรรมคุณ ไม่ใช่ลูกสาวของคุณส.ส.ใหญ่ที่กำลังมาตั้งที่ทำการพรรคชุมชนฝั่งตรงข้าม ดิฉันอยู่ที่นี่มันคนละชุมชนฝั่งนั้นอยู่แล้ว เรื่องงานเลี้ยงวันนี้ดิฉันไม่รู้ว่าเป็นงานของพรรคพวกคุณ ถ้ารู้ คงไม่รับ”

มันไม่มีป้ายบอก ที่จริงที่นั่นยังสร้างไม่เสร็จดีเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะเจ้าของคือคนตรงหน้าจะเปิดเอาฤกษ์เอายาม ทำเอาคนทำที่ทำงานหัวหมุนไปหมด

ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่ ก่อนที่พจมาศจะหาเสียงตัวเองเจอและพูดออกมา

“ฉันจะแน่ใจได้ยังไง…ว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง”

“สิ่งที่ดิฉันพูดไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่จริง คุณนายก็ทำให้มันจริงและไม่จริงได้ หรือคุณนายจะให้ดิฉันพิสูจน์?”

“เธอกำลังขู่ฉันอินอร!”

“เปล่าค่ะ ดิฉันแค่อยากจะเตือนคุณนายว่าความลับไม่มีในโลก และไม่มีใครที่จะโง่ตลอดไป”

“ถ้าคุณนายไม่อยากจะให้ความลับที่เก็บซ่อนไว้ถูกเปิดเผย ดิฉันขอเตือนว่าอย่ามาที่นี่อีก! ออกไป!”