บทที่ 3 นัดพบ
ณ ภัตราคาร X ใจกลางประเทศบางกอก
ภัตราคารหรูระดับมิชลินที่ขึ้นชื่อของประเทศไทย ใหญ่ที่สุดและแพงที่สุดในเอเชียตั้งเด่นตระหง่าน ฉันเงยหน้ามองตึกสูงเฉียดฟ้าด้วยความตื่นเต้นผสมความประหม่า ไม่เคยคิดเลยว่าฉันจะมีบุญวาสนาได้มาเป็นลูกค้าของที่นี่ แถมเป็นลูกค้า vip private room ซะด้วย
ก้มสำรวจตัวเองอีกครั้ง เดรสสีครีมยาวถึงหัวเข่า ผ่าแหวกข้างสูงโชว์เรียวขาเล็ก ด้านหน้าเป็นคอเต่าที่ปิดถึงกระดูกไหปลาร้า แต่เว้าเปิดโชว์แผ่นหลังขาวเต็มส่วน สไตล์หวานซ่อนเปรี้ยว และเครื่องประดับงานห้าง
เรียบแต่โก้ น้อยแต่…. เออ ก็น้อยจริงๆ แหละ
สองเท้าเก้าฉับไปด้วยความมั่นใจ ถึงหน้าเคาน์เตอร์พี่สาวบริการยกมือไหว้และยิ้มหวานต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ คุณลูกค้าต้องการให้ช่วยเหลือด้านใดคะ”
“ถิงถิงค่ะ” ฉันพูดเต็มเสียง
“...คะ?”
เธอทวนถามด้วยรอยยิ้มสุภาพ กระพริบขนตาปริบๆ ทั้งสองต่างอ้ำอึ้งใส่กัน ฉันคิดในใจว่าเขาไม่ได้ยินจริงๆ หรือฉันเองที่โดนดีเข้าแล้ว
“ขะ เขาบอก …ให้แจ้งว่าชื่อถิงถิงน่ะค่ะ”
“อ่อ คุณถิงถิง …คุณเซนต์จองห้องอาหารไพเวทรูมไว้ เดี๋ยวดิฉันเรียกพนักงานมานำทางคุณถิงถิงไปนะคะ”
ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะคิดว่ามาผิดที่ หรือโดนหลอกเข้าแล้ว เธอหันไปโทรศัพท์หาใครบางคน เพียงไม่กี่วินาที ก็มีพนักงานสาวอีกคนเดินเข้ามาหาฉัน พร้อมโค้งคำนับเล็กน้อย
“เชิญทางนี้ค่ะคุณถิงถิง”
ฉันพยักหน้ารับเบาๆ แม้อาการข้างในจะเนื้อเต้น และอยากขอตัววิ่งออกไปกรี้ดหน้าตึกก็ตาม
เอ้ะ! ว่าแต่ พี่สาวเคาน์เตอร์ บอกว่าคนจองชื่ออะไรนะ ฉันมัวตื่นเต้นและตกใจกับการที่เธอมีท่าทีแบบนั้น สติการรับรู้เลยไม่ครบร้อย
…หึ่ม ช่างเถอะ เจอหน้าก็ต้องแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกรอบอยู่แล้ว
จู่ๆ ความกลัวก็เข้าแทรกซึมในใจฉัน มันเป็นประสบการณ์สุดเสียวไส้ที่ฉันกล้ามาเจอผู้ชายแปลกหน้าในสถานที่ปิดแบบนี้ ถ้าแม่รู้คงตีฉันหลังหักแน่ แต่จะถอยตอนนี้ก็คงไม่ทัน มีแต่ต้องสู้ล่ะวะ !
