ประกาศครั้งที่สาม หมดความอดทน [1/3]
ประกาศครั้งที่สาม
หมดความอดทน [1/3]
ช่วงพักเที่ยงเป็นเวลาที่ม่านมุกและน้ำตาลรอคอยเพราะหิวโหยอยากอาหารตั้งแต่เริ่มเรียนคาบที่สองของวัน แต่อุปสรรคที่เข้ามาขัดขวางการกินก็คือกระเป๋าเงินที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ลองค้นหาทุกซอกทุกมุมในกระเป๋ากระโปรงและกระเป๋านักเรียนแต่ก็ไม่พบ
“ยืมฉันก่อนก็ได้นะมุก ไม่เป็นไร” น้ำตาลจับแขนเพื่อนที่อยู่ในอาการเคร่งเครียดหลังจากค้นหากระเป๋าสตางค์ของตัวเองจนทั่ว
ม่านมุกลองหาทุกที่ที่คิดว่าเป็นไปได้ เดินวนกลับไปยังจุดเดิมที่เดินผ่าน หรือแม้กระทั่งมองหาตามข้างทางหรือซอกหลืบเผื่อว่าจะเจอว่าทำหล่นที่ไหน แม้ว่าลึก ๆ จะความมั่นใจว่าเธอไม่ได้หยิบมันออกมาจากกระเป๋าเลยตั้งแต่เช้า
ปกติเธอมักจะเอากระเป๋าสตางค์ใส่ไว้ในช่องหน้าสุดของกระเป๋านักเรียน ใส่อยู่ทุกวันไม่เคยหาย แถมยังไม่ได้อยู่ห่างจากกระเป๋าตัวเองเลยสักนิด การหายไปของมันเลยทำให้เธอแปลกใจมากกว่าเสียดาย
หากเป็นความสะเพร่าของตัวเองจะไม่คิดมากขนาดนี้เลย แต่บางสิ่งบางอย่างที่เคลือบแคลงกลับทำให้เธอคิดว่าอาจจะถูกเพื่อนกลุ่มนั้นกลั่นแกล้งเหมือนทุกครั้ง
“ไม่เป็นไรตาล ฉันยืมเมฆดีกว่า นี่ก็ส่งข้อความไปบอกแล้วล่ะ เรียนอยู่ตึกนี้เอง”
“เอางั้นเหรอ”
“อื้อ งั้นเดี๋ยวเราเอากระเป๋าไปวางที่โต๊ะแล้วแกก็ไปซื้อข้าวก่อนเลยนะ ฉันขอไปเอาเงินจากเมฆก่อน”
“โอเคแก รีบมานะ”
ทั้งสองคนเดินมาที่โรงอาหารและวางกระเป๋าที่โต๊ะ น้ำตาลเดินแยกไปซื้อข้าว ส่วนม่านมุกเดินขึ้นตึกเรียนฝั่งตรงข้ามไปหาน้องชายเพื่อยืมเงินเนื่องจากเกรงใจที่จะต้องรบกวนเพื่อน
การพักเที่ยงของนักเรียนนั้นจะแบ่งเป็นสองเวลา นักเรียนมอต้นจะได้เรียนสามคาบจากนั้นถึงได้เวลาพักเที่ยงห้าสิบนาที ส่วนนักเรียนมอปลายก็จะพักต่อจากนั้นจึงทำให้ม่านมุกและน้องชายที่อยู่ชั้นมอสามนั้นลงมาทานข้าวไม่ตรงกัน
เธอส่งข้อความบอกน้องชายว่ากำลังขึ้นไป ไม่กล้าส่งย้ำมากเพราะรู้ดีว่าเวลานี้คงกำลังเรียนอยู่ ขืนเล่นโทรศัพท์ให้ครูเห็นมีหวังโดนดุหรือไม่ก็โดนยึดเป็นแน่
“กระเป๋าตังค์หายได้ไง” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามาถึงตัวของม่านมุก
เธอมายืนรอน้องชายตรงบันได แต่คนที่เดินมาหากลับเป็นติณณ์ แถมยังทำหน้าจับผิดไม่พอใจอีกต่างหาก
“เมฆล่ะ” ม่านมุกไม่ได้ตอบคำถาม เธอมองผ่านตัวเพื่อนน้องชายไปยังด้านหลังแต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีคนอื่นเดินตามมา
“จะมาเข้าห้องน้ำพอดีเมฆเลยฝากเงินมาให้ แล้วสรุปมันหายได้ไง”
“จะรู้ไหมล่ะ ถ้ารู้ว่ามันหายได้ไงก็คงตามหาจนเจอแล้ว”
“หายหรือว่าโดนแกล้ง” ติณณ์ถอนหายใจแต่จากนั้นก็ถามเข้าประเด็นที่มั่นใจว่าคนตรงหน้าจะเข้าใจได้ง่าย ๆ
“…”
“ทำไมไม่ตอบอะ”
“ยังไม่แน่ใจน่ะ แต่ก็คิดว่าน่าจะโดนแกล้ง” คิดกับตัวเองลำพังแต่สุดท้ายก็ถูกจับได้ ครั้นจะให้โกหกว่าไม่รู้เรื่องอะไรก็รู้ดีว่าคนอย่างติณณ์ไม่มีทางเชื่อ
“นี่ก็ทนเก่งเหลือเกิน ไปเป็นนางเอกเถอะมุกถ้าจะยอมขนาดนี้น่ะ”
“ติณณ์” หญิงสาวกดสายตามองเพื่อนน้องชายที่ใช้คำพูดเหมือนตำหนิกัน
“ขอโทษ แต่มุกสู้กลับบ้างเถอะ อย่าปล่อยให้พวกนั้นแกล้งอย่างเดียวดิ ไม่รับปากนะว่าจะอดทนไม่บอกไอ้เมฆได้ถึงเมื่อไหร่ เผลอ ๆ ก็อาจจะบอกวันนี้เลยก็ได้”
“ติณณ์ ไหนสัญญากันแล้วไง”
“สัญญาไร สัญญาใจของเราสองคนอะเหรอ อันนั้นติณณ์ไม่ลืมหรอกนะ”
“ติณณ์ เลิกกวน!”
“ไม่รู้ไม่ชี้” สั่นหน้ารัว ๆ และเสสายตามองทางอื่น
“พี่จะไม่ทนแล้ว”
“หะ...ฮะ?” เสียงเข้มสะดุดเพราะปรับไม่ทันกับคำพูดของคนตรงหน้าที่เปลี่ยนฉับกะทันหัน
“จะไม่ทนให้พวกนั้นแกล้งแล้ว หลังจากนี้จะสู้แล้ว”
“จริงดิ” พูดทั้งที่มุมปากยกยิ้มอย่างพึงพอใจ สายตาก็วาววับเปล่งประกายเหมือนว่ากับค้นพบเรื่องที่เฝ้ารอคาดหวัง
“อืม คอยดูแล้วกัน”
“ดูอะไร นานไหม กี่โมง เดี๋ยวตั้งนาฬิกาเลยจะได้ไม่พลาด”
“กวนประสาท! ไปเรียนได้แล้วไป พี่จะไปกินข้าวแล้ว” หญิงสาวส่ายหน้าระอากับคำพูดยียวนของคนรุ่นน้อง พอได้พูดคุยกันบ่อย ๆ ก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าเพื่อนน้องชายคนนี้เอาเรื่องมากทีเดียว
บางครั้งก็ทำให้สบายใจ แต่บางครั้งก็เรียกอารมณ์โมโหหงุดหงิดจนอยากเขย่าตัวเขาแรง ๆ ให้ลดความกวนลงบ้าง
