บทที่ 3 ฝาแฝด (ตอนต้น)
“ยินดีต้อนรับกลับครับคุณชาย” พ่อบ้านออกมาต้อนรับริงซี่ด้วยตัวเอง ท่าทางของเขาดูจะคาดไว้อยู่แล้วว่า แค่ไม่มีรถไปรับก็ไม่อาจขวางทางกลับบ้านของคุณชาย (?) คนนี้ได้
“อืม กลับมาแล้ว” ริงซี่กลอกตาไปมาหลังจากถูกต้อนรับด้วยคำพูดชวนหงุดหงิด “ท่านรัสเทมกับคุณนายหลินซีอยู่ไหนเหรอ?”
“ท่านรัสเทมยังไม่กลับครับ ส่วนคุณหญิงหลินซีนั่งรอที่ห้องโถงกลางแล้วครับ”
“อืม ขอบใจ” ริงซี่พยักหน้าเบา ๆ แล้วรีบเดินไปยังห้องโถงรับรองในทันที โดยมีเด็กหนุ่มฝาแฝดเดินตามหลังมาติด ๆ ด้วยสีหน้าสนใจเล็กน้อย
คฤหาสน์ตระกูลบาเรสเทียร์นั้นใหญ่โตมาก ห้องโถงจึงมีด้วยกันสามห้องเพื่อไว้รับรองแขกและสำหรับนั่งเล่นของสมาชิกในครอบครัว ห้องโถงกลางเป็นห้องที่ริงซี่และรัสเทมใช้บ่อยที่สุด คุณนายหลินซีเองเมื่อกลับมาก็ใช้ที่นี่สำหรับนั่งพักผ่อนหย่อนอารมณ์เช่นกัน
“ท่านแม่!!”
ริงซี่ผลักประตูห้องโถงออกแล้วพุ่งเข้าไปหาคนที่นั่งอย่างสง่างามอยู่บนโซฟาตัวยาว หญิงสาวผู้มีความสวยโดดเด่นใบหน้างามดังประติมากรรมชั้นเลิศ ผมสีดำขลับตรงยาวถึงบั้นเอว ดวงตาสีดำสนิทคมสวยปรายมองร่างของลูกสาว ริงซี่พุ่งเข้ามากอดเอวคอดกิ่วนั้นหลวม ๆ พลางถูไถศีรษะไปมาอย่างออดอ้อน
“กลับมาแล้วเหรอริงซี่” เสียงหวานใสดั่งระฆังแก้วเอ่ย มือเรียวบางขาวดุจหยกลูบเส้นผมสีดำนุ่มแต่สั้นระต้นคอ “กลับมาช้ากว่าที่คิดนิดหน่อยนะ โฮะ ๆ”
“นั่นเพราะใครกันล่ะ” ริงซี่เงยหน้าขึ้นมองค้อน เธอลุกขึ้นไปนั่งข้าง ๆ อย่างแง่งอน
“ก็พวกเขาบอกอยากทดสอบคนที่จะเป็นเจ้านายของพวกเขานี่นา” หลินซีหัวเราะพลางปรายตามองเด็กหนุ่มฝาแฝดที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่หน้าประตูห้องแล้วยิ้มกว้าง “เป็นยังไงบ้าง ริงซี่สอบผ่านสำหรับพวกเธอหรือเปล่าจ๊ะ ดีน เด็น”
“จะว่ายังไงล่ะครับนายหญิง ลูกชะ... เอ่อ ลูกสาวของท่านค่อนข้างประหลาด” เด็นตอบขณะมองริงซี่ที่กินขนมอย่างเฉื่อยชา ไม่มีพูดโต้แย้งอะไรออกมา
“ประหลาดงั้นเหรอ?” หลินซีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงให้อธิบาย
“ใช่ครับ ไม่เหมือนลูกคนรวยทั่วไปที่พวกเราเคยเจอเลย” ดีน กล่าวเสริม “ทั้งความคิด ทั้งการกระทำ รวมไปถึงนิสัยที่แสดงออก... โดยรวมเรียกว่าแปลกประหลาดอย่างน่าอัศจรรย์เลยล่ะครับ”
“ฟังแล้วไม่เหมือนคำชม” ริงซี่พึมพำ สองฝาแฝดหันขวับมามองแล้วตอบพร้อมกันทันที
“ก็ไม่ได้ชมน่ะสิ!”