ติ้งงงง ‘Private floor’
ถึงชั้นที่ 33 ของตึกภัตราคาร ลิฟต์ถูกเปิดออก พนักงานสาวเดินนำ หน้าไปช้าๆ ด้วยท่วงท่าที่เงียบสงบและเรียบร้อย ผ่านประตูบานใหญ่ห้องแล้วห้องเล่า จนถึงจุดมุมสุดของชั้น
ก็อกๆๆ
เธอเคาะประตูเป็นจังหวะช้าๆ เพื่อขออนุญาตคนด้านใน เพียงรออึดใจเหมือนนับ 1 ถึง 3 เธอจึงเปิดประตู ผายมือเชิญฉันเข้าห้องสุดตื่นเต้นนั้น
“ขอบคุณนะคะ”
เพื่อแสดงมารยาทที่ดี ฉันไม่ลืมหันกลับไปพูดขอบคุณเธอ หน้าอกโตยกขึ้นตามการหายใจที่สูดเข้าลึกสุดปอด พลางยิ้มหวานกระชากวิญญาณ และก้าวเดินเข้าไปในห้องนั้น
กึก
ทันทีที่เดินเข้าไปเพียงก้าวเดียว ฝีเท้าที่ลงจังหวะอย่างเต็มภาคภูมิในตอนแรกหยุดชะงักทันที ความเงียบเกาะกุมจนขนลุกซู่ ห้องกว้างปูพรมแดง กระจกระเบียงสูงเฉียดเพดาน โชว์วิวแม่น้ำเจ้าพระยา
กลางห้องมีโต๊ะอาหารยาวชนิด 10 คนนั่งสบาย หัวสุดของโต๊ะคือชายหนุ่มที่ดูจะอายุมากกว่าฉันไม่เท่าไร ใบหน้าคมซ่อนหวาน ผิวขาวขับกับเส้นผมสีแดงเด่น ความหล่อเหลานั้นกระแทกตาจนเกือบบอด
....ไม่มีคำทักทาย
....ไม่มีช่อดอกไม้ต้อนรับ
....ไม่มีรอยยิ้มสุภาพบุรุษที่ฝันถึง
มีเพียงบุคคลแปลกหน้าที่ดูไม่เป็นมิตร ถัดจากเขาเป็นคุณลุงชุดสูทเนี้ยบใส่แว่นหนาคนหนึ่ง พร้อมด้วยตำรวจแต่งเต็มยศ พกปืนและกุญแจมือไว้ข้างเอวอีก 2 นาย สายตาของพวกเขาจ้องมองมาที่ฉันเป็นจุดเดียว ดั่งกำลังรอการมาถึงนี้อยู่แล้ว
“เอ่อ… สะ สงสัยจะเข้าผิดห้องค่ะ”
เมื่อบรรยากาศมันทำท่าไม่ดี(อย่างแรง) ฉันยกมือไหว้ขอโทษบรรดาแขกผู้สูงศักดิ์เหล่านั้น ย่องถอยหลังเพื่อเตรียมเดินออกให้ไวที่สุด
“ถิงถิง”
“ห้ะ !?”
“ก็ถูกแล้วนี่..”
เสียงพึมพำอย่างเยือกเย็นเอ่ยขึ้นช้าๆ เพียงแค่เขาเรียกชื่อฉันออกมา สติสัมปชัญญะก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม คุณตำรวจยื่นมือมาจับขอบประตูขวางฉันไว้ พลางผายส่งไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับลุงแว่น
แม้ใจจะสั่นระรัวด้วยความกลัว ผิดจากอารมณ์แรกที่มา แค่หันมองกุญแจมือเงาวับนั่น ฉันก็สำเหนียกได้ว่าถ้าตุกติกวิ่งหนี คงได้ไปกินข้าวแดงในคุกแน่
ทุกสายตายังจ้องมองพฤติกรรมฉันอย่างใจจดใจจ่อ สองขาจำยอมก้าวเข้าไป และนั่งลงช้าๆ ลุงแว่นยื่นเอกสารมาตรงหน้า พร้อมรูปภาพที่ดึงออกมาจากแฟ้มสีดำ
ท้าดาาา…รูปจากกล้องวงจรปิด อีหนูถิงถิงกำลังเขียนกระโปรงรถแรมโบขาว โดยไม่ปกปิดใบหน้าใดๆ
กรี้ดดดดดดด
อุตส่าห์ท่องบทแนะนำตัวที่หน้ากระจก เสริชหาวิธีมัดใจชายตั้งแต่แรกเจอ ไหงกลายเป็นต้องมานั่งไหว้สวยรวยกระเช้าต่อหน้าเขาได้ล่ะเนี้ย!
“บุคคลในภาพ คุณถิงถิงใช่ไหมครับ” ลุงแว่นถาม
“เอ่อ แหะ ๆ ...นะ น่าจะใช่ค่ะ”
เสียงตะกุกตะกักตอบอย่างแผ่วเบา ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นฝีมือตัวเองล้านเปอร์เซ็น
“ไม่ ‘น่าจะใช่’ สิครับ .. เห็นใบหน้าชัดขนาดนี้”
“อึก!!”
น้ำลายฝืดเหนียวถูกกลืนลงคออย่างยากลำบาก ฉันก้มต่ำมองหน้าตักตัวเอง ริมฝีปากแห้งผาดถูกเม้มแน่นเป็นเส้นตรง บ่งบอกถึงภาวะกดดันที่ถูกทับถมอย่างไม่ทันตั้งตัว
