4 ตามล่า
4
ตามล่า
“ครับๆ ได้ครับ ขอบคุณคุณวาทีมากนะครับ สำหรับข่าวดี”
เกริกตอบรับอย่างออกอาการดีใจ หลังได้รับสายจากเลขาของคู่ค้าคนสำคัญ ที่เขาพยายามยื่นขอเจรจาทำสัญญาทางธุระกิจมาร่วมสองปี วันนี้ข่าวดีที่เฝ้ารอก็กำลังจะเป็นจริงจนได้
การได้นำจิวเวลรี่ขึ้นขายบนห้างสรรพสินค้าในเครือของบดินทร์ ไม่ใช่แค่มีโอกาสได้กอบโกยกำไรมหาศาล มันยังเป็นช่องทางโปรโมท ให้ผู้คนทั่วโลกได้รู้จักสินค้าของเขามากขึ้น
[แต่ท่านประธานมีเงื่อนไขเล็กน้อย เกี่ยวกับการคุยเรื่องสัญญาในวันพรุ่งนี้ด้วยครับ]
“ว่ามาเลยครับคุณวาที ผมยินดีทำตามทุกอย่าง”
ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟทำอะไรก็ตามแต่ เกริกพร้อมจะน้อมรับคำขอนั้น เพื่อให้การเซ็นสัญญาเป็นไปได้อย่างราบรื่น
ช่วงนี้กิจการอยู่ในช่วงขาลง กราฟหุ้นบริษัทตกต่ำจนน่าใจหาย พยายามกอบกู้ทุกวิถีทางทว่ากลับไร้ท่าทีว่าจะกระเตื้องขึ้น มีเพียงเขาที่ต้องแบกรับภาระนี้ไว้บนบ่า ลูกสาวคนโตที่ตั้งใจจะฝากฝังธุรกิจของครอบครัวให้ดูแลต่อ กลับเอาแต่เที่ยวเล่นไม่คิดช่วยเหลือ
บดินทร์คือหนทางรอดเดียวของเกริก ขอเพียงแค่ได้สัญญาค้าขายร่วมกันมาครอบครอง วิกฤตจะพลิกขึ้นเป็นโอกาสทันที
[ท่านประธานอยากให้คุณเกริกพาลูกสาวมาด้วยครับ]
“ครับ?”
เกริกรู้สึกประหลาดใจกับเงื่อนไขข้อนี้มาก ใช่ว่าเขาทำให้ไม่ได้ แค่พาลูกสาวไปนั่งรับประทานอาหารร่วมกันระหว่างเจรจาธุรกิจ มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ที่สงสัยคือเหตุใดต้องพาไป ทั้งๆ ที่พวกเธอก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้
[คุณเกริกไม่สะดวกเหรอครับ?]
“เปล่าครับๆ ผมสะดวก”
แม้สงสัยแต่เกริกเลือกที่จะไม่ถามซักไซ้ อยากรู้อยากเห็นมากเกินไปมันอาจไม่ดีต่อสัญญาในครั้งนี้ อยากให้พาไปเขาก็จะพาไป ดีซะอีก เผื่อบดินทร์เกิดถูกใจลูกสาวคนใดคนหนึ่งของเขา ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว
[งั้นพรุ่งนี้ 6 โมงเย็นพบกันที่ภัตตาคาร A ครับ]
วาทีนัดแนะเวลาและสถานที่เสร็จ จึงตัดจบบทสนทนาเพียงเท่านั้น
เกริกแสดงท่าทางดีใจอยู่ลำพังในห้องทำงาน ก่อนเอื้อมหยิบโทรศัพท์ ทำท่าจะกดโทรหานิทานเพื่อแจ้งข่าวดีครั้งนี้ ทว่าเขากลับชะงักและนิ่งคิด
บอกไปก็ใช่ว่าลูกสาวตัวดีจะรู้สึกร่วมอะไรด้วย เธอไม่ใส่ใจอะไรที่เกี่ยวกับวงศ์ตระกูลอยู่แล้ว วันๆ สร้างแต่เรื่องสร้างแต่ปัญหา เผลอๆ พาไปด้วยพรุ่งนี้อาจก่อเรื่องงามหน้าขึ้นอีก