“งั้นริงซี่ไม่ผ่าน?” หลินซีถามเสียงเข้ม ดวงตาคู่สวยหรี่ลง
“ผ่านสิครับ” สองหนุ่มพยักหน้าแล้วขยับยิ้มกว้าง “ไม่ผ่านได้ยังไง แปลกขนาดนี้คงหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว”
“นั่นก็แลดูไม่ใช่คำชมนะ...”
“ก็ไม่ได้ชมไง!” สองฝาแฝดหันไปถลึงตาใส่ริงซี่ที่เปลี่ยนเป็นนอนเอกเขนกบนโซฟาอย่างเกียจคร้าน เธอฟังยังไงเป็นคำชมไปได้ หรือนี่จะเป็นการจงใจกวนประสาทพวกเขากันแน่
ร่างสูงของผู้หญิงที่หล่อเหลาเหยียดยิ้มอย่างเฉื่อยชา “เอาเถอะ ไม่ชมก็ไม่ชม... สรุปแล้วพวกนายจะมาเป็นผู้ติดตามของฉันให้ได้สินะ?”
“ใช่”
“งั้นก็ได้ ฉันยอมรับ”
“???” ดีนและเด็นมองริงซี่ด้วยสายตาแปลกประหลาดคล้ายไม่อยากจะเชื่อ ในตอนแรกเธอยังปฏิเสธอยู่เลยว่าไม่รับ แต่ตอนนี้กลับยอมรับอย่างง่ายดาย... มันง่ายเกินไปหรือเปล่า?
“ถ้าริงซี่ยอมรับก็ดีแล้ว แม่รับประกันว่าพวกเขานั้นฝีมือยอดเยี่ยมจริง ๆ จ้ะ เป็นทหารเด็กที่สามารถต่อกรกับคนในตระกูลของแม่ได้ระดับหนึ่งเชียวนะ” หลินซีดูไม่ได้ตะขิดตะขวงใจที่ลูกสาวตอบรับอย่างง่ายดาย ริงซี่ผงกศีรษะรับแล้วขยับยิ้มกว้างขึ้นมันดูเจ้าเล่ห์ขึ้นมานิดหน่อย
“ท่านแม่เลือกให้เรื่องฝีมือไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้ว แต่อายุของพวกเขานั้น... อืม...” ริงซี่พิจารณาสองฝาแฝดขึ้นลงรอบหนึ่งอย่างจริงจัง “ตัวเตี้ยเกินไปนะ แล้วก็เป็นคนต่างด้าว ไม่ได้เข้ารับการศึกษาใช่ไหม หน้าตาก็ใช้ได้อยู่หรอกนะ แต่โทรมไปหน่อยคงต้องบำรุงอีกเยอะ อืม... กว่าจะใช้การได้สำหรับฉันคงอีกสักพักใหญ่ ๆ”
“จะว่าไปก็จริงนะ” หลินซีพยักหน้าเห็นด้วยกับลูกสาว
“พวกนี้อายุเท่าไร?”
“อายุราว ๆ สิบสองปี”
“อืม ๆ ยังเด็กอยู่เลยแฮะ... ท่านแม่ช่วยหาโรงเรียนให้พวกเขาหน่อย ปีหน้าจะให้เข้าเรียนตามแบบเด็กปกติทั่วไป” ริงซี่วางแผนการในใจเรียบร้อยแล้ว แต่เด็กหนุ่มทั้งสองที่ไม่ได้เข้าใจในแผนของริงซี่ต่างออกปากประท้วง
“ทำไมพวกเราต้องไปเรียนด้วย มันไม่เห็นจำเป็นเลย!”
