ประกาศครั้งที่สอง เสียงในห้องน้ำ [1/3]
ประกาศครั้งที่สอง
เสียงในห้องน้ำ [1/3]
Tinn’s Part ;
ความรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านเกิดขึ้นกับตัวเองมาร่วมชั่วโมงแล้ว พยายามกินน้ำดับความร้อนรุ่มก็แล้ว วิ่งเตะบอลระบายก็แล้ว นั่งสงบสติอารมณ์ตัวเองก็แล้ว แต่สิ่งที่แปรปรวนผิดปกติอยู่ข้างในกลับยังไม่จางหายไปสักที
แต่ก็รู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่นั้นเป็นวิธีแก้ปัญหาแบบไม่ตรงจุด เพราะตัวการของต้นเหตุในเรื่องนี้ไม่ยอมโผล่หน้ามาให้เห็น ทั้ง ๆ ที่เวลานี้ผมมักจะเห็นเธอมานั่งหน้าจ๋องอยู่ที่โต๊ะใต้ต้นไม้ตัวนี้ตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงยี่สิบสองนาทีที่แล้ว
หายไปไหนวะ...
“ไอ้เมฆ พี่มึงหายไปไหนวะ ทำไมวันนี้ไม่เห็น” ผมเดินออกมาจากสนามด้วยสภาพเหงื่อซก จากนั้นก็เปิดประเด็นถามกับคนที่คิดว่าน่าจะรู้ความเคลื่อนไหวของต้นเหตุที่ทำให้ผมกระวนกระวายอยู่แบบนี้
ใช่...ตัวการที่ทำให้ผมหงุดหงิดงุ่นง่านก็คือพี่สาวของไอ้ม่านเมฆนี่แหละ
“ถามถึงมุกทำไม” เมฆเงยหน้าขึ้นมองพลางเลิกคิ้วถาม
“ก็ปกติทุกวันพี่มึงก็จะมานั่งรอตรงนี้ไม่ใช่เหรอ แล้ววันนี้ไปไหนซะล่ะ” ผมพยายามใช้น้ำเสียงและท่าทางที่เป็นปกติมากที่สุด ไม่อยากออกอาการว่าอยากเจอหน้าม่านมุกพี่สาวของเพื่อนสนิทมากเกินไป
“มุกกลับไปแล้ว นี่ก็เลิกเรียนตั้งชั่วโมงกว่าแล้วนะ มาถามไรป่านนี้วะ”
“อ้าว ก็ปกติเห็นกลับพร้อมมึงไม่ใช่หรือไง แล้วไมวันนี้กลับเองอะ” ผมอ้าปากค้างเผลอหลุดสีหน้าเสียดายออกมา ช่วงหลัง ๆ มานี้พี่สาวของไอ้เมฆมักจะมานั่งรอตรงนี้ทุกวันเพื่อรอกลับพร้อมกัน แต่อยู่ ๆ วันนี้กลับเงียบหาย จะไม่ให้ผมแปลกใจได้ยังไง
“วันไหนอยากกลับพร้อมกันก็มารอ แต่วันไหนมุกอยากกลับเร็วก็จะนั่งรถเมล์กลับก่อน”
“ไม่เห็นบอกเลย...งั้นกูกลับละ ขี้เกียจเล่นแล้วว่ะ ฝากบอกไอ้องศาด้วยแล้วกัน” ผมบ่นพึมพำเบา ๆ จากนั้นก็หยิบกระเป๋านักเรียนมาสะพายแล้วเดินดุ่ม ๆ ออกไป โดยไม่ลืมที่จะบอกลาเพื่อนที่เตะบอลด้วยกัน
แต่ก่อนกลับก็แวะเข้าห้องน้ำก่อนแล้วก็ตั้งใจจะล้างหน้าล้างตาที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ช่วงเย็นห้าโมงกว่าแบบนี้เด็กนักเรียนเริ่มกลับบ้านกันไปเกือบหมดแล้ว แต่จะมีตึกนาฏศิลป์ที่ครึกครื้นมากกว่าใครเพื่อนเพราะเด็กกิจกรรมมักจะใช้เวลาหลังเลิกเรียนในการซ้อมเกือบทุกวัน มีทั้งเสียงเพลง เสียงเครื่องดนตรีไทย รวมถึงเสียงบ่นเสียงด่าของคุณครูที่คุมการซ้อมดังเคล้ามาให้ได้ยินด้วย แล้วห้องน้ำที่ผมเข้ามันก็ดันอยู่ติดกับตึกนั้นพอดีเลยได้ยินค่อนข้างชัดเจน
“ช่วยด้วย”
แต่เสียงที่ลอยมาเบา ๆ ผสมปนเปร่วมกับเสียงบนตึกกลับทำให้ผมถึงกับขนลุกซู่ เสียงเล็ก ๆ โทนผู้หญิงดังเคล้าเจือจางคล้ายลอยมาตามสายลม แต่พอเงี่ยหูฟังทุกอย่างกลับเงียบสนิทเหมือนกับว่าผมหูฝาดไปเท่านั้น
“ช่วยด้วย”
หูฝาดก็เหี้ยแล้ว!
