บทย่อ
พบเจอ...ในวันลมหนาวพัดผ่าน ผูกพัน...ในวันหวานลึกซึ้ง จดจำ...ในวันหนึ่งต้องไกล จากลา...ในวันที่ใจทิ้งกลืน หวนคืน...ในวันรักผลิบาน -ตัวอย่าง- ใครมันบอกเพิ่งบอกไปหยก ๆ ว่าผู้ชายเจ้าชู้คือวัตถุอัตรายไม่ควรเข้าใกล้ 'ม่านมุก' เพิ่งเลิกรากับแฟนคนแรกไปไม่ถึงหนึ่งวันก็มีผู้ชายแพรวพราวที่พ่วงด้วยสถานะเพื่อนของน้องชายอย่าง 'ติณณ์' เข้ามาขอจีบ "ให้โอกาสผมหน่อย รับรองว่าเปิดใจตอนนี้ รับประกันฟรีมีแฟนไทป์ลูกหมาไปเป็นหวานใจแน่นอน" "น่ารักของเธอคือแบบไหน แบบเรานี่พอได้เปล่า" "เธอเห็นเราเป็นคนแก้เหงาอ่อ แล้วเมื่อไหร่จะเหงาอีกอะ คิดถึงแล้วง่า" "คนดีชอบแก้ไข คนอย่างเราไงที่ชอบแค่เธอ" เธอยืนกรานหนักแน่นว่าจะไม่มีทางหวั่นไหวเพราะเข็ดหลาบกับความเสียใจ แต่ไม่รู้ทำไม...พอถูกเขารุก ถูกเขาหยอด กลับกลายเป็นว่าเธอโอนอ่อนหลงเสน่ห์เขาเข้าเต็มเปา!
บทนำ
บทนำ
สองเท้าเหยียบย่ำไปตามทางฟุตพาทอันขรุขระ หากแต่มันกลับไม่สามารถเทียบเท่ากับความรู้สึกข้างในที่ทั้งพังทั้งเยินราวกับถูกทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มือเล็กหิ้วถุงพลาสติกที่ใส่กระป๋องเบียร์นับสิบ ซึ่งก่อนหน้านั้นได้แวะร้านสะดวกซื้อข้างทางและกวาดซื้อเบียร์โดยไม่สนจำนวนเงินในกระเป๋าอันน้อยนิดเลยด้วยซ้ำ
“โอ๊ย! ไอ้ฟุตพาทบ้า จะทำให้มันเรียบ ๆ ไม่ได้หรือไง เดินทีก็สะดุดทีเนี่ย แจ้งหน่วยงานไหนได้บ้างวะ!”
‘ม่านมุก’ สบถด่าออกมาด้วยความหงุดหงิด เธอพาลโกรธทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเพราะสิ่งที่เพิ่งพบเจอมานั้นทั้งแย่ทั้งเลว แต่ทางออกที่เธอจะระบายได้นั้นก็คือตวาดเสียงแหลม ๆ ของตัวเองเท่านั้น
“ปี๊น ปี๊น หลบรถหน่อยคร้าบ อย่าเดินขวางทางครับพี่สาวคนสวย หลบทางให้ผมหน่อยคร้าบ” เสียงคุ้นเคยเลียนแบบแตรรถมอเตอร์ไซค์ดังมาจากพื้นที่ด้านข้างซึ่งเป็นถนน ก่อนที่ตัวรถสองล้อจะชะลอขับมาเทียบข้างที่ไม่ต้องหันไปก็รู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร
“วันนี้ไม่มีอารมณ์เล่นด้วยหรอกนะ จะไปไหนก็ไป” ม่านมุกตอบเสียงอ่อนพลางย่ำฝีเท้าเดินตรงต่อไปข้างหน้าที่อีกไม่ไกลก็จะถึงหมู่บ้านของตัวเอง
ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์จะสนทนากับใครทั้งนั้น ตั้งใจไว้ว่าจะรีบกลับเข้าบ้านและเปิดกระป๋องเบียร์กินไปจนถึงเช้า หลังจากนั้นก็จะอ้วกสร้างอาณาเขตภายในบ้านให้เหม็นตลบอบอวลกันไปข้าง
