บทที่ 35 เมื่อความลับปรากฎ 4
อีธานถือวิสาสะหายตัวเข้ามาในห้องของหลุยส์ในเวลาเกือบจะตีสี่แล้ว เขาไม่เสี่ยงที่จะเคาะประตูปลุกมนุษย์ในห้องให้ตื่นจากนิทราเด็ดขาด เขาเป็นแวมไพร์ไม่ต้องหลับต้องนอนก็ยังมีแรงหลงเหลือเหลือเฟือโดยเฉพาะเวลากลางคืน แต่มนุษย์หากอดหลับอดนอนเรี่ยวแรงจะเหือดหายจนต้องเบลอในช่วงเวลากลางวันแน่นอน เขาเคยเห็นอาการเหล่านี้ในตาของเชอแตมบ่อยครั้ง เจ้าหล่อนมักจะนอนดึกจนเคยหลับในห้องเรียนมาครั้งหนึ่งแล้ว แน่นอนเธอไม่เคยเล่าให้เขาฟัง เขาอ่านมันทุกอย่างจากใจเธอ
อีธานชักมือที่สอดไว้ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาประสานกันไว้บนอก ก่อนจะยืนมองมนุษย์หนุ่มสาวสองคนที่หลับไปบนโซฟาคนละตัวตรงข้ามกัน
"สงสัยจะไม่ชอบนอนบนเตียงจริง ๆ" อีธานบ่นเบา ๆ เมื่อเลื่อนสายตาจากใบหน้าของหลุยส์มามองหญิงสาวที่ชอบก่อกวนหัวใจเขา
อีธานยืนมองเจ้าหล่อนแบบนั้นอยู่ครู่หนึ่งด้วยความหลงใหล แทบจะทุกคืนที่เขาทำเช่นนี้ ทุกคืนที่เขาไปเฝ้าเธอ เขามักจะนั่งหรือยืนมองใบหน้าที่มีจมูกรั้น ๆ นั้นหลับสนิท เวลาที่เธอลืมตาเขาสามารถเห็นทุกอย่างในความคิดเธอ แต่พอเธอหลับตาความรู้สึกอีกแบบมันก็ทำให้เขาต้องหยุดนิ่งมอง ไม่มีเวทมนตร์เธอก็สามารถสะกดให้เขาต้องมนตร์ได้ เหมือนยืนมองปลาทองตัวน้อยแหวกว่ายในน้ำใส ๆ เหมือนมองของสะสมบางอย่างที่แสนรัก เหมือนมองดวงดาวยามค่ำคืน เพราะทุกอย่างให้ความเพลิดเพลินจนลืมแม้กระทั่งเวลา และการยืนมองเธอก็เป็นเช่นนั้น
เขาเคยยืนมองเธอแบบนี้ในคืนหนึ่ง ตอนนั้นเป็นเวลาใกล้รุ่งแล้ว อีกไม่กี่นาทีก็เช้า เขาอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจุมพิตแก้มใสเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยชิดใบหูว่า 'เชอแตม' และเขาได้อ่านใจเธอในคืนต่อจากคืนนั้นว่า การกระทำในความเป็นจริงของเขา มันกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในความฝันของเธอ เธอคิดว่ามันคือฝันไปโดยที่เธอไม่รู้ว่า จริง ๆ แล้วมันคือความจริง
อีธานเดินเข้าไปช้อนตัวเธอขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะมองด้วยแววตาอ่อนโยนโดยไม่รู้ตัว
"ความรัก ทำให้นายกลายเป็นคนอ่อนโยนขึ้นมาเยอะเลยนะอีธาน"
หลุยส์โพล่งขึ้นมาด้วยเสียงงัวเงียนิด ๆ อีธานไม่ได้แสดงอาการตกใจ เขาตวัดสายตาไปมองหลุยส์ แล้วส่ายหน้าเบา ๆ
"ความเครียดก็ทำให้นายตื่นง่ายไปนะหลุยส์"
หลุยส์ถอนหายใจใส่เขา ขยับกายอย่างอืดอาดขึ้นมานั่งตัวตรงข้อศอกยกขึ้นมาพาดไว้กับขอบโซฟา