“เสียงใครวะ!” ผมสบถหยาบออกมาทันที ใบหน้าก็หันมองรอบ ๆ เพื่อนหาต้นเสียงว่ามันมาจากไหน
หากฟ้ามืดกว่านี้ผมคงมั่นใจไปแล้วว่าคงเป็นผีตัวไหนสักตัว แต่เพราะตัวเองที่ยังคงมีอารมณ์หงุดหงิดคั่งค้างอยู่กลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกแกล้ง
“ไอ้เหี้ยเมฆมึงออกมาเลย ไม่ต้องแกล้งกู กูไม่กลัวหรอก!” คนเดียวที่คิดออกก็คือไอ้เมฆนี่แหละ อ้อ...มีอีกคนหนึ่งด้วย “ไอ้องศา มึงออกมา เดี๋ยวนี้เล่นแรงนะมึง”
เงียบ...
“หลอกผีไม่เป็นไร แต่อย่ามาหลอกว่าไม่มีใครแล้วกัน ติณณ์เสียใจน้า ฮิ้ววว”
ก็ยังเงียบอีก...
ผมจัดการปิดก๊อกน้ำและเลือกที่จะเดินไปเปิดประตูห้องน้ำทุกบานแทนการยืนรอให้เพื่อนออกมายอมรับ เสียงตึงตังจากการกระแทกของประตูกับผนังดังกึกก้องกระทั่งมายังบานสุดท้ายถึงทำให้ผมรู้ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นไม่ได้มาจากการกลั่นแกล้งของเพื่อน
“ความรักก็เหมือนผี รู้ว่ามีแต่หาไม่เจอ เวรแล้ว!” คำพูดคล้องจองหลุดมาจากปากโดยอัตโนมัติเมื่อไม่พบต้นเสียงน่ากลัวชวนขนลุกเหล่านั้น อยากจะตีปากตัวเองเหมือนกันที่ไร้สาระไม่ดูเวล่ำเวลา แต่มันคงเป็นเพราะนิสัยที่ฝังรากลึกเข้าเส้นเลือดไปแล้ว
ฉิบหายละ!
ไม่เจอ ไม่มี เพราะแม่งลอยมาแต่เสียง!
“มีใครอยู่หรือเปล่า ช่วยที เราติดอยู่ในนี้”
“เชี่ย!” หน้าถอดสีหัวใจเต้นรัวเร็ว ประโยคเมื่อกี้ดังมากกว่าเดิม แถมผมยังได้ยินค่อนข้างชัดเจนเต็มสองหูเลยก็ว่าได้
ความหวาดกลัวตัดสินใจให้ผมรีบเผ่นแน้บออกจากห้องน้ำให้เร็วที่สุด กำลังจะก้าวพ้นขั้นบันไดขั้นสุดท้ายของห้องน้ำไปแล้ว แต่ทว่ากระแสน้ำเสียงโทนเดิมจากที่ได้ยินก็ดังขึ้นอีกครั้ง และต้นเสียงนั้นมันก็ดังมาจากทางห้องน้ำหญิงซึ่งอยู่ติดกันกับห้องน้ำชายที่ผมเพิ่งเดินออกมาด้วย
“มีใครอยู่แถวนั้นหรือเปล่า! ช่วยเราด้วย เราติดอยู่ในนี้!”
ขาของผมหยุดการเคลื่อนไหวทันที และเพียงเสี้ยววินาทีมันเปลี่ยนมาเป็นการเดินอาด ๆ ตรงปรี่เข้าไปยังห้องน้ำหญิงซึ่งเป็นจุดกำเนิดของเสียงหลอนหูนั่น
ผีที่ไหนจะพูดออกมาได้เป็นตุเป็นตะขนาดนี้กัน
แบบนี้มันคนชัด ๆ แล้วดูท่าว่าจะถูกแกล้งขังในห้องน้ำด้วย!