“ไปเดตเป็นไงมั่ง งี้ก็กินอิ่มมาแล้วอะดิ ว้า...ตั้งใจจะชวนไปกินบะหมี่เกี๊ยวสักหน่อย”
‘ติณณ์’ เย้าแหย่ด้วยความขำขัน เขาบิดเร่งมอเตอร์ไซค์เพื่อให้ขับมาเทียบข้างเธอหวังจะส่งคำพูดกวนประสาทอย่างที่ชอบทำ แต่จังหวะที่เขาชะโงกหน้ามองกลับเป็นต้องชะงักเมื่อเห็นดวงตาหวานที่ตอนนี้แดงก่ำบ่งบอกว่าเธอเพิ่งผ่านการร้องไห้มาหมาด ๆ
“มุกร้องไห้ทำไม” จากน้ำเสียงเริงร่าเปลี่ยนมาเป็นแข็งกร้าวเพียงเสี้ยววินาที
คราวนี้ติณณ์ไม่กวนต่อ เขาดับรถและเดินไปดักหน้าเธอเอาไว้พร้อมกับจับที่ข้อมือเล็กเพราะรู้ว่าเธอจะต้องเดินหนีกัน
“อย่ายุ่งน่า” ม่านมุกสะบัดมือออก ท่าทางเหนื่อยหน่ายสะท้อนชัดแม้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอไร้เรี่ยวแรงเกินเยียวยา
“มุกเป็นอะไร บอกติณณ์ได้ไหม” น้ำเสียงอ่อนโยนซึมซับเข้าสู่หัวใจ รวมไปถึงดวงตาคมขลับที่เต็มไปด้วยความห่วงหาคล้ายกับอ้อมกอดอุ่น ๆ ที่เป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวของเธอ
หญิงสาวช้อนสายตามองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ประเดประดังเข้ามา เธอเหนื่อยที่จะต้องต่อปากต่อคำกับเขา แต่ช่วงจังหวะนี้เธอต้องการแค่ใครสักคนที่อยู่เคียงข้างคอยรับฟัง
“กินเบียร์กันป้ะ เลี้ยง” เธอยกแขนขึ้นชูถุงที่ถือไว้ขึ้นมาให้เขาดู
ถึงจะอ่อนล้ามากแค่ไหนแต่การมีใครสักคนที่นั่งรับฟังระหว่างจิบเบียร์มันก็ดีกว่าการอยู่ลำพังอยู่แล้ว
ติณณ์มองลึกไปถึงดวงตาหม่นหมองของเธอ เขาอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้คนเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวอย่างเธอแตกสลายได้ขนาดนี้ อยากดึงเธอเข้ามากอดและไถ่ถามทุกความสงสัยแต่ด้วยสถานะที่ขีดเส้นกั้นทำให้เขาไม่สามารถทำอย่างนั้นได้
ไม่เป็นไร...ติณณ์พร่ำบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร ในเมื่อเขาทำแบบนั้นไม่ได้ แต่เขาก็มีอีกหลายวิธีที่จะปลอบประโลมและเอาตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ เธอ
“ได้ดิ ของฟรีติณณ์ชอบอยู่ละ ขึ้นรถเลย ส่งฟรีไม่คิดค่าน้ำมันครับพี่สาว”
กระป๋องเบียร์ถูกโยนมารวมเป็นกองเดียวกัน ก่อนที่กระป๋องใหม่จะเปิดออกและถูกยกดื่มขึ้นที่รอบเท่าไหร่ของค่ำคืนก็สุดรู้
ติณณ์มองการกระทำของม่านมุกอยู่เงียบ ๆ เขาปล่อยให้เธอได้ทำตามอย่างใจต้องการแทนที่จะเอ่ยปากห้าม แม้ว่าตอนนี้เธอจะถูกฤทธิ์ของมันขับกล่อมจนเมามากแล้วก็ตาม