"แค่นายคนเดียวก็มันก็เกินพอแล้วนะ อย่าสอนให้แม่นี่ของนายอ่านใจฉันได้อีกคนเลยได้มะ"
อีธานหัวเราะหึหึในลำคอก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากส่งให้เพื่อนมนุษย์ที่รัก
"ฉันไม่ได้สอน แม่นี่ เป็นเอง"
หลุยส์ส่ายหน้าเบา ๆ เชิงหน่าย "ฉันไปนอนละ" พูดจบหลุยส์ก็ลุกขึ้นเดินเซ ๆ นิด ๆ ตรงไปยังเตียงแล้วล้มตัวตึงลงไปแผ่หรากับเบาะกว้าง
เชอแตมถูกอีธานวางลงไปบนเตียงเบา ๆ ความเหนื่อยล้าทำให้เธอหลับสนิทไม่มีท่าทีจะรู้สึกตัวขึ้นมา และอีธานก็ดีใจที่มันเป็นแบบนั้น เพราะหากเธอรู้สึกตัวเขามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเจ้าหล่อนต้องค้อนขวับคาดคั้นเอาความจริงจากเขาเรื่องเฟรยาให้ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นเจ้าหล่อนก็จะอดหลับอดนอน ไร้ความสดชื่นในเช้าวันพรุ่งนี้
เฟรยากลับอาณาจักรไปแล้ว แต่เขาไม่มั่นใจว่าแวมไพร์สาวจะกลับไปจริง ๆ หรือแค่แกล้งหลอกเขาให้เชื่อว่ากลับไปแล้ว เธออาจจะยังวนเวียนแถว ๆ นี้ รอเวลาโผล่มาหาเขาได้อีกในคืนถัดไป ถึงจะอ่านใจเธอได้ แต่เขารู้ดีว่าในความคิดของแวมไพร์ด้วยกันมักจะมีเรื่องไม่จริงแฝงอยู่เกือบครึ่งเปอร์เซ็นต์ นั่นก็เพราะไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ต่างคนต่างอ่านความคิดกันได้ ยกเว้นแวมไพร์เลือดครึ่ง ความคิดของเฟรยาก็อาจจะเป็นมายาที่ตั้งใจให้เขาอ่านในสิ่งที่เป็นเรื่องเท็จแล้วกระทำอีกอย่างหลังจากนั้น
และนี่คงเป็นอีกเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้เขารู้สึกรักเชอแตม ความคิดเธอไม่เคยเคลือบแฝงด้วยความเท็จ แม้เธอจะรู้แล้วว่าเขาอ่านใจได้ แต่เธอก็ยังมีความคิดที่บริสุทธิ์ให้เขาได้อ่านอยู่ตลอดเวลา มันคือเรื่องสนุกและมีความสุขที่ได้อ่านใจเธอมากกว่า เฟรยา หรือแวมไพร์สาวตนใดก็ตามในอาณาจักรแวมไพร์ของเขา
อีธานโน้มใบหน้าลงใช้ริมฝีปากตัวเองแตะเบา ๆ ตรงแก้มใส ๆ ของเธอ เนื้อตัวเธอนุ่มนิ่มไปหมดทุกส่วน ต่างจากเขาที่แข็งเหมือนหิน เขาเห็นเธอยิ้มอ่อนหลังจากที่ผละจากแก้มใสนั้นก่อนจะหุบฉับลงในเวลาต่อมา
เธอไม่ได้แกล้งหลับ เธออาจจะฝันอยู่ เขารับรู้ได้เพราะกระแสความคิดของเธอยังไม่ได้ทำงาน
"ฝันถึงผมอยู่สิท่า" เขาพูดเบา ก่อนจะเอนตัวพิงไปกับหัวเตียง ให้เอวตัวเองอยู่ระดับศีรษะของเจ้าหล่อน มือหนาวางลงบนผมนุ่มของหญิงสาว ก่อนจะค่อย ๆ ลููบเบาขึ้นลง ๆ ราวกำลังกล่อมเธอหลับ
อีกไม่นานก็จะเช้าแล้ว อีธานกระตุกตัวเองนิดหน่อยเมื่อจู่ ๆ แขนของเจ้าหล่อนตวัดฉับมาพาดเอวเขาไว้ ก่อนจะรั้งเข้าหาตัวเองด้วยแรงระดับหนึ่ง พร้อมกับศีรษะที่เอียงมาพยายามซุกไซ้หาความอบอุ่น
