บท
ตั้งค่า

บทที่ 28 เส้นใหญ่

หลุยส์ยืนนิ่งมองเข้าไปในตัวบ้านของเพื่อนรักเชอแตม เขาจอดรถขวางหน้าประตูบ้านโดยไม่คิดหลบมุมสักนิด ตั้งใจไว้ว่ามาแค่ครู่เดียวก็จะกลับ

แค่เห็นหลังคาบ้านก็ยังดี...

ในตอนที่กำลังขยับตัวตัดสินใจจะกลับเข้าไปนั่งในรถเพื่อกลับคอนโด มีรถยนต์คันหนึ่งสาดไฟต่ำมายังหลุยส์แล้วจอดสนิทจ่อท้ายรถของเขา หลุยส์สะดุ้งนิด ๆ วินาทีแรกเขาคิดว่าจะเป็นป๊อบคอร์น แต่เมื่อผู้โดยสารคนหนึ่งที่นั่งในรถโผล่ศีรษะออกมาทักทาย เขาก็โล่งใจเมื่อไม่ใช่เจ้าหล่อน

"มาหาใครหรือพ่อหนุ่ม" หญิงวัยกลางคนส่งเสียงมาทักทายหลุยส์ แววตาประหลาดใจนิด ๆ กับพ่อหนุ่มที่มาจอดและยืนพิงรถขวางหน้าบ้านของเธอ

"เปล่าครับ" หลุยส์ตอบกลับไป "ผมกำลังจะกลับแล้วครับ" เขาจำผู้หญิงคนนี้ได้ ท่านชื่อธารทิพย์เป็นมารดาของป๊อบคอร์น

อึดใจทั้งบิดามารดาของป๊อบคอร์นลงมาจากรถเพื่อเข้ามามองชายหนุ่มแปลกหน้าที่กำลังยืนพิงรถขวางหน้าบ้านของตัวเองให้ชัด ๆ หญิงวัยกลางคนแสดงสีหน้าฉงนสงสัย นางหรี่ตาเล็กน้อยด้วยความทรงจำบางอย่างกำลังทำงาน

"หน้าเธอคุ้น ๆ นะ" คุณธารทิพย์เอ่ยสงสัย หลุยส์มองหน้าหญิงชายวัยกลางคนทั้งคู่ด้วยแววตากึ่งนิ่งกึ่งหวั่น เขาภาวนาในใจว่า อย่าจำเขาได้เลย

"เธอเป็นลูกชายของ ฌายิน ใช่มั้ย" เสียงคุณชรัณบิดาของป๊อบคอร์นดังขึ้นเป็นกระแสแห่งการกระตุ้นความนึกคิดของภรรยาตัวเอง หญิงวัยกลางคนอ้าปากยิ้มแย้มสีหน้าแสดงความดีใจที่เธอนึกออกแล้ว หลุยส์อ้าปากค้างนิด ๆ ที่ผู้สูงวัยกว่ายังจดจำเขาได้

"หลุยส์ หลุยส์ใช่มั้ยลูก" หญิงสูงสัยกว่าเข้าไปจับแขนของเขาใบหน้าเต็มเปี่ยมด้วยความยินดีต้อนรับ

"ครับ" หลุยส์จำเป็นต้องจำนนต่อความทรงจำของคนทั้งคู่

"ใช่ จริง ๆ ด้วย!" เสียงหญิงวัยกลางคนเต็มไปด้วยกระแสแห่งความดีใจ "หลุยส์หายไปไหนมา ตั้งแต่ดารินทร์กับฌายินเสียไป หลานก็หายไปเลย บ้านก็ไม่อยู่ ป้านี่เป็นห่วงแทบแย่ คิดว่าหลาน..." นางคิดว่าหลุยส์กลายเป็นร่างไร้วิญญาณตามพ่อแม่ไปแล้ว แต่ก็ไม่อยากพูดมันออกมา ซึ่งหลุยส์ก็เข้าใจ

"ผมสบายดีครับ" เขาตอบสั้น

"แล้วนี่มายืนทำอะไรหน้าบ้านป้าดึกดื่นแบบนี้ ไป...เข้าไปข้างในก่อนดีกว่า เราไม่เจอกันมากี่ปีแล้วนะ แปดปีได้แล้วมั้ง ป้าว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันยาวเลย"

หลุยส์นึกเกรงใจคนสูงวัยกว่าทั้งคู่มาก เพราะนี่ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ที่สำคัญเขายังไม่อยากเจอหญิงสาวที่เขาเพิ่งมอบรอยจูบที่แสนจะเร่าร้อนเต็มไปด้วยกระแสแห่งความรู้สึกมากมายจนอธิบายไม่ถูกแก่หล่อน