“การเรียนคือการเสริมความรู้ เด็กน้อย” ริงซี่หัวเราะ ดวงตาสี น้ำเงินหรี่มองมันเต็มไปด้วยพลังอย่างประหลาดแม้จะขัดกับท่าทาง สบาย ๆ นั่น “ฉันไม่ต้องการลูกน้องที่โง่ แต่ต้องการพวกที่มีความรู้กว้างขวาง คิดได้ วิเคราะห์เป็น... พวกนายยังอายุน้อยความรู้ยังไม่กว้างพอ การคิดและตัดสินใจยังอ่อนหัด การได้เรียนถือเป็นการพัฒนาอย่างหนึ่ง เข้าใจหรือเปล่า?”
“พูดจามีหลักการ” หลินซีขมวดคิ้วพลางจับหน้าของริงซี่ไว้ “วันนี้กินอะไรผิดสำแดงเข้าไปรึเปล่าน่ะริงซี่ลูกรัก”
“เดี๋ยวนะท่านแม่ พูดแบบนั้นหมายความว่าไง”
นี่จะบอกว่าปกติเธอเป็นคนไร้สาระไม่มีหลักการเรอะ
“ก็ปกติไม่ค่อยคุยอะไรมีสาระนอกเวลาเรียนกับเวลาทำงานนี่นา” หลินซียกมือปิดปากหัวเราะด้วยท่าทางงดงาม ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกายวาววับหยอกล้อ
“ริงซี่ดูเป็นคนอย่างนั้นเหรอ” ใบหน้าหล่อเหลาดูเฉื่อยชาลงไปถนัดตา
“เห็นทีไรก็เป็นอย่างนั้นนี่นา โฮะ ๆ”
“เฮ้อ~ คนไม่ค่อยอยู่ติดบ้านน่ะไม่ต้องมาพูดเลย เห็นกันสักกี่ครั้งเชียว” ริงซี่โคลงหัวไปอย่างจนใจ ก่อนจะหันไปมองเด็กหนุ่มฝาแฝดที่ยืนใบหน้าเคร่งขรึมอยู่ที่เดิม “พวกนายมีอะไรจะโต้แย้งอีกหรือเปล่า”
“ไม่มี” ดูแหมือนพวกเขาเองก็จะยอมรับในเรื่องที่ริงซี่พูด พวกเขายังเด็กเกินไป ความรู้น้อยเกินไปเพราะแบบนั้นถึงไล่ต้อนผู้หญิงที่มีความหล่อทะลุเพศที่แท้จริงคนนี้ไม่ได้
อย่าว่าแต่ต้อนเลยแค่จะทำให้รู้สึกสะทกสะเทือนยังทำไม่ได้
“อื้ม ดีมาก ๆ พูดง่ายแบบนี้สิถึงจะน่ารัก” ริงซี่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“งั้นเรื่องหาโรงเรียนให้พวกเขาแม่จะจัดการให้เอง แต่ก่อนเข้าเรียนมีเวลาติวอยู่ เดี๋ยวจะจัดการหาคนมาสอนพวกเขาให้เรียบร้อยจะได้เรียนตามเด็กคนอื่นได้ทัน” ไม่พูดเปล่า คุณนายหลินซีก็กดโทรศัพท์ออกไปหาเลขานุการส่วนตัวให้จัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย “ที่เหลือริงซี่ก็จัดการเองนะจ๊ะ”
“ขอบคุณค่ะท่านแม่~ รักที่สุด!”