อีธานเผยยิ้มครึ้มอกครึ้มใจ แม่นี่ละเมอกอดเขา เธอหลับอยู่ เขาไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้าเธอทำตอนรู้สึกตัวเมื่อไหร่ เขาคงไม่ยอมให้เธอแค่กอดแน่นอน
เชอแตมใช้สองมือเล็กของตัวเองฟาดไปมากับผ้านวมผืนนุ่มด้วยแรงระดับหนึ่ง สีหน้าเหยเกราวกับเด็กสามขวบงอแงจะเอาของที่อยากได้ เช้าแล้ว เธอตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องของตัวเอง คงไม่ใช่หลุยส์ที่พาเธอมาส่ง เขาไม่รู้จักห้องของเธอ และคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอีธาน
เขาพาเธอมาส่งโดยตั้งใจจะไม่ปลุกเธอเลย เขาปล่อยให้เธอหลับจนเช้า เธอต้องรอไปอีกประมาณสิบกว่าชั่วโมงเพื่อจะเจอเขาอีกครั้ง เธอยังคงใจร้อน เรื่องเฟรยา ยังคงทำให้เธอร้อนรุ่มใจได้ทุกครั้งที่นึกถึง
"อีธาน! นะอีธาน ใจร้ายที่สุด" เชอแตมสบถกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะตัดใจลุกจากเตียง เดินกระทืบเท้ากับพื้นปูนขัดมันของห้องหายเข้าไปในห้องน้ำแล้วออกมาอีกทีหลังจากเวลาผ่านไปสิบห้านาที
ป๊อบคอร์นตื่นเช้ามาเรียนด้วยอารมณ์ไม่ค่อยแจ่มใสนัก เมื่อคืนเธอแทบจะสะดุ้งรู้สึกตัวตลอดคืน เพราะคิดวุ่นวายก่อนจะนอน เจ้าหล่อนมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือในมือด้วยดวงตาอ่อนล้า
คุณแม่ธารทิพย์กลายเป็นคุณแม่จอมบงการชีวิตคู่ลูกสาวไปทันใดเมื่อได้เจอหลุยส์ นางดึงโทรศัพท์มือถือจากมือของเธอในตอนเช้าไปกดบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของหลุยส์ที่ได้มาก่อนเขาจะกลับไปเมื่อคืนด้วยอารมณ์ร่าเริง คุณแม่ไม่รู้ซะแล้วว่าลูกสาวกับลูกชายตัวดีของเพื่อนรักของนางนั้นดราม่ากันแค่ไหน
แต่ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีละกันที่เธอจะได้สะดวกในการติดต่อกับเขา เพราะเธอตั้งใจไว้แล้วว่าเธอจะต้องเคลียร์กับเขาให้รู้เรื่องถึงการกระทำที่ก้ำกึ่งของเขาต่อเธอ
ป๊อบคอร์นตัดสินใจสัมผัสไอคอนรูปหูโทรศัพท์เพื่อกดโทร.ออก และปลายสายก็คือ หลุยส์
เสียงรอสายดังตื๊ดยาว ๆ กระตุ้นให้หัวใจของหญิงสาวกระตุกเต้นตื่น ๆ ไม่หยุดหย่อน ช่วงเวลาที่รอเขารับสายมันเหมือนเด็กสาววัยแรกรุ่นกำลังโทร.ไปหารุ่นพี่ที่กำลังแอบชอบ กว่ารุ่นพี่จะรับสายก็ทำเอาความกล้าที่รวบรวมไว้ค่อย ๆ หายไปกับเสียงสัญญาณรอสาย และพอรุ่นพี่กดรับปุ๊บ เด็กสาววัยแรกรุ่นก็กดวางปั๊บ
ป๊อบคอร์นก็เป็นเช่นนั้นแล...