"ผมว่าคุณลุงกับคุณป้ากลับเข้าบ้านเถอะครับ ผมต้องขอตัวก่อนดีกว่า อีกอย่างดึกขนาดนี้แล้วคุณลุงกับคุณป้าจะได้พักผ่อน"

ชายวัยกลางคนยืนกอดอกสีหน้าไม่ยินดียินร้ายกับชายหนุ่มตรงหน้าสักเท่าไหร่ เอ่ยขึ้นมาว่า

"ลุงกับป้าเพิ่งกลับมาจากงานวันเกิดเพื่อน เรามีสังคมก็แบบนี้แหละ จำเป็นต้องไป นี่ก็ง่วงนอนเต็มทีแต่พอมาเจอหลาน ลุงกลับตาสว่าง ในหัวนี่มีเรื่องจะถามเยอะแยะทีเดียว"

หญิงวัยกลางคนยิ้มกว้างเห็นด้วยกับคำพูดของสามี

"ใช่จ้ะ ป้าดีใจมากเลยนะที่เจอหลาน เราสองครอบครัวเป็นเพื่อนกันแท้ ๆ แต่เรากลับต้องห่างกันเพราะเรื่อง..." คำพูดของนางถูกตัดขาดในทันทีที่นึกถึงอาชีพนักการเมืองของ ฌายิน ภูมิบวรวงศ์ ซึ่งพ่วงด้วยการทุจริตคอรัปชั่นจนเพื่อนพ้องรับไม่ได้ ทุกคนที่ยืนฟังอยู่รู้ดีว่ามันคือเรื่องอะไร โดยเฉพาะหลุยส์ แม้จะยังเด็กมากในตอนนั้น แต่เขาพอจะดูออกว่าเพื่อนพ้องของพ่อค่อย ๆ ห่างหายไปโดยไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด

"ป้าขอโทษ..." หญิงสูงวัยกว่าเอ่ยรักษาน้ำใจเด็กหนุ่มเมื่อเห็นเขามีสีหน้าสลดลง

"ไม่เป็นไรครับ" หลุยส์ตอบทันควัน "ผมเข้าใจ อย่าว่าแต่ลุงกับป้าเลย ขนาดผมเป็นลูกชายของพ่อแท้ ๆ ผมยังรับไม่ได้เลยครับ"

บิดาของป๊อบคอร์นยกมือขึ้นมาแตะไหล่ของเด็กหนุ่มพร้อมตบเบา ๆ เชิงให้กำลังใจ

"เรื่องมันผ่านไปแล้ว ลุงกับป้าไม่ได้คิดอะไรแล้วล่ะ ไหน ๆ ฌายินก็เสียไปแล้ว ถือว่าเขาได้รับกรรมที่เขาทำกับบ้านเมืองไปแล้ว"

หลุยส์พยักหน้ายิ้มเบาให้ผู้สูงวัยกว่าทั้งคู่

"ว่าแต่หลานมายืนทำอะไรหน้าบ้านป้า"

ชายหนุ่มอึกอักเมื่อหญิงสูงวัยกว่าย้อนถามถึงการกระทำของเขา

"เอ่อ...ผมออกมาขับรถเล่นน่ะครับ ผ่านบ้านคุณป้าโดยบังเอิญ ผมเลยจอดรถยืนมอง แต่เห็นว่าดึกมากแล้วเลยไม่อยากรบกวนคนในบ้านครับ"

แววตาของหญิงสูงวัยกว่าหรี่เล็กราวกับไม่อยากเชื่อ หล่อนกำลังคิดถึงอะไรบางอย่างที่หล่อนเคยคิดเอาไว้เมื่อสมัยหลุยส์ยังเด็ก

"หลานยังจำป๊อบคอร์น ลูกสาวของป้าได้หรือเปล่า"

หลุยส์สะดุ้งนิด ๆ กับชื่อของเจ้าหล่อน เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น

"เอ่อ...ครับ จำได้" เขาไม่พูดอะไรให้มากกว่านี้ป้องกันความผิดพลาดในอนาคต

"ตอนนี้น้องโตขึ้นเป็นสาวสวย น่ารักมากนะ..." หญิงสูงวัยแอบอมยิ้มนิด ๆ ส่งไปให้เขา "ไม่ใช่เด็กกะโปโลเหมือนตอนเด็ก ๆ ที่หลานเคยเจอแล้วนะ"