“ถ้าอย่างนั้นแม่ไปหาพ่อก่อนนะ ได้ยินเสียงรถมาพอดี คุยรายละเอียดกันให้เรียบร้อยนะจ๊ะ” หลินซีลุกขึ้นเดินออกไปไม่เปิดโอกาสให้ริงซี่ตอบโต้เลยสักนิด
“เอ๊ะ เดี๋ยว... เฮ้อ! จะช่วยก็ช่วยไม่สุดเลยนะคุณนาย” ริงซี่ยกมือขึ้นขยี้ผมให้ยุ่งเหยิงอย่างจนใจ ตอนแรกเห็นคุณนายหลินซีรับปากก็นึกว่าจะจัดการให้ทั้งหมด ที่ไหนได้ดันจัดการให้แค่เรื่องการเรียนเท่านั้นเอง แย่จริง ๆ
“ลูกพี่ยังมีอะไรจะพูดอีกไหมครับ” เด็นถามไถ่ เพราะดูแล้วเธอคงไม่จบแค่การหาที่เรียนให้พวกเขาแน่
“มีสิ จบเรื่องเรียนแล้วก็ต่อด้วยประวัติของพวกนาย เป็นคนต่างด้าวที่ถูกใช้ให้มาเป็นผู้ติดตามอย่างนี้คงมาจากพื้นที่เสื่อมโทรมสินะ”
“ใช่” เด็กหนุ่มทั้งสองตอบ “รู้ด้วยเหรอ?”
“รู้สิ กลิ่นอายรอบตัวพวกนายบ้าคลั่งออกขนาดนั้น ไม่มีคนในพื้นที่ปกติเขามีกันหรอก ต่อให้เป็นพวกทหารในกองทัพก็ตาม”
พื้นที่เสื่อมโทรมคือพื้นที่ทุรกันดาร ที่เต็มไปด้วยสิ่งที่เลวร้ายมากมายจากน้ำมือมนุษย์ สถานที่แห่งนั้นมีมนุษย์อาศัยอยู่บ้างก็จริง แต่ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นมนุษย์ป่าเถื่อนทั้งนั้น น้อยนักที่จะพอมีสติปัญญา แต่ไม่ว่าจะจัดอยู่ในพวกไหนพวกเขาล้วนเก่งกาจทั้งสิ้น เพราะคนเหล่านั้นต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อมีชีวิตอยู่นั่นเอง
แต่ริงซี่บอกไม่หมด ที่เธอรู้เพราะพลังชีวิตของพวกเขาท่วมท้นมากต่างหาก ถ้าไม่อยู่ในสถานที่ที่เลวร้ายมาก การล้นทะลักของพลังชีวิตนี้ก็คือประคองตนเองให้อยู่รอดนั่นเอง
“เอาล่ะ ฉันให้สิทธิ์พวกนายเลือกเปลี่ยนประวัติได้ตามต้องการ แต่ให้สะอาดเหมาะสมกับเด็กอายุสิบสองนั่นหน่อยก็แล้วกัน” ริงซี่หยิบแท็บเล็ตส่วนตัวออกมากดบางอย่างยื่นให้กับสองฝาแฝด “นี่คือส่วนที่ให้กรอกประวัติ อยากได้อะไรก็พิมพ์ใส่ลงไปเดี๋ยวจะให้ลูกน้องของท่านพ่อจัดการให้ทั้งหมด”
“อืม” สองฝาแฝดพยักหน้าแล้วรับแท็บเล็ตไป
“ต่อมาคือเรื่องความสามารถ ทักษะต่อสู้พวกนายต้องดีเยี่ยมแน่นอนท่านแม่ถึงเลือกมา แต่ถึงจะสู้ได้ดีนั่นก็แค่การเอาตัวรอดไม่ได้มีไว้เพื่อปกป้อง ฉันอยากให้พวกนายไปฝึกเพิ่มด้วยเพราะจากนี้พวกนายจะต้องทำหน้าที่ผู้ติดตามที่จะปกป้องฉันด้วยชีวิต แล้วถ้าอยากฝึกอะไรเป็นพิเศษก็บอกแล้วกัน”
“แล้วลูกพี่ฝึกหรือเปล่า” ดีนจ้องหน้าริงซี่เขม็ง เธอไหวไหล่แล้วยิ้มอย่างเฉยชา
“ไม่ฝึก ฉันไม่ค่อยชอบการต่อสู้เท่าไร”
“ทั้งที่มีฝีมือแท้ ๆ”
“ไม่ล่ะขี้เกียจ แค่สามารถหลบได้ก็พอแล้ว” ริงซี่พูดจบก็บิดตัวไปมาอย่างเกียจคร้าน “เรื่องสุดท้ายนะ พวกนายคือผู้ติดตามสองคนแรกที่ถูกเลือกมาให้ฉันโดยเฉพาะ จากนี้ไปพวกนายถือเป็นคนสนิทของฉัน เป็นทั้งบอดี้การ์ดและเลขาฯ ห้ามทรยศ หักหลังไม่ว่าจะยังไงก็ตาม... เข้าใจไหม?”