หญิงสาวถอนหายใจใส่โทรศัพท์มือถือในมือที่สั่นเทาพร้อมกับหัวใจที่เต้นโครมครามสะเทือนทรวงอก เธอยังรู้สึกกับเขาได้มากกว่าที่คิดเสียอีก ไม่ได้แล้ว...เธอต้องโทร.ไปใหม่ เธอจะปล่อยให้ความรู้สึกอย่างที่เคยเป็นตอนม.ปลายเกิดขึ้นอีกไม่ได้ เธอจะปล่อยให้มันเนิ่นนานจนยากจะตัดใจในภายหลังไม่ได้
"ฮัลโหล...ครับ" น้ำเสียงของหลุยส์อู้อี้จนคนฟังต้องหรี่ตาสงสัย
"ฮัลโหล หลุยส์ ใช่มั้ยคะ" ป๊อบคอร์นถามเพื่อความแน่ใจ
"ครับ หลุยส์พูด" อะไรบางอย่างกำลังบอกป๊อบคอร์นว่า หลุยส์มีอะไรแปลก ๆ น้ำเสียงเขาเหมือนไม่ยี่หระต่อคู่สนทนาคนนี้เลย เหมือนเขาไม่อยากจะรับ เหมือนเขาจำใจต้องรับ เหมือนเขาไม่ค่อยรู้สึกตัวว่ากำลังคุยโทรศัพท์ เหมือนเขากำลังหลับอยู่
"ป๊อบคอร์น..." ก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยอะไรกลับไป เขาก็สวนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ เรียกชื่อเธอ ป๊อบคอร์นปากอ้าค้าง ตกใจใช่เล่นที่เขาจำเสียงเธอได้ "คุณเหรอ" เขาถาม
"ใช่ ฉันเอง" ป๊อบคอร์นตอบด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส แข็งกระด้าง
"คุณมีอะไรเหรอ" หลุยส์ยังคงน้ำเสียงเหนื่อยล้าอู้อี้กลับมา จนป๊อบคอร์นอดที่จะถามไม่ได้
"คุณเป็นอะไรรึป่าวน่ะหลุยส์"
"เปล่า"
"แต่เสียงคุณไม่ได้เปล่านะ" เธอตั้งข้อสังเกต ได้ยินหลุยส์ไอแค่ก ๆ ตอบกลับมา
"ผมนอนอยู่น่ะ คุณมีอะไรก็ว่ามาเถอะ" หลุยส์พยายามดัดเสียงให้เหมือนปกติมากขึ้น แต่ยังไงป๊อบคอร์นก็ฟังออกว่ามันคือการใช้ความพยายามให้ปกติ
"คุณไม่สบายเหรอ" ในเมื่อเขาไม่บอก เธอเลยต้องถามจี้ให้ตรงจุด ก็น้ำเสียงเขามันให้ความรู้สึกแบบนั้นกับเธอ
"ถ้าคุณไม่พูดธุระของคุณ ผมวางละนะ" เขาก็ต้องเด็ดขาดเพื่อให้เธอเข้าประเด็นเช่นกัน
"ไม่ต้องหรอก เพราะฉันจะเป็นฝ่ายตัดสายคุณก่อน" พูดจบเจ้าหล่อนก็วางสายเสียดื้อ ๆ ก่อนจะเด้งตัวลุกจากเก้าอี้ไปซื้อข้าวมื้อเที่ยงในโรงอาหารของมหาวิทยาลัยแบบใส่ห่อพากลับบ้าน
เสียงเคาะประตูห้องของหลุยส์ดังขึ้นหลังจากป๊อบคอร์นตัดสายเขาไปเกือบชั่วโมงแล้ว แม้ใจจะรู้สึกหดหู่ที่เธอตัดสายแต่ร่างกายก็อ่อนล้าเกินกว่าจะคิดอะไรให้ตึงเครียด และเพราะร่างกายอ่อนล้ามันจึงสั่งให้เขาหลับตาลงเพื่อพักผ่อน
แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงเคาะประตูดังรัวติดกันแบบไม่เกรงใจอยู่หน้าห้องของเขา ไม่ใช่อีธาน เขารู้ อีธานมีจังหวะเคาะประตูที่สุภาพจนเขาจำได้แล้ว ร้อยวันพันปีไม่เคยมีใครมาหาเขา เพื่อน ๆ ญาติพี่น้องแทบจะไม่เคยมีใครได้เข้ามาเหยียบห้องของเขา แล้วใครมาหาเขาตอนนี้