"เอ่อ...ครับ" เขากระอักกระอ่วนพูดไม่ออก ท่าทางของคุณธารทิพย์เหมือนจะแปลงร่างเป็นแม่สื่อแม่ชักให้เขาเสียอย่างนั้น หากเขาไม่ใช่ศัตรูแวมไพร์เรื่องนี้มันจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดในชีวิตเขา

"เอาเป็นว่า เราค่อยเจอกันตอนกลางวันดีกว่า จะได้มีเวลาคุยกันยาว ๆ แล้วหลานจะได้เจอน้องด้วย ดีมั้ย"

นางยังจะถามเขาอีกว่าดีมั้ย แล้วจะให้เขาตอบว่าอย่างไร หลุยส์เลยได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ส่งให้หญิงสูงวัยที่เขาเคารพแทน

"คืนนี้ เราคงได้คุยกันแค่หน้าบ้าน ไว้พรุ่งนี้ดีมั้ย หลานมาหาลุงกับป้า เราจะได้คุยกันมากกว่านี้" ชายสูงวัยกว่าเอ่ยถามและเสนอความคิดเห็น

"พรุ่งนี้นะ หลานมากินข้าวเย็นที่บ้านป้านะ..." หญิงสูงวัยแสดงสีหน้าเบิกบานแทบไม่อยากให้หลุยส์กลับไป เพราะกลัวไม่ได้เจออีก หล่อนจึงนัดแนะหลุยส์เสียพรุ่งนี้เลย

ใจจริงหลุยส์ไม่อยากมา เพราะเขาไม่อยากสร้างความสัมพันธ์กับบ้านของป๊อบคอร์นให้มากไปกว่านี้ ความสัมพันธ์ยิ่งมาก การตัดขาดมันก็ยิ่งยากขึ้นด้วย แต่เขาก็เกรงใจผู้สูงวัยทั้งคู่จนต้องตกปากรับคำ

"ครับ" แม้จะตอบสั้น ไม่ยืนยันหนักแน่น แต่คำตอบนั้นก็สร้างรอยยิ้มให้หญิงสูงวัยได้แย้มบานจนออกนอกหน้า นางรักหลุยส์มากเสมือนลูกชายคนหนึ่ง ซึ่งมันเกิดขึ้นมานานตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นเด็กตัวเล็กวัยประถม ดารินทร์เป็นมารดาของหลุยส์และเป็นเพื่อนที่เธอรักมาก ความรักที่มีเลยส่งไปยังหลุยส์โดยอัตโนมัติ การเจอหน้าหลุยส์ก็เหมือนได้เจอหน้าดารินทร์อีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น หากหลุยส์ได้มาเป็นดองกับครอบครัวเธอ มันจะยิ่งสร้างความปรีติให้กับเธอที่สุด

"โอเคจ้ะ หลานกลับเถอะ ดึกมากแล้ว ขับรถขับราป่านนี้มันอันตราย"

"ครับ" หลุยส์รับคำ ยกมือไหว้ลาผู้ใหญ่ทั้งสอง ครู่หนึ่งก็หมุนตัวเดินอ้อมไปยังที่นั่งฝั่งคนขับ พารถเคลื่อนจากบ้านของป๊อบคอร์นไป

"ฉันดีใจมากเลยค่ะ ที่เจอหลุยส์อีก" คล้อยหลังจากที่หลุยส์ออกไปแล้วหญิงสูงวัยก็เอ่ยกับสามีของตนเอง "หน้าเขาละม้ายดารินทร์ไม่มีผิดเพี้ยน ยิ่งเห็นก็ทำให้ฉันยิ่งคิดถึงดารินทร์"

ชายสูงวัยโอบไหล่ภรรยาตนเอง "หลุยส์ก็ทำให้ผมนึกถึงฌายิน แม้ว่ามันจะทำเรื่องน่าอดสู แต่มันก็เป็นเพื่อนผม ยังไงผมก็ยังคิดถึงมันอยู่เสมอ"

ทั้งคู่หันมายิ้มให้กัน "เข้าบ้านกันเถอะ" ผู้เป็นสามีเอ่ยบอกภรรยาตัวเอง

หลุยส์ขับรถไปใจก็คิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งที่เกิดขึ้นในอดีตและปัจจุบัน ผู้ใหญ่ทั้งสองเป็นคนดีมากจนทำให้เขารู้สึกละอายกับความเอ็นดูที่ท่านมอบให้มา แม้ว่าเขาจะเจอท่านทั้งสองเพียงสองสามครั้งเพราะติดสอยห้อยตามพ่อแม่ไปด้วยในวัยเด็กจนได้เจอท่าน แต่เขากลับจดจำใบหน้าของผู้ใหญ่ทั้งสองได้ดี