จากตอนแรกที่เพิ่งเริ่มดื่มหนึ่งกระป๋องเขาชวนเธอคุยจ้อคอแทบแห้ง แต่กลายเป็นว่าตอนนี้เธอกลับสวมบทบาทนั้นแทนจนเขาไม่มีช่วงจังหวะที่จะได้เปล่งเสียงตอบเลยกลับ
เรื่องตั้งแต่อนุบาลลากยาวมาจนถึงมหาวิทยาลัยเธอหยิบยกมาพูดครบทุกประเด็น เล่าเรื่องเล็กน้อยลามไปจนถึงเรื่องใหญ่ มีทั้งเรื่องขำขันบ้างน่าแปลกใจบ้าง หากแต่ติณณ์กลับมองว่าเหตุการณ์แบบนี้ช่างตลก เขาเลยปล่อยให้เธอได้ทำอย่างใจต้องการ ส่วนเขาก็จะเป็นผู้รับฟังที่ดีของเธอเอง
แต่ทว่าความตั้งใจเหล่านั้นกลับดับสูญลงเมื่อเธอเปิดปากเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้เธอต้องมานั่งโดดเดี่ยวดื่มเบียร์ย้อมใจ จากที่คิดว่าเป็นเรื่องตลกมันก็ถูกเปลี่ยนเป็นแรงโทสะที่กำลังสาดสุมอยู่ในอกของเขา
“ไอ้บ้านั่นมันพามุกเข้าม่านรูด มันบอกว่ามุกง่าย” ม่านมุกพูดเสียงยานครางไร้อารมณ์ให้จับสังเกตว่าตอนนี้เธอกำลังอยู่ในความรู้สึกใด
ไม่รู้ว่าเธอตั้งใจฟ้องกับเขาหรือเปล่า แต่คนฟังอย่างติณณ์กลับรู้สึกเดือดดาลแทนเธอไปแล้ว
เรื่องนี้สินะที่ทำให้เธอร้องไห้...
“คนที่มุกเคยคุยเป็นเพื่อนของมัน ไอ้พวกนั้นมันเล่ากันปากต่อปากว่ามุกเลือกคุยแต่คนรวย ๆ มันบอกว่ามุกง่าย มันเลยพามุกไปม่านรูดตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้ากัน” ม่านมุกยังคงเล่าต่อ แต่ส่วนท้ายของประโยคสั่นเครือที่คนฟังถึงกับวูบไหวไม่ต่างกัน
ติณณ์วางกระป๋องในเบียร์มือทันที เปลี่ยนมุมนั่งจากฝั่งตรงข้ามซึ่งเว้นระยะห่างกับเธอราวสองเมตรมาเป็นนั่งข้าง ๆ แทน
“แล้วมุกทำไง วีนแตกเลยล่ะสิ” ติณณ์ถามทั้งที่พยายามข่มกลั้นโทสะ
“จะเหลือเหรอ ระดับม่านมุกไม่วีนก็คงเป็นตัวปลอมแล้ว นี่จะบอกไรให้ฟังนะ เธอห้ามไปเล่าให้ใครฟังเด็ดขาดเลยนะติณณ์ รับปากก่อนสิ” หญิงสาวหรี่เสียงให้เบาลงพลางยกนิ้วชี้แนบกับริมฝีปาก เธอทำท่าเหมือนกลัวว่าจะมีคนอื่นมาได้ยินทั้งที่ตอนนี้เธอและเขากำลังอยู่ในบ้านที่มีกันเพียงสองคน
“อื้อ รับปาก ไม่บอกใครแน่นอน”
“จริงอะ ปกติติณณ์รู้โลกรู้ไม่ใช่เหรอ” เธอมองเขาอย่างจับผิด ยกฉายาประจำตัวของเขาขึ้นมาพูดเพราะจำได้แม่นว่าคนคนนี้เก็บความเก่งระดับศูนย์
“ยกเว้นให้กับเรื่องมุกคนหนึ่ง สัญญาว่าจะเหยียบให้มิด ไม่บอกใครเลย” ติณณ์ชูสองนิ้วทำท่าปฏิญาณ และแน่นอนว่าคนคันปากอยากพูดย่อมเชื่อได้ง่าย ๆ
ติณณ์ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาทันที การจะเห็นภาพแบบนี้ได้คงต้องเป็นม่านมุกในเวอร์ชันคนเมาเท่านั้น
