ประกาศครั้งที่หนึ่ง แรกเจอ [4/5]
ประกาศครั้งที่หนึ่ง
แรกเจอ [4/5]
อยากร้องไห้ชะมัด...
นี่เป็นความรู้สึกเดียวที่กำลังเกิดขึ้นกับฉันในตอนนี้ ฉันอยากร้องไห้หลั่งน้ำตา แต่ก็รู้ดีว่ามันไม่ได้ทำให้เสื้อกันหนาวของฉันกลับมาอยู่ในสภาพปกติเหมือนเดิม แถมยังเป็นการตอกย้ำความอ่อนแอของตัวเองให้น่าสมเพชมากขึ้นอีกต่างหาก
“ทำเกินไปแล้วอะ ฉันว่าเอาเรื่องนี้ไปฟ้องครูดีกว่า มันเกินไปจริง ๆ”
“อย่าเลย” ฉันส่ายหน้าเบา ๆ เป็นการปฏิเสธ จากนั้นก็เลือกที่จะหยิบเสื้อออกมาจากถังขยะและพับเก็บมันใส่ไว้ในถุงพลาสติกที่มีติดกระเป๋านักเรียนเอาไว้
ถึงจะสกปรกจนไม่กล้าใส่ แต่ฉันไม่มีทางทิ้งมันไว้ในถังขยะนี้ได้ลงหรอก
ฉันจะทิ้งของสำคัญที่แม่ซื้อให้กันได้ยังไง เก็บไว้ซักแล้วใส่ในโอกาสอื่นก็คงไม่เสียหาย
“แกจะทนให้พวกนั้นแกล้งแบบนี้ไปตลอดเลยเหรอ ยิ่งแกนิ่งเฉยพวกมันก็ยิ่งได้ใจนะ”
“ก็ไม่ได้อยากนิ่ง แต่ฉันสู้พวกนั้นไม่ได้นี่นา” ฉันให้คำตอบด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ไม่ได้อยากทำตัวอ่อนแอให้คนรุมแกล้งเหมือนกัน แต่ทำไงได้ล่ะ ยอมรับอย่างคนขี้แพ้เลยว่าฉันสู้คนพวกนั้นไม่ได้เลยสักนิด
ฉันตัวคนเดียว ในขณะที่พวกนั้นมีกันถึงสี่คน แล้วถ้าจะให้น้ำตาลมาช่วยด้วยก็กลัวว่าจะทำให้เพื่อนเดือดร้อนเข้าไปใหญ่
“ถ้าแกบอกครูฉันว่าน่าจะช่วยได้นะ”
“ช่างเถอะ เดี๋ยวพวกนั้นก็คงเบื่อกันไปเองนั่นแหละ เราอยู่เฉย ๆ ของเราดีที่สุด”
นี่คือความคิดเดียวที่ฉันคิดว่ามันที่สุดแล้ว อยู่เฉย ๆ จนกว่าคนพวกนั้นจะคิดกันได้เองน่าจะดีกว่า
“แล้วนี่แกไม่ต้องรีบกลับบ้านหรือไง มาอยู่ช่วยฉันหาเสื้อนานแล้วนี่นา คนขับรถไม่รอแย่แล้วเหรอ” เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านี่ผ่านเวลาเลิกเรียนมาเกือบชั่วโมงแล้ว ปกติแล้วที่บ้านของน้ำตาลจะให้คนขับรถมารับหลังเลิกเรียนทุกเย็น นี่ก็ไม่รู้ว่าถ้ากลับช้าจะโดนที่บ้านดุหรือเปล่า
“ไม่เป็นไรหรอก ลุงเขารอได้”
“งั้นแกรีบกลับเถอะ นี่ก็เจอเสื้อแล้ว ขอบคุณมากนะที่ช่วยหา”
“ก็มีกันอยู่แค่นี้นี่นา งั้นเราไปก่อนนะ มุกเองก็กลับเลยป้ะจะได้เดินไปพร้อมกัน”
“วันนี้จะกลับกับน้องน่ะ ไม่กล้าเอาไอ้เจ้านี่ขึ้นรถเมล์” ไอ้เจ้านี่ที่ว่าก็คือเสื้อกันหนาวในถุงพลาสติกนี่แหละ กลัวว่ากลิ่นจะฟุ้งภายในรถน่ะ
“อ๋อ จริงด้วยสินะ แล้วน้องมุกอยู่ไหนอะ ให้ไปเป็นเพื่อนไหม”
“ไม่เป็นไร มันเตะบอลกับเพื่อนอยู่สนามอะ ตรงนั้นไง” ฉันพยักพเยิดหน้าไปทางสนามหญ้าก็เห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเล่นบอลอยู่ ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นกลุ่มของน้องชายฉันนี่แหละ
“โอเคเลย งั้นฉันไปนะ เจอกันพรุ่งนี้ อ้อ...อย่าลืมทำการบ้านด้วย”