ที่เขาจำได้ เพราะเขาจำป๊อบคอร์นได้ เลยทำให้ต้องจำพ่อแม่ของเธอด้วย

แต่หลังจากวัยประถมเขากลับไม่เจอผู้ใหญ่ทั้งสองคนนี้อีกเลย ซึ่งตอนนี้เขารู้แล้วว่าเพราะความคดโกงของพ่อเป็นต้นเหตุให้สองครอบครัวต้องห่างเหินกัน วินาทีแรกที่คุณชรัณและคุณธารทิพย์เดินลงจากรถมาทักทายเขา เขาภาวนาให้ท่านจำเขาไม่ได้ เพราะเขาละอายเกินไปที่จะรู้จักท่าน แต่เปล่าเลยใบหน้าของเขาคงฟ้องถึงเอกลักษณ์ของพ่อแม่ที่ถ่ายทอดมาให้เขาจนทำให้ท่านทั้งสองนึกได้แบบทันทีทันใด

มันคงเป็นความโชคร้ายในความโชคดี ที่เขาต้องก้าวออกมาจากโลกมืด ๆ เพื่อพบเจอกับคนที่เคยคุ้นเคยอีกครั้ง นึกอีกทีเขาควรจะห้ามใจตัวเองไม่ให้มายืนดูหลังคาบ้านป๊อบคอร์นเสียตั้งแต่แรก อุตส่าห์เก็บตัวให้ห่างจากสังคมของพ่อแม่มานานเท่าไหร่ วันนี้เขากลับทำมันพังเองแบบไม่สมควรเลย

อีธานยืนกอดอกมองดาวเงียบ ๆ อยู่ริมระเบียงห้องของเชอแตม ปล่อยให้เจ้าของห้องง่วนอยู่กับตารางเรียนในวันพรุ่งนี้ ครู่ต่อมาเจ้าหล่อนก็ออกมายืนเคียงข้างเขา นิ้วมือทั้งสองข้างสอดประสานพร้อมใจกันบิดขี้เกียจไปมา ก่อนจะวางลงบนราวระเบียง อีธานตวัดสายตามามองเจ้าหล่อนแวบหนึ่งก่อนยิ้มมุมปากนิด ๆ แล้วตวัดกลับไปมองดาวต่อ

"ไม่ง่วงหรือ" แวมไพร์หนุ่มเอ่ยถามหญิงสาวเมื่อสังเกตว่าเวลาเกือบจะเลยเที่ยงคืนไปแล้ว

เชอแตมหันมายิ้มให้กับเสี้ยวหน้าของเขาก่อนเอามือเท้าคางแล้วมองเขาที่กำลังมองดาวอยู่อย่างนั้น

"ปกติฉันเป็นคนนอนดึก"

"ตอบไม่ตรงคำถาม" เขาเอ็ดกลับมา แต่ก็ยังไม่หันกลับมามองเธอ

เชอแตมหัวเราะนิด ๆ "ก็เพราะปกติฉันเป็นคนนอนดึกไง ฉันก็เลยไม่ง่วง"

"พรุ่งนี้จะตื่นไหวหรือ" เขาถามอีก

"พรุ่งนี้มีเรียนสาย ๆ ค่ะ ไม่เช้ามาก นอนดึกได้"

อีธานเงียบไป ทำให้เชอแตมเงียบตาม เจ้าหล่อนกำลังมองเสี้ยวใบหน้าด้านข้างของอีธานที่กำลังตั้งใจมองท้องฟ้า เธอนึกในใจเงียบ ๆ อยากจะรู้จังว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

"อีธาน..." เชอแตมเรียกเบา อีธานหันหน้าช้า ๆ มามองเธอ ดวงตาสีฟ้าครามที่มองมาแสนจะอบอุ่น จนหญิงสาวเผลอยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัว "คิดอะไรอยู่คะ" เธอถามออกไปด้วยรอยยิ้มบาง

อีธานมองเธอเพียงนิดก่อนจะหันกลับไปอย่างเดิม

"คิดเรื่องอนาคต" คำตอบของอีธานทำให้เชอแตมชะงัก อนาคตของอีธานมีเธออยู่ด้วยไหมนะ

"อนาคต?" หญิงสาวทวนคำ "คิดว่าไงคะ"

อีธานตวัดสายตาลงมามองใบหน้าหญิงสาวแสนรักอีกครั้งด้วยแววตาขุ่น ๆ แสนจะจริงจัง

"ผมเป็นแวมไพร์ คุณเป็นมนุษย์ คุณเคยตระหนักเรื่องนี้มั้ย" อีธานเอ่ยถามเรียบ ๆ แต่มันกลับสร้างความผิดปกติในใจให้กับเชอแตม เขากำลังหมายถึงอะไร

