ประกาศครั้งที่หนึ่ง แรกเจอ [3/5]
ประกาศครั้งที่หนึ่ง
แรกเจอ [3/5]
“ดาวสามดวงนั่นไง” บอกพลางมองไปที่ดาวสามดวงบนอกของเขา
ความจริงแล้วชุดนักเรียนชายมันก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ มีเสื้อมีกางเกงเหมือนกัน แต่ของผู้หญิงจะแตกต่างกันตรงที่มอต้นจะใส่คอซองและเอาเสื้อออกนอกกระโปรง ส่วนมอปลายจะเป็นเสื้อคอปกสวมทับกระโปรงและมีเข็มขัด แต่ที่ฉันรู้ว่าเขาเด็กกว่าก็เพราะดาวสามดวงที่ปักอยู่บนอก ซึ่งมันก็แปลว่าเขาจะต้องอยู่ชั้นมอสาม แต่ถ้าเป็นชุดของมอปลาย ดาวจะย้ายมาปักที่ปกเสื้อฝั่งขวาแทน และดาวของฉันก็ปักอยู่บนปก แถมยังมีหนึ่งดาวที่หมายความว่าฉันอยู่ชั้นมอสี่ยังไงล่ะ
“เออว่ะ โห่...ไม่ดีเลยอะ”
“พี่ต้องไปแล้ว ขอบคุณมากนะสำหรับวันนี้ ขอบคุณมากจริง ๆ” ฉันตัดบทสนทนาเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูโรงเรียน ส่งท้ายด้วยคำขอบคุณให้เขาอีกครั้งเพราะยังรู้สึกซาบซึ้งไม่หายกับความช่วยเหลือที่ส่งยื่นมาให้กัน
“เดี๋ยวดิ พี่จะไปไหนอะ”
“ตึกพยาบาล” ตอบทั้งที่แปลกใจเหมือนกันว่าเขาถามทำไม
“ไปทำไมห้องพยาบาลอะ บาดเจ็บเหรอ”
“เปล่า ๆ เพื่อนพี่นั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าห้องพยาบาลน่ะ”
“อ้อ...”
“พี่ไปก่อนนะ”
“อ่าฮะ”
ฉันโบกมือบาง ๆ จากนั้นก็หมุนตัวและเดินจากไป ระหว่างนั้นก็หยิบสเปรย์แอลกอฮอล์มาฉีดตามแขนขาและรวมถึงเสื้อผ้าไปด้วย ยังรู้สึกรังเกียจกับสัมผัสที่พบเจอไม่หาย แค่นึกถึงน้ำตาก็เหมือนจะไหลออกมาอีกครั้ง
เพิ่งย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ได้ไม่ถึงครึ่งปีก็เจอเรื่องเลว ๆ ทักทายกันซะแล้ว
เฮ้อ...ชีวิตในเมืองหลวงอันแสนวุ่นวายของฉันจะอยู่รอดปลอดภัยครบสามสิบสองยันเรียนจบหรือเปล่านะ!?
ก่อนที่จะคิดว่าฉันจะอยู่รอดปลอดภัยครบสามสิบสองถึงวันเรียนจบหรือเปล่า ฉันควรคิดก่อนว่าตัวเองจะเอาชีวิตรอดในสังคมที่มีแต่คนประสาทแดกอย่างเพื่อนร่วมห้องแบบนี้ได้ยังไง
“พวกแกเอาเสื้อกันหนาวเราไปซ่อนไว้ไหน” ฉันถามทั้งที่น้ำเสียงยังคงเจือปนด้วยความหอบเหนื่อย เมื่อกี้นี้ทั้งเดินทั้งวิ่งเพื่อหาเสื้อกันหนาวของตัวเองรอบอาคารเรียน แต่พอรู้ว่าสิ่งที่ทำไปมันเหนื่อยเปล่าเลยวิ่งมาถามกับตัวคนทำน่าจะดีกว่า
“สรุปพวกแกเอาไปซ่อนไว้ไหน เป็นบ้าอะไร นี่มันของของคนอื่นนะ!” เสียงของ ‘น้ำตาล’ เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของฉันเอ่ยขึ้นต่อจากนั้น สีหน้าของน้ำตาลเรียกได้ว่าทั้งหงุดหงิดและโกรธในเวลาเดียวกัน ส่วนฉันก็อยู่ในอารมณ์แตกตื่นกระวนกระวายกับของที่หายไป ผิดกันกับกลุ่มคนตรงหน้าที่อยู่ในท่าทีเมินเฉยไม่ทุกข์ร้อน ทั้งที่เป็นคนเอาเสื้อกันหนาวของฉันไปซ่อนไว้แท้ ๆ
“เสื้อแกแล้วทำไมมาถามเราอะ เสื้อของใครก็ของคนนั้นสิ มาถามคนอื่นแบบนี้ใครเขาจะรู้” หนึ่งในคนกลุ่มนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงยียวน เช่นเดียวกับสีหน้าที่ฉันมองว่ามันน่าหมั่นไส้อย่างถึงที่สุด