“ไม่ลืม ๆ กลับดี ๆ ล่ะ บาย” บอกพลางโบกมือลาเพื่อนไปด้วย ครั้นเห็นว่าน้ำตาลเดินไปแล้วฉันเลยเปลี่ยนทิศทางการเดินตรงไปยังสนามแทน ส่วนเสื้อกันหนาวกลิ่นขยะที่อยู่ในถุงก็ถือซ่อนไว้ด้านหลังเพราะไม่อยากให้คนที่กำลังไปหาเห็นเข้า
ขืนน้องชายฉันเห็นว่าเสื้อที่แม่ซื้อให้เปียกซกด้วยน้ำขยะมีหวังถูกเค้นถามชุดใหญ่แน่
ฉันก้าวเร็ว ๆ เดินไปยังขอบสนาม มองหาที่นั่งใต้ต้นไม้เพื่อวางกระเป๋าและหาจุดรอ แต่มันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ต้นแขนของฉันถูกสะกิดจากใครคนหนึ่ง
“เจอกันอีกแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นใกล้ ๆ ทำให้ฉันหันหน้าไปมอง พอเห็นคนเรียกฉันก็เบิกตากว้างตกใจทันทีเพราะเขาคือคนที่ช่วยฉันไว้เมื่อเช้า
“อ้าว เอ่อ...” ชื่ออะไรนะ เพิ่งเจอกันเมื่อเช้าแท้ ๆ แต่ดันลืมชื่อซะได้
แย่ชะมัดเลย ลืมชื่อเขาได้ยังไง
“ติณณ์” คนตรงหน้าพูดขึ้นราวกับล่วงรู้ว่าฉันกำลังคิดอะไร
“อ้อ...ติณณ์ โทษที พี่ลืมน่ะ”
“ดีนะลืมแค่ชื่อ ไม่ลืมหน้าหล่อ ๆ ของเราด้วยอะ ไม่งั้นเสียใจแย่”
“…” ฉันพูดไม่ออก แต่คำเดียวที่ปรากฏในความคิดก็คือผู้ชายคนนี้แปลกมาก
“แล้วมารอใครอะ” เขาถามพลางกวาดสายตามองรอบ ๆ ว่าฉันมาทำอะไรที่นี่
“มารอ...เมฆ” ปากกำลังจะพูดออกไปแต่ก็ต้องชะงักและเรียกหาคนที่เข้ามาใหม่
เป็น ‘ม่านเมฆ’ น้องชายของฉันเองนั่นแหละที่เดินเข้ามา
“ไอ้เมฆ...มารอมันเหรอ?” ติณณ์เรียกชื่อน้องชายฉันออกมาเบา ๆ แต่จากนั้นเขาก็เลิกคิ้วมองมาเป็นเชิงถามว่าใช่คนนี้หรือเปล่าที่ฉันรอ
“อื้ม” ฉันตอบเบา ๆ ทั้งที่ยังแปลกใจ
“มึงรู้จักพี่กูด้วยเหรอไอ้ติณณ์”
“พี่?”
“เออ นี่พี่กู”
“พี่มึงเหรอ พี่แท้ ๆ เหรอ คนนี้เหรอที่มึงบอกว่าเพิ่งย้ายมาเรียนนี่อะ คนนี้เหรอไอ้เมฆ”
ฉันมองทั้งน้องชายและติณณ์ที่กำลังพูดคุยกัน ความจริงจะไม่ได้สนใจอะไรเลยถ้าไม่มีตัวฉันที่เข้าไปอยู่ในบทสนทนาเหล่านั้นด้วย
“นี่เพื่อนแกเหรอเมฆ” ฉันถามน้องชายตัวเองแต่สายตายังคงมองไปที่ติณณ์ แปลกใจที่น้องชายฉันรู้จักกับเขาน่ะ
“อืม ที่เคยเล่าให้ฟังไงว่ามีเพื่อนสองคน คนนี้ชื่อติณณ์ ส่วนอีกคน...นั่นไง ชื่อองศา” เมฆตอบด้วยความเรียบนิ่งในระหว่างที่กำลังแนะนำเพื่อนตัวเอง ซึ่งตอนนั้นเพื่อนอีกคนที่เขาแนะนำก็กำลังเดินเข้ามาพอดี
“หวัดดีครับพี่มุก” เพื่อนอีกคนของเมฆเดินเข้ามาพร้อมกับการทักทายด้วยคำพูดและการผงกศีรษะ ฉันเองที่ทำตัวไม่ถูกอยู่แล้วก็ทำเพียงยิ้มรับบาง ๆ ส่งกลับไปเท่านั้น
“ไม่เรียกพี่ได้ป้ะ ห่างกันแค่ปีเดียวเอง” ประโยคนี้หลุดมาจากปากของติณณ์ ซึ่งฉันก็ถึงกับขมวดคิ้วมองเขาด้วยความแปลกใจ แต่ก็ได้รับรอยยิ้มกวน ๆ พร้อมกับการยักคิ้วส่งมาให้แทน