เขารวบรวมเรี่ยวแรงที่ยังพอเหลืออยู่พาร่างตัวเองลงมาจากเตียงเดินเซ ๆ ไปยังประตู ก่อนจะเปิดกว้างออกเผยให้เห็นแขกผู้มาเยือน ป๊อบคอร์นยืนกอดอกสีหน้าถมึงทึงอยู่หน้าห้อง จ้องเขากลับมาด้วยแววตาราวกับจะจิกกัด
"เหอะ! นี่น่ะเหรอ ไม่ได้เป็นอะไร" เธอบ่นเบา ๆ ตั้งใจให้ได้ยินเพียงตัวเองมากกว่า แต่เสียงมันแหลมสูงเป็นปกติอยู่แล้ว พูดเบา ๆ ของเธอจึงเหมือนตะโกนดัง ๆ ของใครหลาย ๆ คน เธอเห็นสภาพหลุยส์แล้วอดส่ายหน้าระอาไม่ได้ หน้าเขาซีดเผือด มือที่คว้าขอบประตูนั้นเหมือนหาที่พึ่งพิงไม่ให้ล้ม ดวงตาดูอิดโรยจนน่าสงสาร
หลุยส์ยอมรับกับตัวเองว่าตกใจมากที่เห็นเธอยืนอยู่หน้าห้องของเขาตอนนี้ ถ้าหากเธอจะมาหาเรื่องเขา วันนี้เขาคงแพ้เธอราบคาบ เพราะสมองอันไวปร๋อของเขาไม่สามารถทำงานตรงข้ามหัวใจในสภาพหมดเรี่ยวแรงแบบนี้ได้อีกแล้ว เขาคงเถียงไม่ออก และคงต้องปล่อยให้เธอแว้ด ๆ ไปคนเดียว หากเธอจะทำแบบนั้น
โดยไม่คาดคิด ป๊อบคอร์นเข้ามาประคองเขาด้วยท่าทางไม่ค่อยเต็มใจ ก่อนจะปิดประตูแล้วเดินขัด ๆ เพราะต้องรับน้ำหนักเขาที่ทิ้งมาหาเธอเล็กน้อยพาไปวางไปไว้บนเตียง หลุยส์มองหน้าเธอด้วยดวงตาที่เกือบเบลอ สมองเขาแทบไม่รับรู้อะไร แต่ใจเขามันรู้สึกอิ่มอย่างบอกไม่ถูก
เหมือนร่างกายมันจะรับรู้ได้ว่ามีอีกคนมาช่วยดูแลมันแล้ว มันถึงได้ทรยศความเข้มแข็งแล้วอ่อนแอทิ้งตัวบนเตียงแบบไม่ฝืนความเจ็บปวดไว้อีก
"ตัวคุณเริ่มร้อนละนะ ปล่อยไว้ต้องไข้ขึ้นสูงแน่ ฉันไปเอาผ้าเอาน้ำมาเช็ดตัวให้นะ"
รวดเร็วกว่าคำพูดคือการกระทำ เจ้าหล่อนเดินหายไปในห้องน้ำ จัดการหาผ้าขนหนูและกะละมังเล็ก ๆ ด้วยตัวเอง หลุยส์ได้แต่ส่งสายตามองดูเก็บการกระทำทุกอย่างของเธอไว้โดยที่ไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะพิษไข้เริ่มจู่โจม
ป๊อบคอร์นกลับมาพร้อมอุปกรณ์เช็ดตัวให้เขา
"ไม่ต้องลำบากหรอก" หลุยส์พยายามที่จะคัดค้านเมื่อเธอหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำบิดแล้วยื่นมันมาจะเช็ดตัวให้เขา เจ้าหล่อนชะงักมือก่อนถอนหายใจฟู่สีหน้าดุดันมองเขา
"ไม่ต้องมาพูดดีกว่า ดูเรี่ยวแรงตัวเองซิ จะเถียงฉันยังทำไม่ได้เลย...อ้อ! แล้วไม่ต้องมาคิดว่าฉันทำเพราะหวังดีหรอกนะ ฉันแค่รีบที่จะคุยธุระกับคุณ ถ้าฉันปล่อยให้คุณเป็นไข้ขึ้นมา ระยะเวลาอันรีบร้อนของฉันก็ยืดยาวออกไปอีก ซึ่งฉันรอให้มันยืดยาวไปแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ"