เกริกตัดสินใจที่จะไม่พูดคุยเรื่องนี้กับนิทาน และกดโทรศัพท์โทรหาภรรยาของตัวเองแทน บดินทร์บอกแค่ว่าให้พาลูกสาวไปด้วย แต่ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคน เพราะฉะนั้นลูกสาวคนเล็กคือตัวเลือกที่ดีที่สุด
“เรียบร้อยแล้วครับท่านประธาน พรุ่งนี้ผมนัดคุณเกริก 6 โมงเย็นที่ภัตตาคาร A”
หลังวางสายจากเกริกแล้ว วาทีรีบเดินเข้ามาแจ้งผู้เป็นเจ้านายในห้องทำงาน
“เยี่ยม”
ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นจากกองเอกสาร คลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจกับข่าวที่ได้รับ
บดินทร์อยากรู้เสียจริง ว่าพรุ่งนี้ตอนได้เจอกันอีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นจะแสดงสีหน้าแบบไหน แล้วตัวคนเป็นพ่อ มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับแผนการสิ้นคิดของลูกสาวตัวเองหรือเปล่า
กิจการของครอบครัวตกอยู่ในสภาวะแขวนบนเส้นด้าย คนพวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ตั้งใจจะใช้ไม้นี้เพื่อเอามาต่อรองธุรกิจกับเขางั้นหรือ คงเข้าใจว่าบดินทร์จับง่ายเหมือนผู้ชายไร้สมองสินะ
“ท่านประธาน ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
วาทีทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว เขาคันปากยิบๆ มาตั้งแต่ตอนที่ได้รับคำสั่งจากเจ้านายให้ติดต่อเกริก
“ว่ามาสิ”
“ห้างเราไม่มีพื้นที่พอให้วางขายจิวเวลรี่เพิ่ม แล้วทำไมท่านประธานถึงนัดคุณเกริกคุยเรื่องสัญญาล่ะครับ?”
“แล้วทำไมฉันจะนัดคุณเกริกคุยเรื่องสัญญาไม่ได้?”
“ก็ถ้าท่านประธานเซ็นสัญญาอนุญาต ให้คุณเกริกนำสิ้นค้าขึ้นขายบนห้าง แล้วเราจะเอาพื้นที่ตรงส่วนไหนให้เขาล่ะครับ?”
บดินทร์คลี่ยิ้มเยือกเย็นคล้ายมีแผนชั่วร้ายบางอย่างในใจ นั่นยิ่งทำให้วาทีรู้สึกสงสัย
“แล้วใครบอกว่าฉันจะเซ็นสัญญา?”
“อ้าว แล้วท่านประธานนัดคุณเกริกมาทำไมเหรอครับ?”
“ฉันอยากเจอลูกสาวของเขาต่างหาก”
คงหมายถึงผู้หญิงที่ให้เขาไปตามสืบข้อมูลมาแน่ๆ เธอคือคนที่บดินทร์หิ้วขึ้นห้องเมื่อคืน แต่ผู้หญิงคนนั้นไปทำอะไรให้เจ้านายของเขากัน ถึงได้ดูตามแค้นเคืองขนาดนี้
วาทีไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับ เพราะสีหน้าและแววตาของบดินทร์ตอนนี้ดูแข็งกร้าว จึงหันหลังเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
ภัตตาคาร A
เวลา 17:45 น.