“นอกจากมุกจะวีนแล้วมุกยังเอาขวดฟาดมันจนหัวแตกอีกด้วย คิก ๆ เลือดนี่ไหลอาบหน้ามันเลยนะเธอ โคตรสะใจ” เสียงเล็กหัวเราะคิกคักจนตาหยีเมื่อเล่าวีรกรรมที่ตัวเองเพิ่งก่อมาหมาด ๆ
จากที่น้ำเสียงสั่นระริกคล้ายคนร้องไห้ก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นแรงขำขันน่าเอ็นดู จนเขาอดที่จะยิ้มตามออกมาไม่ได้เลย
“เก่งนะเนี่ย เอาไปเลยยี่สิบรางวัลของคนเก่ง”
“เอาจริงนะ ขอเงินสดด้วย” เธอยื่นมือไปรับเงินจากเขา สีหน้าจริงจังบ่งบอกว่าเธอไม่ได้พูดเล่น
ติณณ์ถึงกับมุ่นคิ้วยื่นมือเข้าไปหยิกแก้มนุ่มอย่างนึกมันเขี้ยว
“ติดไว้ก่อน เดี๋ยวให้พร้อมสินสอดทีเดียวเลยโอเคป้ะ”
“ไม่ต้องมาเจ้าชู้ ไม่หลงกล!” ม่านมุกส่ายหน้าหวือพัลวัน ไม่มีทางที่เธอจะหลงกลกับคนคนนี้เป็นหนที่สองแน่
“หลงกลทำไม มาหลงติณณ์นี่มา น่ารักกว่าเยอะ” ติณณ์เย้าต่อแถมยังยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนลมหายใจเป่ารินรดที่แก้มใส
คำพูดของเขาล้วนเต็มไปด้วยความหยอกเย้าแกล้งเล่น แต่ใครเล่าจะรู้ว่าแท้จริงภายในใจความของมันมีแต่ความรู้สึกจากใจจริงที่เขาอยากบอกเธอ
“ไม่หลงหรอก ติณณ์เจ้าชู้ ขืนกลับไปอีกมีหวังเจ็บอีกครั้งแน่”
“ติณณ์ไม่เคยเจ้าชู้เหอะ แถมหัวใจของติณณ์ก็ยกให้มุกแค่คนเดียวด้วย” คราวนี้น้ำเสียงของติณณ์หนักแน่นมากกว่าเดิม
อาจเป็นเพราะคำว่า ‘เจ้าชู้’ มันสะกิดใจเลยทำให้เขาอยู่เฉยปล่อยให้เธอเข้าใจผิดอีกต่อไปไม่ได้
เมื่อหลายปีก่อนเขาถูกนิยามว่าเป็นคนเจ้าชู้หลายใจ แต่คนที่รู้จักตัวเองดีย่อมยืนกรานปฏิเสธว่าคนเจ้าชู้บ้าอะไรจะยังนึกถึงแค่เธอคนเดียวไม่แปรเปลี่ยน
ถ้าเขาเจ้าชู้จริง ๆ ก็คงไม่ตามกวนประสาทเธอทั้งที่เลิกรากันมาหลายปี
ถ้าเขาเจ้าชู้จริง ๆ ก็คงไม่คิดถึงทั้งที่เธอเริ่มต้นครั้งใหม่กับคนอื่นไปแล้ว
และถ้าเขาเจ้าชู้จริง ๆ ก็คงไม่รักแค่เธอคนนี้ทั้งที่หลายเหตุการณ์ย้ำบอกตลอดว่าเรื่องของเราไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้
“ติณณ์อยากให้มุกรู้ไว้ว่าติณณ์ไม่เคยเลิกรักมุกได้เลย ไม่ว่าจะตอนนั้นเมื่อสามปีก่อนหรือว่าตอนนี้ ความรู้สึกของติณณ์ยังเหมือนเดิม”
มือใหญ่จับประคองใบหน้าหวานให้เชยขึ้นสบประสานสายตาของกันและกัน
ม่านมุกนิ่งค้างตกใจกับคำพูดของเขา เธอพยายามค้นคว้าหาคำตอบจากนัยน์ตาคมขลับว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นคือเรื่องจริงหรือเพียงลมปากให้เธอโอนอ่อนกันแน่
