บทที่ 4 รับข้อกล่าวหา
“มีข้อแก้ตัวอะไรไหมครับ”
“คะ คือ หนู….”
เหตุผลแก้ตัวร้อยแปดพันเก้าผุดขึ้นมาไม่หยุด แต่ไม่มีสักเหตุผลที่น่าฟังและใช้ประโยชน์ได้เลย ฉันหันมองเขาผู้นั้นทำการเชื่อมจิตเพื่ออ้อนวอน แต่สิ่งที่ได้กลับมา มีเพียงความเงียบและสีหน้าไร้อารมณ์
“รบกวนตอบคำถามด้วยนะครับ ทนายจะได้บันทึกข้อมูลตามคำสารภาพ”
ด้วยหลักฐานที่โทนโท่อยู่ตรงหน้า ฉันจึงยกนิ้วทั้งสิบขึ้นพนม เครื่องสำอางค์ที่อุตส่าห์นั่งแต่งอย่างบรรจงเกือบชั่วโมงถูกชะล้างด้วยหยดน้ำตาภายในไม่กี่นาที
“ฮึก ขะ ขอโทษค่ะ หนูเมา หนูไม่ได้ตั้งใจจะทำนะคะ ฮืออออ”
“ไม่ตั้งใจ… แต่เขียนเบอร์พร้อมชื่อได้ถูกต้องเลยนะ” เขาคนนั้นพูดพำพึม
“ฮึก …หนูจะจ่ายค่าเสียหายให้คุณทุกบาทเลย แต่อย่าแจ้งจับหนูเลยนะคะ หนูยังเรียนอยู่เลย”
“ยังเรียนอยู่ ก็ไม่ควรจะเมาจนขาดสติมาทำลายทรัพย์สินคนอื่นแบบนี้สิ”
“ฮือออ หนูสำนึกแล้วค่ะ จะไม่กินเหล้า ไม่เมาอีกแล้ว หนูจะตั้งใจเรียน สาบานได้เลยค่ะ”
เขายังคงแสดงอาการเฉยชาเช่นเดิม ไม่อ่อนไหว หรือเอ็นดูเด็กสาวผู้น่ารักน่าฟัดอย่างฉันเลย ดวงตาที่แข็งกร้าวนั้นเต็มไปด้วยความรำคาญ พลางพยักหน้าส่งไม้ต่อให้ลุงทนาย
“รถประมูล นำเข้า ราคาไม่รวมภาษี 78 ล้านบาท....”
“วะ ว่าไงนะคะ” ฉันถามขัดด้วยความไม่เชื่อหู
“เราส่งข้อมูลให้ฐานผลิตที่อเมริกาเพื่อเคลมสีแม่แบบ โชคดีที่ยังอยู่ในระยะบริการ จึงคิดเฉพาะส่วนต่าง ค่าขนส่งและภาษี ประมาณ 2 ล้าน….”
“คะ??!! … สะ สองล้าน ! แค่ส่งไปทำสีใหม่สองล้านเลยหรอคะ”
“เรากำลังพูดถึงแค่ยอดส่วนต่างอยู่นะครับ”
“เฮือกกกก ..”
คำพูดของลุงทนาย ทำฉันตัวอ่อนจนเกือบจะล่วงจากเก้าอี้ สมองน้อยๆ เบลอจนไม่รับรู้ถึงเสียงรอบข้าง ลมหายใจสูดเข้าแผ่วไม่เต็มปอด ภายในท้องอึดอัดคับแน่นไปด้วยอารมณ์ที่ดำดิ่งลึกสุดนรก
….นี่มัน ชิบxาย ของแทร่!!….
เมื่อเห็นฉันนั่งช็อคอ้าปากค้างไร้ท่าทีขยับ เขาคนนั้นถอนหายใจเบาๆ แล้วเหยียดตัวขึ้นยืน พลางยื่นปากกาด้ามเงามาหาฉัน
“ฉันจะใจดีให้เวลาเธอ 1 อาทิตย์ ไปบอกพ่อแม่เธอซะ แล้วเตรียมเงินชดเชยมาให้ฉันในวันนัดไกล่เกลี่ยที่ศาล ”
“.....”
“ถ้าเธอหนี แน่นอนว่าฉันจะแจ้งความ พร้อมแจ้งมหา’ลัย เธอจะหมดอนาคต มีคดีติดตัวไปทั้งชีวิต บริษัทดีๆ คงไม่รับเข้าทำงาน”
“......”