ด้วยความตื่นเต้นเพราะคิดว่าจะได้เซ็นสัญญา เกริกจึงพานาราลูกสาวคนเล็ก มานั่งรอบดินทร์ก่อนเวลานัดร่วมหนึ่งชั่วโมง
“คุณพ่อคะ นาราเบื่อจะรอแล้วนะ”
วันนี้นารามีนัดดื่มกับเพื่อนๆ หลังเลิกเรียน แต่กลับถูกแม่โทรตามอย่างเร่งด่วน จึงรีบถ่อสังขารจากมหาลัยกลับมาบ้าน เพราะคิดว่ามีเรื่องเร่งด่วนสำคัญ
ที่ไหนได้กลับต้องมานั่งเป็นตุ๊กตา ทำตัวน่ารักระหว่างที่พ่อของเธอเจรจาธุรกิจ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่เด็กสาววัยยี่สิบโปรดปรานเสียเท่าไหร่ เรื่องของผู้ใหญ่จะลากเธอมาด้วยทำไมก็ไม่รู้
“อดทนหน่อยนะลูก สัญญาฉบับนี้สำคัญกับพ่อมาก”
เกริกรู้ว่าลูกสาวรู้สึกเช่นไร เขาสังเกตเห็นสีหน้าบูดบึ้งของนารามาตั้งแต่ที่บ้านแล้ว ใจจริงก็ไม่ได้อยากพาลูกมาทรมาน แต่มันช่วยไม่ได้ เพราะทางฝั่งนั้นยื่นเงื่อนไขมาแบบนี้
“แล้วทำไมตาลุงนั่นถึงต้องให้พ่อพานารามาด้วยล่ะคะ?”
ด้วยความที่บดินทร์อายุห่างกับนาราถึงเก้าปี เด็กสาวคนนี้จึงไม่ได้เกิดความพิศวาสอะไรในตัวเขาเท่าไหร่นัก เคยเห็นแต่ในรูปถ่ายตามนิตยสารธุรกิจ หน้าตาก็ดูหล่อเหลาดีแต่ไม่ใช่สเปคของเธอ
“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“น่าเบื่อ!!”
“ขอโทษที่ทำให้ต้องรอนาน ผมไม่รู้ว่าพวกคุณจะมาถึงก่อนเวลาตั้ง 1 ชั่วโมง”
บดินทร์เอ่ยขึ้น หลังเปิดประตูเข้ามาได้ยินประโยคสนทนาระหว่างพ่อลูก
พนักงานต้อนรับได้โทรแจ้งวาทีไว้ ตั้งแต่เกริกมาถึงสถานที่นัดหมายแล้ว แต่เพราะบดินทร์ติดประชุม อีกทั้งมันไม่ใช่เวลาที่พวกเขานัดหมายกัน เจ้าตัวจึงไม่ใส่ใจปล่อยให้สองพ่อลูกนั่งรอต่อไป
“เอ่อ... ไม่เป็นไรเลยครับคุณบดินทร์ ผมยินดี”
เกริกรีบหยัดกายลุกหันหลังไปตอบด้วยท่าทางประหม่า เพราะกลัวว่าบดินทร์จะได้ยินและถือสา ประโยคที่นาราเพิ่งบ่นไปเมื่อครู่ พร้อมสะกิดคนตัวเล็ก ส่งสัญญาณให้เธอรีบหันหลังมาขอโทษเขาเช่นกัน แต่นารากลับนั่งเฉย
“แต่ดูลูกสาวคุณจะไม่คิดแบบนั้นนะ”
ดวงตาคมมองจ้องร่างเล็ก ซึ่งกำลังนั่งหันหลังให้ด้วยแววตาไม่พอใจ เกริกเห็นเช่นนั้นจึงรีบสะกิดลูกสาวหนักขึ้น
“ขอโทษค่ะ นาราแค่เหนื่อยกับการเรียน”
นารายอมลุกขึ้นและหันหลังกลับมายกมือไหว้คนอายุมากกว่า นั่นจึงทำให้บดินทร์เห็นหน้าของเธอชัดเจน
ดวงตาคมเบิกขึ้นด้วยความประหลาดใจ เพราะเธอคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงที่เขาต้องการพบ ใบหน้าหล่อเหลาตึงขึ้นด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ลากสายตามองทางอื่นอย่างรู้สึกผิดหวัง
ขณะที่นารากำลังตื่นตะลึงในรูปลักษณ์ ของบุคคลที่เธอเพิ่งใช้สรรพนามเรียกขานเขาว่าลุง ตัวจริงบดินทร์ดูหนุ่มกว่าวัยมาก แถมเขายังดูหล่อสมาร์ทตรงสเปคสุดๆ เล่นเอาหัวใจดวงเล็กเต้นระรัว
“วันนี้ผมรู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยดี เอาเป็นว่าเราค่อยคุยเรื่องสัญญากันวันหลัง เดี๋ยวผมจะให้เลขาติดต่อกลับไปหาคุณใหม่”
“ครับ?”