ร่ายยาวจนคนฟังต้องเงียบกริบ อย่างน้อยคำพูดของเธอก็ช่วยทำให้เธอเช็ดตัวเขาได้ง่ายขึ้นโดยที่เขาไม่ขัดขืน ป๊อบคอร์นแตะผ้าขนหนูไปตรงบริเวณหน้าผากก่อนจะเช็ดกึ่งแรงกึ่งเบาทั่วใบหน้า แววตาเจ้าหล่อนจดจ้องเพียงสัดส่วนที่ผ้าขนหนูแตะต้องเท่านั้น เธอพยายามอย่างยิ่งเพื่อเลี่ยงสายตาอันชวนย้อนคิดถึงความทรงจำเก่า ๆ เธอก็เลยไม่รู้ว่าหลุยส์ที่เงียบกริบในตอนนี้กำลังมองเธอด้วยแววตาอ่านยาก ปากเล็ก ๆ ที่มักจะพ่นเสียงกังวานของเธออยู่ในลักษณะยู่เพราะอาการตั้งใจทำงาน แววตาใสซื่อที่แสนจะมันปลาบเมื่อตาเขามองสบชวนให้ขนลุกขนพองเพราะความเกรงใจ เขาใกล้เธอแค่นี้...แค่อากาศอันน้อยนิดขวางกั้น แต่ทำไมมันดูเหมือนไกลกว่าอยู่คนละซีกโลก
เขาไม่สบายก็เพราะคิดเรื่องเธอตลอดทั้งคืน เขาเป็นแบบนี้เพราะความสับสนของจิตใจตัวเอง พ่อแม่ก็รักและละความแค้นไม่ได้ ส่วนเธอ...เพราะเขารักเขาถึงต้องทิ้งไป
ป๊อบคอร์นถอนหายใจเบาเมื่อเช็ดบริเวณใบหน้าเสร็จแล้ว เธอเลื่อนมาเช็ดบริเวณคอของเขาต่อก่อนจะชะงักมือไว้แค่นั้น แล้วเอ่ยกับเขา
"คุณเช็ดเองต่อไหวมั้ย" เธอถามเพื่อความแน่ใจเมื่อสัดส่วนต่อไปที่ต้องเช็ดคือลำตัวเขา ถึงเธอจะดูเหมือนกล้าไปหมดเสียทุกอย่าง แต่จริง ๆ แล้วเธอก็เขินบรมเหมือนกัน
"แรงจะยกมือยังไม่มีเลยคุณ" หลุยส์โกหกหน้าตาย ป๊อบคอร์นมองค้อน ก่อนจะนึกในใจลำพัง
"ทีลุกไปเปิดประตูละไปได้"
เจ้าหล่อนก็ไม่คัดค้านแต่อย่างใด ลงมือเอาผ้าเช็ดตัวซับน้ำบิดหมาด ๆ ใหม่อีกรอบ ก่อนจะหันมาบอกเขาว่า
"คุณต้องถอดเสื้อยืดนี้ออกนะ ฉันจะได้เช็ดตัวได้ง่าย แล้วก็เปลี่ยนเป็นเสื้อตัวใหม่ด้วย"
หลุยส์พยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ขยับกายลุกขึ้นนั่งรวบชายเสื้อดึงออกไปจากตัว ป๊อบคอร์นหรี่ตามองด้วยอาการหงุดหงิด
"ไหนบอกว่าแรงจะยกมือยังทำไม่ได้เลยไง นี่ถอดเสื้อซะไวเลยนะ"
หลุยส์ยิ้มแห้งเพราะสีหน้าที่ซีดเผือด
"ถอดเสื้อยกมือทีเดียวจบ แต่เช็ดตัวยกมือหลายทีกว่าจะเสร็จ"
ป๊อบคอร์นถอนหายใจฟู่ ไม่อยากเถียงกับคนกำลังจะเป็นไข้ เธอต้องรีบ ๆ เช็ดตัวเขาให้เสร็จแล้วจัดการให้เขากินข้าวกินยาพักผ่อนให้เร็ว เพื่อเขาจะได้ฟื้นตัวมีแรงมาถกเถียงประเด็นสำคัญกับเธอต่อ
หลุยส์ทิ้งตัวนอนลงไปอีกครั้ง แม้ว่าสีหน้าจะซีดแต่แววตาเขาดูเปล่งประกายจนน่าหมั่นไส้ ป๊อบคอร์นไม่ได้สนใจแววตาคู่นั้น เพราะมันจะทำให้เธอเขว เจ้าหล่อนยังคงใช้ผ้าขนหนูเช็ดไปตามหัวไหล่ หน้าอก หน้าท้องของเขาด้วยความไวแสง พยายามไม่ให้ปรากฏการณ์กระแสไฟช็อตเกิดขึ้นกับเธอและเขาเป็นอันขาด
เสร็จเสียทีกับการเช็ดตัวที่ใช้เวลาประมาณสิบกว่านาที มันช่างยาวนานราวกับครึ่งวันเลยทีเดียวเมื่อเธอต้องกลั้นหายใจอยู่ตลอดเวลาที่สัมผัสตัวเขา