“ก็แกเป็นคนเอาไป เราเห็นกับตา!” ฉันกดระดับน้ำเสียงให้ดังขึ้นเพราะเริ่มคุมความโกรธของตัวเองไม่ได้อีกแล้ว
ฉันเห็นเองกับตาว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนเอาเสื้อกันหนาวของฉันไป พอฉันเห็นก็กลายเป็นว่าวิ่งหนี จนฉันต้องวิ่งตามไปเพื่อเอาเสื้อคืนมาแต่คลาดกันไปแค่ไม่กี่วินาทีก็ไม่เห็นเสื้อของตัวเองอยู่ในมือของใครคนใดคนหนึ่งแล้ว
“ก็ใครใช้ให้วางทิ้งไว้บนโต๊ะล่ะ เราก็นึกว่าเป็นขยะเลยเอาไปทิ้งให้”
“เฮ้ย! ขยะบ้าอะไร ก็เห็น ๆ อยู่ว่ามันคือเสื้อกันหนาวอะ” น้ำตาลตบมือลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งห้อง ฉันเลยรีบเข้าไปจับแขนของเพื่อนเอาไว้เป็นเชิงห้าม
โชคดีที่ตอนนี้อยู่ในช่วงเลิกเรียนแล้ว คนอื่น ๆ ในห้องเลยกลับไปกันเกือบหมด หลงเหลือก็แต่กลุ่มคนจำนวนสี่คนตรงหน้านี่แหละที่ยังจับกลุ่มนั่งพูดคุยกันอยู่ในห้อง
แล้วก็เป็นกลุ่มที่หมายหัวฉันมาตั้งแต่วันเปิดเรียนวันแรกเลยด้วย!
“พวกแกมันเอาไปไว้ที่ไหน บอกเรามาเถอะ เสื้อตัวนั้นมันสำคัญกับเรามากจริง ๆ” ฉันถอนหายใจเพราะไม่อยากต่อปากต่อคำจนเสียเวลาไปเปล่า ๆ ฉันต้องการรู้ว่าเสื้อกันหนาวของตัวเองตอนนี้มันไปอยู่ที่ไหน
ฉันถอดเสื้อและวางไว้บนโต๊ะเพราะจะไปเข้าห้องน้ำกับน้ำตาลแค่ไม่กี่นาที แต่พอกลับมาถึงได้เห็นว่าคนพวกนี้เป็นคนเอาเสื้อของฉันไป จะอ้างว่ามันเป็นขยะก็คิดว่าเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นเกินไป เพราะฉันมั่นใจว่าทั้งเรียกทั้งตะโกนและคนพวกนี้กลับวิ่งหนีและเอาเสื้อของฉันไปซ่อน
“อยู่ในถังขยะ ไปคุ้ยสิ”
“ว่าไงนะ!” น้ำตาลพูดโพล่งขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้รับคำตอบ
ฉันเองที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับหน้าถอดสี หมุนตัวลนลานรีบวิ่งออกจากห้องตรงปรี่ไปยังถังขยะด้านนอกทันที
จังหวะการเดินเปลี่ยนเป็นการวิ่งเมื่อลองเดินหาเสื้อในถังขยะแล้วก็ไม่พบ แต่ฉันก็ยังไม่ถอดใจยังคงเดินหาถังขยะที่ชั้นอื่นไปด้วย กระทั่งเดินลงมายังหน้าตึกก็ถึงได้เห็นเสื้อกันหนาวของตัวเองที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในถังขยะรวม ที่ไม่ต้องหยิบขึ้นมาดูก็รู้ว่ามันอยู่ในสภาพแย่แค่ไหน
“เฮ้ย! เกินไปแล้วอะ ต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ!” น้ำตาลเดินตามหลังมาก็สบถคำหยาบออกมาเป็นพรวน ส่วนฉันก็ยังคงอยู่ในอาการตกใจแต่ยังคงเก็บกลั้นอารมณ์เอาไว้และเลือกที่จะเดินไปหยิบมันออกมาโดยไม่คิดรังเกียจกับความสกปรกเลยสักนิด
“เปื้อนหมดเลย”
“แกทิ้งไปดีกว่า มันสกปรกมากเลยนะ ฉันว่าพวกนั้นมันเอาขยะอย่างอื่นมาสุมด้วยแหงเลย”
ฉันกดสายตามองไปยังเสื้อกันหนาวที่เปรอะเปื้อนจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ไม่ว่าจะสีหรือกลิ่นก็ถูกแต่งแต้มกลบเลือนไปด้วยขยะ
“มันเป็นเสื้อที่แม่ฉันซื้อให้ก่อนจะมากรุงเทพฯ” เสียงแผ่วเบาเปล่งออกมาแทบไม่ต่างจากแรงลมที่พัดผ่าน มันเจือจางเพราะถูกแทนที่ด้วยความหนักอึ้งและเสียใจที่ปรากฏอยู่ข้างใน
อยากร้องไห้ชะมัด...
