ประกาศครั้งที่หนึ่ง แรกเจอ [2/5]
ประกาศครั้งที่หนึ่ง
แรกเจอ [2/5]
“แล้วพวกคุณมองอะไรกันอะ ไม่คิดจะช่วยกันเลยหรือไง นี่นักเรียนนะเว้ย พวกคุณเป็นผู้ใหญ่ประสาอะไร! ไอ้นี่มันเป็นโรคจิต มาช่วยกันจับดิครับ!”
สิ้นประโยคตวาดกร้าวผู้โดยสารผู้ชายคนอื่น ๆ ก็รีบเข้ามาช่วยล้อมจับล็อกตรึงคนโรคจิตเอาไว้ เช่นเดียวกับกระเป๋ารถเมล์ที่เดินเข้ามาควบคุมสถานการณ์พร้อมแจ้งเรื่องราวกับใครสักคนผ่านเครื่องมือสื่อสาร
“จับมันเลย”
“จับมันไว้ อย่าให้หนีไปได้”
“แม่งเลวมาก กล้าทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง นี่น้องนักเรียนยังเด็กแท้ ๆ”
“จับมันให้แน่น ๆ เลยนะ เอามันส่งตำรวจเลย!”
เสียงคนรอบข้างดังมากขึ้นและมันก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันซึ่งก็คือการสาปส่งด่าคนโรคจิต แต่ทว่าตัวฉันเองก็กลับถูกมองและให้ความสนใจจากคนเกือบทั้งหมดบนรถด้วยเช่นกัน ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นสายตาที่สื่อถึงอารมณ์ไหน หากแต่ฉันกลับรู้สึกอึดอัดใจจนอยากจะหายไปจากที่ตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
“เธอไม่เป็นไรนะ” เสียงทุ้มห้าวดังขึ้นเรียกสติของฉันให้หันกลับไปมอง เป็นนักเรียนชายคนนั้นที่เอ่ยขึ้นและเดินเข้ามาหยุดที่ข้างตัวฉัน
“พี่ไม่เป็นไร ขอบใจนะ” ฉันตอบเสียงแผ่วพร้อมกับการส่ายหน้าเบา ๆ
“แล้วจะ...”
“เฮ้ย! อย่าหนีนะเว้ย เฮ้ยหยุด!”
“เฮ้ยมันหนีไปแล้ว!”
ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะถามอะไรเสียงตะโกนของคนบนรถก็แทรกขึ้น
มันเป็นจังหวะที่รถจอดเทียบข้างทางและประตูเผยออกพอดี ไอ้โรคจิตเลยอาศัยจังหวะที่คนอื่นเผลอรีบสะบัดตัวและวิ่งหนีลงจากรถไปได้ในที่สุด
คนข้างกายฉันก็ทำท่าเหมือนจะวิ่งตามลงไป ด้วยความตกใจฉันจึงคว้ามือจับที่ต้นแขนแกร่งของเขาเอาไว้อย่างลืมตัว ทั้งยังส่ายหน้าห้ามปรามไม่ให้เขาเสี่ยงอันตรายตามไอ้คนเลว ๆ คนนั้นไปอีก
“อย่าไป ปล่อยมันไปเถอะ” ฉันบอกด้วยสีหน้าจริงจัง มือก็บีบกำรอบแขนไว้แน่นเพราะกลัวว่าเขาจะไม่ฟังกันแล้ววิ่งตามไปจริง ๆ
“ปล่อยได้ไงอะ มันจับ...” ส่วนท้ายหยุดชะงักไปดื้อ ๆ แต่ฉันก็พอเดาออกว่าเขาจะพูดถึงอะไร
คงจะพูดว่ามันจับก้นฉันสินะ...
“มันอันตรายไง เกิดวิ่งตามไปแล้วมันมีอาวุธขึ้นมาจะทำไง ในเมื่อมันหนีไปแล้วเราก็ทำอะไรไม่ได้”
“แม่ง...ยืนอยู่กันตั้งกี่คนแต่จับคนคนเดียวไว้ไม่ได้ เจริญจริง ๆ ประเทศไทย! ผู้ใหญ่สมัยนี้พึ่งพาอะไรไม่ได้แล้วมั้ง!” เขาถอนหายใจพร้อมกับแรงสบถหนัก ๆ จากนั้นก็ตวัดสายตาส่งค้อนไปยังผู้โดยสารคนอื่นภายในรถที่ต่างก้มหน้างุดหลบเลี่ยงกันเป็นแถว
“พี่ไม่เป็นไรจริง ๆ”
“เอาเถอะพ่อหนุ่ม มันหนีไปแล้วเราก็ทำอะไรไม่ได้ ใจเย็น ๆ เถอะนะ ป้าเข้าใจว่าเราคงเป็นห่วงแฟนเรา” คุณป้ากระเป๋ารถเมล์เดินเข้ามาตบที่ไหล่ของเขาเบา ๆ ซึ่งฉันเองก็พยักหน้ารับเออออเห็นด้วยที่ว่าหนีไปแล้วก็ทำอะไรต่อไม่ได้ แต่อีกประโยคถัดมากลับทำเอาเบิกตาโพล่งยกใหญ่
“มะ...ไม่ใช่...”