"กินข้าวต้มนี่หน่อยนะ คุณจะได้กินยาแล้วพักผ่อน"
ป๊อบคอร์นถือถ้วยใส่ข้าวต้มที่ซื้อมาจากโรงอาหารของมหาวิทยาลัยจ่อใบหน้าเขา หลุยส์มองต่ำลงไปในถ้วยเห็นผักชีลอยอยู่ในนั้นแล้วแสดงอาการหยีนิด ๆ
"ผมไม่กินผักชี" เขาปฏิเสธเสียงอ่อน จริง ๆ กินได้นั่นแหละ แต่เขาอยากจะดูใจเธอว่าจะทำยังไงถ้าเขาดื้อแพ่งใส่
ป๊อบคอร์นถอนหายใจหนักหน่วงเชิงหงุดหงิด มองหน้าคนป่วยเรื่องมากด้วยท่าทางเหมือนแม่มดที่กำลังจะเสกคาถาพิฆาตใส่ หลุยส์คิดว่าเธอจะอ้าปากแว้ด ๆ ใส่เขา แต่ผิดคาด เจ้าหล่อนหันไปหาถ้วยข้าวต้มด้วยกริยาสะบัด ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เขี่ยผักชีนั้นออกจากถ้วยจนเกือบหมด
"เหลืออยู่นิดหน่อย หวังว่าจะกินได้นะ ผู้ชายตัวโต ๆ อกสามศอก เขาไม่กลัวผักชีชิ้นเล็กเท่าขี้มดแบบนี้หรอก"
"ผมไม่ได้กลัวผักชี ผมแค่ไม่กิน ไอ้การไม่กินผักชีมันก็ไม่เกี่ยวกับอกสามศอกของผมตรงไหนเลยนะ" หลุยส์เถียงเบา
"เถียงคำไม่ตกฟาก นี่น่ะเหรอคนป่วย ปล่อยให้ป่วยตายคาห้องนี้ซะดีมะ"
ป๊อบคอร์นเท้าสะเอวตีหน้ายักษ์นึกหงุดหงิดทั้งเขาและตัวเธอเองที่ใจอ่อนอยากทำให้เขาไปเสียหมด
"ก็ถ้าทำได้ คุณก็ทำเลย" เขาบอกด้วยรอยยิ้มนุ่ม ๆ เห็นการกระทำของเธอที่พยายามขัดขืนใจตัวเองแล้วอดที่จะออดอ้อนอีกไม่ได้
ป๊อบคอร์นพ่นลมหายใจออกมาฟู่หนึ่ง
"ลุกขึ้นนั่งก่อน กินข้าว จะได้กินยา แล้วหลับไปซะจะได้ไม่ต้องพูดมาก"
หลุยส์หัวเราะร่วนก่อนจะยันตัวลุกขึ้นพิงหัวเตียง รอให้เธอยกถ้วยข้าวต้มขึ้นมาส่งให้เขา
"ผมบอกแล้ว ผมไม่มีแม้แต่แรงจะยกมือ"
เขาปฏิเสธที่จะรับถ้วยข้าวต้มมาตักกินเองเมื่อเจ้าหล่อนส่งมาให้ลวก ๆ ป๊อบคอร์นถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะจ้วงตักข้าวต้มในถ้วยด้วยอารมณ์หงุดหงิดสุด ๆ เธอผลักช้อนเข้าปากเขาแรง ๆ ขณะป้อน จนหลุยส์หน้าหงายเกือบสำลักข้าวต้ม
"หืม ผมว่าผมสำลักข้าวต้มตายก่อนจะได้กินยาแน่เลย"
ป๊อบคอร์นถอนหายใจแรง ๆ อีกครั้งก่อนจะมองค้อนเขาด้วยดวงตาดุจัด เธอหงุดหงิดสุด ๆ เมื่อคิดว่าเมื่อไหร่ข้าวต้มจะหมดจานเสียที ต่างกับหลุยส์ที่ดูร่าเริงขึ้นมานิด ๆ ทั้งที่ยังหน้าซีดเผือด
หลุยส์ไม่มีท่าทีจะอิ่มเสียทีจนกระทั่งข้าวต้มหมดถ้วยนั่นแหละ ป๊อบคอร์นถึงละมือจากช้อนวางถ้วยลงบนโต๊ะ นี่หรือคนไข้ ปกติเวลาไข้เขาจะไม่ค่อยอยากกินอะไรไม่ใช่หรือ ทำไมหมอนี่ถึงกินหมดถ้วย ป๊อบคอร์นไม่สนใจใคร่ถาม เพราะมันจะเสียเวลาไปเรื่อย เธอหยิบยาลดไข้กับน้ำมาให้เขากรอกเข้าปาก
ถึงเวลาที่เขาต้องนอนพักผ่อนเสียที...