“ส่วนพ่อแม่เธอ จะถูกศาลสั่งให้ชดใช้หนี้แทน แต่ถ้าตุกติกทั้งครอบครัวก็จะโดนยึดทรัพย์ที่มีทั้งหมด …ถ้ามีให้ยึดอ่ะนะ”
เขาย้ำด้วยเสียงเรียบ ไร้สำเนียงที่จะเป็นการหยอกเล่น ดวงตาตี๋คมมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะคว้าเอกสารมาเซ็นในช่องของผู้เสียหาย แล้วพยักหน้าเป็นการบอกว่าให้ฉันให้เซ็นรับเป็นคู่กรณีด้วย
“ถะ ถ้าหนูเซ็นยินยอม คุณจะไม่แจ้งความใช่ไหมคะ”
“อาจจะ”
“อาจจะ …หมายความว่ายังไงคะ” ฉันทวนถาม
อาจจะ หมายถึงวันหลังจะฟ้องก็ได้งั้นหรอ คุณทนายค้าาาา คนตุกติกคือเขาคนนี้ค่าาา ไม่ใช่หนูสักหน่อย
แม้ในใจจะย้อนแย้ง อยากฉะปากสู้ แต่ความผิดนั้นก็ยังเด่นเป็นที่ประจักษ์อยู่ดี ฉันส่งสายตาอ้อนเขาอย่างคาดหวัง แต่เขายังทำตาแข็งใส่ไม่มีความปราณีลูกแมวน้อยอย่างฉันเลยสักนิด
“ขอถ่ายบัตรประชาชนเพื่อยืนยันตัวตนด้วยนะครับ”
ลุงทนายพูด แล้วทำท่าแบมือมาตรงหน้า ตอนนี้วิญญาณฉันหลุดออกจากร่างไปแล้ว มันประมวลผลไม่ทัน คิดอะไรไม่ออก แม้แต่จะขยับร่างกายยังสั่งการไม่ถูกเลย
“ถ้าเธอยังนั่งนิ่งแบบนั้น ฉันจะเพิ่มค่าเสียเวลาด้วย” เขาพูด
“ฮึก ซะ เซ็นค่ะ เซ็นตรง..อ้ะ บัตร”
ฉันรีบหยิบบัตรประชาชนมาให้ลุงทนายถ่ายภาพ จากนั้นคว้าปากกามาเขียนชื่อและข้อมูลอื่นๆ หลังเอกสารลงลายมือครบทั้งสองฝ่าย เขาเก็บไปหนึ่งใบ ให้ฉันไว้หนึ่งใบ จากนั้นหันไปพยักหน้ารับกับตำรวจ
“เรียบร้อยครับ รอทางศูนย์เคลมคอนเฟิร์มยอดชำระ เราจะแจ้งไปยังที่อยู่ที่ระบุไว้ข้างต้นนะครับ”
เมื่อทุกเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาลุกขึ้นพร้อมกันดั่งกับนัดหมายทางจิต เดินออกจากห้องด้วยท่าทีสงบ ฉันยกมือทุบหัวตัวเองแรงๆ เพื่อทำโทษในการกระทำบ้าบิ่นไร้หัวคิด ก่อนจะเดินตามออกไปติดๆ
“...งั้นผมขอตัวกลับไปจัดการงานต่อนะครับคุณเซนต์”
“ขอโทษที่ดึงตัวมาเป็นธุระกะทันหันนะครับ”
“ไม่เป็นอะไรเลยครับ มันเป็นหน้าที่ผมอยู่แล้ว”
ทั้งคู่พูดขอบคุณกันอย่างเป็นมิตร คุณเซนต์(เจ้าของรถใจร้าย) หันมามองฉันเพียงหางตา ก่อนจะหยิบแว่นกันแดดสีชา ที่คล้องคอเสื้อไว้มาใส่และเดินไปขึ้นรถสปอร์ตสีดำอีกคันที่จอดรอหน้าตึก
นั่นก็รถนอก นำเข้าเหมือนกันนี่ ..ถ้ารวยเบอร์นั้น จะมาจี้รีดเงินจากฉันทำไมยะ!! แอบบวกเพิ่มเองรึเปล่าก็ไม่รู้!
เมื่อความเครียดมันทำให้อารมณ์แปรปรวนจนเกินควบคุม ฉันกล่าวโทษทุกสิ่งที่ขวางหน้า และยกนิ้วกลางน้อยๆ ของตัวเองใส่รถคันนั้นไปทันที
F U * K ครับ ไอ้คน (ค) รวย !!!