ทว่าคำตอบที่ได้กลับเป็นความหนักแน่นเด็ดเดี่ยวที่สะท้อนออกมา แม้ไม่มีคำเอื้อนเอ่ยหากแต่หัวใจของเธอกลับซึมซับรับรู้ด้วยตัวเองไปแล้วว่าเขารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ
ดวงตาสองคู่สบประสานมองกันอย่างลึกซึ้ง คนหนึ่งโหยหากับคนที่เผลอปล่อยให้หลุดมือไป ส่วนอีกคนก็ยังคงคิดถึงแต่แบ่งเส้นขีดกั้นหลอกความรู้สึกตัวเอง
ฤทธิ์ขับกล่อมของเบียร์หลอมรวมกับความหวั่นไหวที่พังทลายลงเพียงสบตา มันเป็นตัวกลางที่ทำให้ทั้งเขาและเธอวางทิ้งทุกสิ่งอย่าง กำแพงที่ขวางกั้นสูญสลายว่างเปล่า และมันก็ถูกทาบทับเติมเต็มด้วยสัมผัสของกันและกันเมื่อริมฝีปากสองคนเคล้าคลึงเป็นหนึ่งเดียว
ติณณ์บดริมฝีปากทาบทับด้วยความโหยหาและคิดถึง มันทั้งหนักหน่วงและรุนแรง หากแต่คนตัวเล็กกลับตอบรับกับสัมผัสของเขาอย่างเต็มใจ
ดวงตาของสองคนหลับพริ้มปลดปล่อยให้ความต้องการของหัวใจดำเนินต่อไป ร่างกายของเขาและเธอแนบชิดใกล้ มือใหญ่เคลื่อนไปโอบประคองและเกี่ยวรัดร่างน้อยเข้าสู่อกในขณะที่ม่านมุกเองก็พร้อมที่จะอยู่ใต้ความอบอุ่นของเขาที่ห่างหายมานานหลายปี ทว่ามันยังคงตราตรึงอยู่ในใจไม่เคยเปลี่ยน
ความหอมหวานอบอวลไปด้วยรสสัมผัสของสองคน ติณณ์และม่านมุกแทบไม่รู้ตัวเลยว่าได้เผลอข้ามเส้นของสถานะที่ไม่ควรเกิดขึ้นเสียแล้ว
พอได้ยินเสียงเล็กร้องประท้วงเบา ๆ ในลำคอเป็นการบอกใบ้ว่าเธอเริ่มหายใจไม่ทัน ติณณ์ก็ยอมผละริมฝีปากออกห่างแต่เคลื่อนมาเป็นการกดจูบที่บริเวณอื่นของใบหน้าเธอแทน
เขาปล่อยให้เธอได้กอบโกยอากาศหายใจไม่กี่วินาทีก็กดย้ำลงไปใหม่อีกครั้ง ปรับเอียงองศาของใบหน้าเพื่อให้รับกับการจูบดูดดึงที่ไม่รู้เลยว่ามันจะสิ้นสุดที่ตรงไหน
มือร้ายเคลื่อนไปบีบขยำที่สะโพกและบั้นท้ายกลมกลึง โอบกระชับให้สองเราแนบชิดกันมากยิ่งขึ้น กระทั่งคนตัวเล็กเริ่มรู้สึกตัวได้สติถึงได้ร้องออกมาเบา ๆ จนติณณ์ต้องยอมหยุดทุกการกระทำและผละริมฝีปากออกห่าง
“ติณณ์” หญิงสาวร้องเรียกชื่อเขาบางเบาแทบไม่ต่างจากสายลม
หัวใจของเธอเต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะ ทั้งตื่นเต้นและตกใจไปพร้อม ๆ กัน
“ครับ” เจ้าของชื่อขานรับเสียงนุ่ม เขายอมหยุดจูบละออกจากความหอมหวานของเธอ แต่ก็ยังคลอเคลียเวียนวนใกล้ ๆ กับใบหน้าไม่ห่าง
มือเล็กเลื่อนขึ้นมาจับประคองใบหน้าหล่อเหลาเอาไว้ เธอช้อนสายตาอันฉ่ำปรือขึ้นมอง มันทั้งลึกซึ้งและสะท้อนถึงความต้องการอย่างเดียวกัน แต่ทว่าคำพูดที่เอ่ยออกมาจากเธอกลับทำให้ติณณ์ถึงกับแน่นิ่งไป
“ตามมาถึงในฝันเลยเหรอ”
ฝัน?