ป๊อบคอร์นทำท่าจะลุกขึ้นเอาถ้วยไปเก็บ แต่หลุยส์ยกมือขึ้นมาจากเตียงรั้งเธอไว้ เจ้าหล่อนก้มมองมือหนาก่อนจะตวัดสายตามามองเขา
"อะไรอีก" ถามเสียงห้วน แต่กลับได้ยิ้มที่เผยตรงมุมปากนิด ๆ มาให้
"เฝ้าผมจนผมตื่นนะ" คำขอนั้นดังกังวานในโสตประสาทป๊อบคอร์น ยอมรับว่าอ่อนระทวยอยู่ภายใน แต่จะไม่แสดงออกให้เขาเห็น
"หลับไปเถอะนา น่ารำคาญจริง ๆ" เธอผละจากเขาจนมือที่จับเธออยู่ของหลุยส์ตกลงบนเตียง เขามองร่างบางเดินไปยังครัวด้วยสายตาปลื้มปริ่มก่อนเปลือกตาตัวเองจะค่อย ๆ ปิดลง แล้วเข้าสู่นิทราโดยง่าย
ป๊อบคอร์นเอาถ้วยข้าวต้มมาวางในอ่างล้างจานก่อนจะยืนนิ่งหันหน้าเข้าหาเคาน์เตอร์ครัว เธอพยายามรวบรวมสติตัวเองที่เกือบจะกระเจิดกระเจิง เพียงเพราะคำขอของหลุยส์เมื่อสักครู่ ถ้าไม่ยั้งใจไว้ ถ้าไร้สติเธอคงนั่งลงข้าง ๆ ยิ้มให้พร้อมกับกุมมือเขาไว้แล้วเอ่ยเบา ๆ ว่า หลับเถอะ ฉันจะนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน
เจ้าหล่อนสะบัดศีรษะแรงก่อนจะพ่นลมออกทางจมูกเหมือนวัวกระทิง หันไปมองชายหนุ่มที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงด้วยลมหายใจที่ผ่อนเป็นจังหวะสม่ำเสมอ คงเป็นเพราะพิษไข้เขาถึงได้พูดอะไรออกมาให้เธอหวั่นไหว
"ฉันจะไม่หลงเสน่ห์คุณจนหัวปักหัวปำเหมือนครั้งนั้นเด็ดขาด" เธอให้คำมั่นกับตัวเองขณะมองไกลไปยังเขา
แต่หลังจากอารมณ์ขุ่น ๆ หายไป เจ้าหล่อนก็ง่วนอยู่กับครัวของเขาอยู่พักหนึ่ง เธอคิดถึงช่วงเวลาเขาตื่นขึ้นมา เขาอาจจะหิว เธอเลยต้องทำอะไรตั้งไว้ก็ยังดี สำหรับคนยังป่วยอยู่ ข้าวต้มคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว และที่สำคัญเธอขี้เกียจคิดเมนูอื่น
ป๊อบคอร์นเปิดตู้นั้นปิดตู้นี้ ค้นหาข้าวของในครัวเขาทุกซอกทุกมุมด้วยความคล่องแคล่วราวกับเป็นห้องของตัวเอง เธอผงะไปชั่วขณะเมื่อเปิดตู้ใต้เคาน์เตอร์เก็บภาชนะใส่อาหารแทนที่จะเป็นภาชนะมันกลับกลายเป็นกระเทียมเกือบเต็มตู้!
ป๊อบคอร์นมองกองกระเทียมอยู่อึดใจก่อนจะปิดประตูเบา ๆ แล้วนึกสงสัย
"เก็บกระเทียมมากขนาดนี้ไว้ทำอะไร ชอบกินกระเทียมเหรอ"
เธอถามตัวเองเพราะไม่มีใครให้ถาม พร้อมเอียงหน้าสงสัยอย่างหนัก ครั้นจะไปปลุกเขาขึ้นมาถามเรื่องกระเทียมมันก็ใช่เรื่องสลักสำคัญจนถึงขนาดต้องรบกวนการนอนของเขา
ช่างมันเถอะ! เรื่องกระเทียม...ช่างมัน...ดีมั้ย?