ดวงตาสีน้ำเงินที่หันมาสบตากับพวกเขานั้นเยียบเย็น ไม่มีจิตสังหารให้สัมผัสแต่กลับกดดันลึกเข้าไปในใจจิตใจ สั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ดีนกับเด็นมีใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
เธอคนนี้ไม่ได้มีดีแค่เฉื่อยชา... แต่ทางด้านจิตใจก็เข้มแข็งไม่น้อยเหมือนกัน ขนาดกดดันอดีตทหารเด็กอย่างพวกเขาได้ ก็ไม่นับว่าเป็นคนธรรมดาแล้ว
นี่สิ ถึงจะสมกับเป็นคนที่พวกเขาเลือก
“เข้าใจหรือเปล่าน่ะ?” ริงซี่ถามซ้ำเมื่อเห็นทั้งสองคนทำหน้าเคร่งเครียดแต่ไม่ยอมพูดตอบโต้เธอสักคำ ดวงตาที่แสนเย็นยะเยือกก็เปลี่ยนเป็นฉงนสนเท่ห์ทันที
“เข้าใจแล้ว” นานทีเดียวกว่าพวกเขาจะตอบรับ สองฝาแฝดพยักหน้าอย่างหนักแน่นและมั่นคง ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำพูดสวยหรูเพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี แต่พวกเขาจะแสดงความภักดีนั้นออกมาทางการกระทำนับจากนี้ไป
“งั้นจากนี้ก็ฝากตัวด้วยนะ ดีน เด็น” หญิงสาวยื่นมือออกไปด้านหน้า ดีนยื่นมือมาจับมือเธออย่างช้า ๆ แล้วกล่าว
“ทางนี้ก็เช่นกัน”
เมื่อมือทั้งสองสัมผัสกัน ริงซี่ก็ยิ้มอย่างพอใจ รอยยิ้มกว้างอย่างจริงใจที่ไม่ค่อยยิ้มให้ใครเห็นปรากฏขึ้นตรงหน้า ใบหน้าของสาวหล่อดูละมุนตาให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด
แต่ความรู้สึกของคนที่กำลังยิ้มนั้นกลับประหลาดยิ่งกว่า เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงกระแสพลังจากมือกร้านของอีกฝ่ายให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ความคิดคำนึงลึก ๆ คล้ายต้องการจะลูบคลำมือนั้นอย่างโหยหา...
ไม่... มันไม่ดีเลย...
ทำไมอยู่ ๆ เธอถึงโหยหามือของเด็กผู้ชายได้ขนาดนี้ แถมยังเป็นเด็กที่เพิ่งจะอายุสิบสองเท่านั้นเองนะ!!
ริงซี่เริ่มหวาดวิตก เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะปล่อยมือตัวเองจากมือของดีน แต่พอคลายมือออกจริง ๆ กลับเป็นแฝดคนพี่ไม่ยอมปล่อยมือเธอเสียอย่างนั้น