“เย็นไม่ไหวหรอกครับป้า นี่อยู่ในชุดนักเรียนแท้ ๆ นะ แม่งทำได้ไงอะ พวกเรายังเป็นเยาวชนอยู่เลย แล้วแม่งใครบอกใส่ชุดนักเรียนแล้วจะปลอดภัยวะ ถ้าผมไม่ช่วยไว้ไอ้โรคจิตนั่นไม่ทำอะไรไปมากกว่านี้เหรอ”
กำลังจะปฏิเสธเรื่องสถานะก็กลายเป็นว่าถูกเลือนด้วยถ้อยคำหงุดหงิด ฉันเลยเลือกที่จะเงียบและปล่อยเลยตามเลย แต่อีกใจหนึ่งก็เห็นด้วยกับคำพูดของเขานั่นแหละว่าหากเขาไม่มาช่วยไว้ฉันคงถูกมันลวนลามมากกว่าจับก้นแน่
บางทีฮีโรก็มาในรูปแบบนักเรียนที่เด็กกว่าฉันหนึ่งปีได้เหมือนกันแฮะ...
“ไม่ไหวอย่าฝืน ไม่มีที่ยืนก็มานั่งในใจเรานี่”
“ฮะ?” ฉันหันคอแทบเคล็ดเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากคนข้าง ๆ
อะไรกันเนี่ย?
“มองหน้าเราแบบนี้ตั้งใจหาเรื่องเหรอ หรือว่าตั้งใจหารัก”
“หือ?”
“รู้สึกดีขึ้นป้ะ”
“ฮะ?”
“ยังจะทำหน้างงอีก ไม่ขำไม่ยิ้มเลยเหรอ ไอ้เราก็ตั้งใจจะทำให้รู้สึกดีขึ้นนะเนี่ย”
ฉันกะพริบตาปริบ ๆ ประมวลคำพูดของเขาอยู่ชั่วครู่ถึงได้พอเข้าใจว่าเขาคงน่าจะช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นจากเรื่องเมื่อกี้ แม้ว่าฉันจะไม่ได้รู้สึกแบบนั้นก็เถอะ เพราะตอนนี้มีแต่งงกับงง
กระทั่งตัวรถเมล์ขับมาถึงป้ายจอดหน้าโรงเรียนซึ่งก็คือจุดหมายปลายทางที่ฉันจะต้องลง ฉันรีบก้มหน้าก้มตาเดินลงจากรถทันที แต่เสียงตะโกนและฝีเท้าที่ดังตามหลังทำให้ฉันหยุดชะงักพร้อมกับการหันไปมอง แล้วก็เห็นว่าเป็นนักเรียนชายคนนั้นที่กำลังวิ่งมาหาด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ
“เธอ! เดี๋ยวดิ รอด้วย!” ฉันหยุดเดินตามที่เขาบอกจริง ๆ แต่ที่หยุดไม่ใช่เพราะจะรอเขาหรอกนะ แต่แค่สงสัยมากกว่าว่าเขาจะวิ่งตามมาทำไม “รอด้วย อย่าเพิ่งไป”
“มีอะไรหรือเปล่า อ้อ...พี่ลืมขอบคุณเราเลย ขอบคุณนะที่ช่วย ขอบคุณมากจริง ๆ ถ้าไม่ได้เราพี่คงแย่แน่” คงเป็นเรื่องเดียวที่จะทำให้เขาวิ่งตามกันแบบนี้ ฉันค้อมศีรษะลงเล็กน้อยและเอ่ยคำขอบคุณที่ออกมาจากหัวใจ
ขอยกย่องเลยว่าผู้ชายคนนี้กล้าหาญมาก เขากล้าที่จะเข้ามาช่วยฉันทั้งที่คนอื่น ๆ รถเมินเฉย เขากล้าล็อกตัวโรคจิตด้วยตัวคนเดียวโดยไม่กลัวอันตราย แถมยังกล้าต่อปากต่อคำสั่งสอนคนอื่นจนหน้าชากันเป็นแถบนั่นอีก
“พี่ชื่อไรอะ ผมชื่อติณณ์นะ”
ฉันมุ่นคิ้วเล็กน้อย รู้สึกแปลกใจน่ะว่าเขารีบวิ่งตามมาเพราะตั้งใจจะถามชื่อแค่นั้นเองเหรอ
“เอ่อ...พี่ชื่อมุก ม่านมุก” พูดติด ๆ ขัด ๆ แต่ก็บอกชื่อตัวเองไปอย่างครบถ้วน
“พี่รู้ได้ไงว่าผมเด็กกว่า” เขาพยักพเยิดให้ฉันเดินต่อ ฉันเลยก้าวขาแบบงง ๆ โดยมีเขาที่เดินอยู่ข้างกัน จากนั้นคำถามก็ส่งกลับมา แต่ที่เขาถามก็คงเพราะแปลกใจล่ะมั้งที่ฉันแทนตัวเองว่าพี่โดยที่ยังไม่ได้แนะนำตัว
“ดาวสามดวงนั่นไง” บอกพลางมองไปที่ดาวสามดวงบนอกของเขา