“เชิญพวกคุณทานอาหารกันตามสบาย ค่าเสียหายเดี๋ยวผมจ่ายให้ทั้งหมด”
ร่างสูงหมุนกายเดินออกจากห้องอาหารส่วนตัวทันที ตัดจบบทสนทนาโดยไม่ปล่อยโอกาสให้อีกฝ่ายได้ไถ่ถาม
เขารู้สึกหงุดหงิดมากจริงๆ ที่ทุกอย่างมันไม่เป็นไปดั่งที่คาดคิด ผู้หญิงในห้องควรเป็นนิทานไม่ใช่นารา เขาอุตส่าห์เสียสละเวลาอันมีค่าเลื่อนนัดสำคัญไปวันอื่น เพื่อมาดูสีหน้าตื่นตระหนกของเธอ
ท่อนขายาวซึ่งกำลังจ้ำก้าวเดินออกจากภัตตาคารหยุดชะงัก หันกลับไปยกมือชี้หน้าเลขาคนสนิท พร้อมออกคำสั่งเสียงเข้ม
“หาเวลานัดคุณเกริกใหม่ ขอแบบเร็วที่สุด”
“…”
“แล้วครั้งนี้ย้ำกับเขาเลยนะ ว่าต้องเป็นลูกสาวคนโตเท่านั้น!!”
บดินทร์อยากจะระเบิดอารมณ์ใส่วาที แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำ เพราะถือว่าตนออกคำสั่งไม่ชัดเจนในตอนต้น แต่ครั้งนี้หากผิดพลาดอีก วาทีมีโอกาสได้เปลี่ยนงานใหม่อย่างแน่นอน
“อะไรกันคะเนี่ยคุณพ่อ คุณบดินทร์เขาเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก?”
นาราเปิดบทสนทนาอย่างหัวเสีย หลังร่างสูงเดินจากไป ปล่อยเธอกับพ่อทิ้งเอาไว้ด้านหลัง
“เพราะเรานั่นแหละ พ่อบอกให้ทำตัวดีๆ สัก 2-3 ชั่วโมง เห็นไหม คุณบดินทร์เขาไม่พอใจจนยกเลิกการเจรจาเลย”
เกริกเองก็หัวเสียไม่แพ้กัน หยัดกายนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหงุดหงิด มือข้างหนึ่งทุบลงบนโต๊ะอย่างแรงจนลูกสาวสะดุ้งโหยง
เขาคาดหวังการคุยเรื่องสัญญาวันนี้มาก พลาดโอกาสนี้ไปแล้ว ไม่รู้ว่าครั้งถัดไปของบดินทร์จะเป็นเมื่อไหร่ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้ชายคนนี้จะติดต่อมา
“ทำไมคุณพ่อต้องโทษนาราด้วยล่ะคะ”
ตามประสาเด็กวัยรุ่นเอาแต่ใจไม่ยอมรับผิด แย้งอย่างข้างๆ คูๆ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นความผิดของตัวเอง
บดินทร์คงได้ยินตอนเธอบ่นอุบอิบกับพ่อเข้า จึงไม่พอใจและล่มการคุยในครั้งนี้ แต่จะให้ยอมรับและขอโทษแต่โดยดีเหรอ เหอะ! คงจะเป็นไปได้ยากเสียหน่อย
“โอ๊ย! มีลูกแต่ละคนไม่ได้ดั่งใจสักคน!!”
ด้วยความโมโหเกริกจึงโวยวายเสียงดัง หยัดกายลุกเดินออกจากห้องอาหาร ไม่สนใจว่านาราจะเดินตามตนกลับไปที่รถหรือไม่ โตป่านนี้แล้วหาทางกลับบ้านไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป
