ประกาศครั้งที่สอง เสียงในห้องน้ำ [3/3]
ประกาศครั้งที่สอง
เสียงในห้องน้ำ [3/3]
“ไม่นะติณณ์ บอกแล้วไงว่าปล่อยไป พี่ไม่อยากให้เมฆรู้จริง ๆ ติณณ์ก็รู้นี่ว่าพี่กับเมฆอยู่ดูแลกันแค่สองคน พี่ไม่อยากให้เมฆต้องเป็นห่วง”
“แล้วไงอะ จะปล่อยไปว่างั้น” ผมไม่ได้เข้าใจหรอก ไม่มีสักเศษเสี้ยวที่เข้าใจกับคำพูดของเธอด้วย แต่ตอนนี้ผมกลับยอมปล่อยข้อมือและไม่บังคับพาเธอไปหาไอ้เมฆอีก
“นะติณณ์ อย่าบอกเมฆเลยนะพี่ขอร้องล่ะ นะติณณ์นะ”
แม่ง...เสียงหวานไม่พอยังทำตาหวานใส่ด้วย
“นะติณณ์ พี่ขอร้อง”
“ไม่บอกก็ได้” สุดท้ายก็ยอม คนอย่างไอ้ติณณ์แพ้ให้กับผู้หญิงสวย ๆ ทุกทีแหละน่า! “แต่มุกต้องเล่าเรื่องทั้งหมดมา ถ้าไม่ยอมเล่าไอ้เมฆได้รู้เรื่องนี้แน่ แล้วก็รวมถึงเรื่องที่โดนลวนลามบนรถเมล์ด้วย!”
ผมยืนกอดอกทำหน้าดุ ยกข้อต่อรองขึ้นมาแลกกับการที่เธอเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่าตอนแรกมุกส่ายหน้าปฏิเสธแทบจะทันที แต่พอผมพูดชื่อน้องชายเธอขึ้นมาเท่านั้นแหละ ท้ายที่สุดเธอถึงได้พยักหน้าตอบรับจากนั้นก็เล่าเรื่องให้ผมฟัง
“มันจะมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งในห้องที่ไม่ค่อยชอบพี่อะ อย่างที่ติณณ์รู้ว่าพี่เพิ่งย้ายมาใหม่ พี่เป็นเด็กต่างจังหวัด เพื่อนมันก็คงเห็นว่าพี่เป็นเด็กบ้านนอกแหละมั้งถึงได้รังเกียจ”
จากที่เมฆเล่าให้ฟังผมก็พอรู้มาว่ามันและพี่สาวเป็นคนจังหวัดแพร่ ฐานะทางบ้านปานกลาง แต่พ่อแม่อยากให้มีอนาคตมีการศึกษาที่ดีเลยส่งให้มาเรียนที่กรุงเทพฯ โดยฝากฝังให้ญาติซึ่งมีศักดิ์เป็นป้าช่วยดูแล
เมฆเป็นคนมาเรียนที่กรุงเทพฯ ก่อนใคร มันมาเรียนที่นี่ตั้งแต่มอหนึ่ง อาศัยอยู่ที่บ้านของป้าซึ่งเปิดร้านขายอาหารตามสั่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน แต่พอมุกย้ายตามมาเรียนด้วยกัน พ่อและแม่เลยเช่าบ้านให้แยกออกมาอยู่เนื่องจากเกรงใจป้า นั่นจึงทำให้ม่านเมฆและม่านมุกต้องดูแลกันและกันสองคนพี่น้องทั้งที่อายุเพียงเท่านี้
“แม่งยังมีคนคิดแบบนี้จริง ๆ เหรอ นึกว่ามีแต่ในละคร” ฉากแบบนี้เคยเห็นในละครบ่อย ๆ เคยคิดเหมือนกันว่ามันผู้คนสมัยนี้คิดวิเคราะห์และแยกแยะอะไร ๆ ได้มากขึ้น แต่ผมคงคิดผิดไปสินะ
“ตอนแรกพวกนั้นก็มองเหยียดธรรมดาแหละ แต่ไป ๆ มา ๆ เริ่มแกล้งมากขึ้น จากพูดแซะพูดด่าก็เริ่มลงมือ เอาของไปซ่อนบ้าง เดินชนบ้าง แต่ที่หนักสุดก็เป็นวันนี้ที่ขังพี่ไว้ในห้องน้ำนี่แหละ พี่เองก็เพิ่งโดนครั้งแรก”
“แต่ถ้าปล่อยไว้มันจะยิ่งหนักขึ้นนะมุก เธอจะอ่อนแอไม่ได้”
“พี่ไม่ได้อ่อนแอ!”
ผมชะงักไปทันทีเมื่อถูกเสียงเล็กตะคอกใส่ ไม่ได้ตกใจจากการกระทำของมุกหรอก แต่ตกใจคำพูดตัวเองมากกว่าที่พูดอะไรออกไปไม่คิด
มุกน่าจะอ่อนไหวกับคำคำนี้มากเลยทีเดียว...
“โทษที คือหมายถึงว่ามุกจะใจดีแบบนี้ไม่ได้ มุกต้องสู้บ้างนะ อย่าปล่อยให้คนพวกนั้นแกล้งเราอย่างเดียวดิ” พูดไปก็ระแวงไป ไม่รู้ว่าจะเผลอหลุดพูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจของเธออีกหรือเปล่า แต่ก็นะ...ผมอยากเตือนสติเธอจริง ๆ ว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ควรปล่อยผ่าน
“ก็ถ้าตอบโต้พี่ก็กลัวว่าตัวเองจะเผลอไปลงเล่นสงครามประสาทกับคนพวกนั้น คิดว่าอยู่เฉย ๆ จนกว่าจะเลิกไปเองน่าจะดีกว่า”
“ไม่ดีหรอก คนพวกนั้นมันคิดไม่ได้ มันเห็นเราไม่สู้มันก็ยิ่งได้ใจ แต่ถ้ามุกสู้กลับหรือว่าไม่ยอมมันก็จะได้รู้ไงว่าไม่ใช่มันคนเดียวที่ทำเรื่องแบบนี้ได้”
“…” คราวนี้มุกเงียบไปแถมยังเหมือนว่ากำลังลังเลอีกต่างหาก
“จริง ๆ ติณณ์ก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะต้องสู้กลับยังไง แต่มุกน่าจะรู้กว่าติณณ์นะ มุกโตกว่าติณณ์ตั้งหนึ่งปีหกเดือนแหนะ มุกเป็นพี่ติณณ์ใช่ไหมล่ะ มุกน่าจะเก่งกว่าติณณ์อยู่แล้ว”
“…” เหมือนจะได้ผลแฮะ ตอนนี้มุกเริ่มคล้อยตามคำพูดของผมบ้างแล้ว
“เอาเป็นว่ามุกลองกลับไปคิดดูแล้วกัน ตอนนี้เรากลับบ้านกันดีกว่า ปอดบวมแล้วมั้งน่ะ อยู่ในสภาพนั้นมาหลายชั่วโมงละ”
“จริงด้วย...งั้นพี่กลับก่อนนะ ส่วนเสื้อเดี๋ยวพี่ซักมาคืนให้” มุกลุกขึ้นและหยิบกระเป๋าของตัวเองมาสะพาย เธอทำท่าจะเดินแยกออกไปแต่ผมดึงรั้งที่สายกระเป๋าของเธอเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวติณณ์ไปส่ง วันนี้ติณณ์แว้นมอ’ไซค์มา แป๊บเดียวถึงหน้าบ้านมุกแน่นอน”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่...”
“ถ้าปฏิเสธจะเดินไปฟ้องไอ้เมฆเดี๋ยวนี้แหละ มันเตะบอลอยู่ที่สนาม”
“ติณณ์!”
“แล้วแต่น้า เมฆโว้ย...ไอ้เมฆ กูมีเรื่องจะบอก” ผมยกยิ้มยียวนก่อนจะตะโกนเสียงดังเรียกคนที่กำลังเตะบอลอยู่ในสนาม แม้ว่าที่ตรงนี้จะห่างไกลพอสมควร แต่ก็ทำให้คนมีชนักติดหลังอย่างมุกกังวลกลัว
“โอเค ๆ พี่กลับด้วยก็ได้ เลิกตะโกนได้แล้ว!”
ได้ผล!
“ป้ะ กลับกัน รถติณณ์ไม่พัง แต่ใบสั่งเพียบ!”
“ไปสักทีติณณ์”
“รถติณณ์เร็วจี๋ วิ่งชาตินี้ถึงชาติหน้าในหนึ่งวิแน่นอนคร้าบ”
Tinn’s Part ; End