ติณณ์เลิกคิ้วทันที เขาทวนคำพูดของเธอเมื่อกี้นี้กับตัวเองในใจ กระทั่งได้คำตอบว่าเธอคงคิดว่านี่คือความฝัน
“แต่เหมือนจริงมากนะ เมื่อกี้รู้สึกวูบวาบเลยอะ คิก ๆ” หญิงสาวหัวเราะร่วนตาหยี เธอเปลี่ยนมือจากการประคองใบหน้าหล่อเหลามาเป็นการโอบคล้องที่ต้นคอหนาไว้แทน
ใบหน้าซบอิงกับบ่าแกร่งราวกับเป็นที่พักพิงให้กับศีรษะที่กำลังหนักอึ้งเพราะถูกความมึนเมาเข้าเล่นงานมากขึ้นทุกที ตอนนี้ภาพเบื้องหน้าเริ่มเลือนรางจนจับจุดโฟกัสไม่ได้แล้ว
“ถ้าบอกว่าไม่ใช่ฝันจะเชื่อไหม” ติณณ์ยิ้มเอ็นดูพลางจับประคองใบหน้าสวยและร่างกายของเธอให้อยู่ในท่าทางที่สบายที่สุด
“ฮื่อ อยากกินอีก แต่เมาไม่ไหวแล้วเธอ”
“เปลี่ยนเรื่องเฉย”
หากเธอไม่ได้เมาเขาคงจับเธอมาเขย่าแรง ๆ เรียกสติแล้วขอจูบต่อเป็นแน่ แต่ติณณ์ก็เลือกที่จะช้อนร่างของเธอไว้ในวงแขน จากนั้นก็วางเธอลงบนโซฟาตัวยาวกลางบ้าน จัดแจงท่านอนพร้อมกับหาผ้าห่มมาคลุมให้ โดยไม่ลืมที่จะลูบบนเรือนผมนุ่มของเธอเบา ๆ เพราะจำได้ว่าเธอชื่นชอบให้เป็นที่สุด
ม่านมุกหลับตาพริ้มและดูเหมือนว่าเธอน่าจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปเป็นที่เรียบร้อย
ติณณ์ใช้เวลาละเลียดมองใบหน้าของเธออยู่หลายนาที และก่อนผละห่างก็ไม่วายเอ่ยคำพูดที่หวังให้มันซึมลึกเข้าสู่หัวใจและห้วงความรู้สึกของเธอแม้ว่าตอนนี้เธอจะหลับใหลไม่รู้เรื่องแล้วก็ตาม
“ติณณ์ไม่รู้ว่ามุกเจอเรื่องอะไรมา แต่ติณณ์อยากให้มุกรับรู้เอาไว้ว่าติณณ์จะอยู่ตรงนี้เสมอ...ไม่ว่าจะนานแค่ไหนติณณ์ก็จะรอ”