"ใช่ค่ะ ฉันเป็นมนุษย์ คุณเป็นแวมไพร์ แล้วยังไงคะ"

"คุณรักผม" เขาตอบสั้น

เชอแตมขมวดคิ้ว "แล้วยังไงคะ คุณจะพูดอะไรอีธาน"

อีธานมองใบหน้าที่กำลังแต้มด้วยรอยขุ่น ๆ เนิ่นนาน เขาอยากจดจำดวงหน้าดวงนี้ ดวงตาดวงนี้เอาไว้ จดจำเพื่อวันหนึ่งที่ทั้งเขาและเธอต้องจากกัน เขาจะได้เก็บความทรงจำนี้ไว้นึกถึงเพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจให้เดินหน้าต่อไปได้

"การพบกันของแวมไพร์กับมนุษย์ เป็นความสัมพันธ์เพียงชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องจากกัน"

เชอแตมคิดไว้แล้วว่าเขาต้องพูดแบบนี้ มันทำให้จิตใจเธอหดหู่ลงทันใด และอีธานก็เห็น

"คุณพูดแบบนี้เพื่อบอกให้ฉันทำใจล่วงหน้าใช่มั้ยคะ"

"มันควรเป็นแบบนั้นไม่ใช่หรือ"

"ถ้าฉันไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น"

"คุณไม่ใช่ผู้กำหนด คุณไม่มีสิทธิ์ยอมหรือไม่ยอม"

"แล้วอะไรล่ะคะ ที่จะทำให้แวมไพร์กับมนุษย์อยู่ด้วยกันตลอดไปได้" เชอแตมดื้อดึงเกินกว่าที่อีธานจะเกลี้ยกล่อม

"ความเหมือน ความเป็นเอกภาพทำให้เกิดสังคมขึ้นมา คุณเป็นมนุษย์ คุณถึงต้องอาศัยอยู่กับมนุษย์"

"งั้นฉันคงต้องเป็นแวมไพร์สินะคะ ฉันถึงจะอยู่กับแวมไพร์ได้ตลอดไป"

อีธานกระตุกมุมปากขึ้นมานิด ๆ เขาคิดไว้แล้วว่าเจ้าหล่อนจะตอบกลับมาแบบนี้

"คุณอยากอยู่กับผมตลอดไปงั้นหรือ"

เชอแตมขบฟันนิด ๆ แววตาขุ่น ๆ คล้ายไม่พอใจ ถ้าอีธานกลายเป็นเพียงวิญญาณเธอก็ยอมกลายเป็นวิญญาณตามเขาไปเช่นกัน เป็นแวมไพร์แค่นี้มีหรือเธอจะไม่กล้า เพียงแค่มันเป็นไปได้หรือเปล่าล่ะ

"ฉันไม่อยากจากคุณไป" เสียงตอบเบาหวิวจนอีธานแทบไม่ได้ยิน

"บางทีเมื่อถึงเวลานั้นจริง ๆ คุณอาจจะไม่เสียใจเลยก็ได้ที่เราต้องจากกัน" อีธานตอบกลับมาเสียงอ่อนโยน หากแต่ทำลายความรู้สึกเชอแตมมหาศาล

"ไม่!" เชอแตมมั่นใจ ว่าเธอจะรู้สึกแย่มากแค่ไหนหากต้องจากเขาไป แค่เพียงจินตนาการมันก็ทำให้หัวใจเธอกระตุกเต้นเจ็บปวดอย่างน่ากลัว ถ้าต้องจากกันจริง ๆ เธอไม่รู้ว่าหัวใจเธอยังจะเต้นต่อไปได้อีกไหม

อีธานมองเห็นความรู้สึกนั้นของเธอ และเขาก็รู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กัน

"ถ้าเราต่างกันแล้วอยู่ด้วยกันตลอดไปไม่ได้ ฉันยอมเป็นแบบคุณนะคะอีธาน ฉันยอมเป็นอะไรก็ได้ที่จะได้อยู่กับคุณ" คำพูดที่น่าไม่อายถูกพ่นออกมาจากปากของหญิงสาว แทนที่แวมไพร์หนุ่มจะหัวเราะเยาะในความน่าไม่อายของเธอ เขากลับไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมา มีเพียงแววตาที่อ่านยากเท่านั้นส่งมาแทน

อีธานส่ายศีรษะเบา ๆ ให้กับเธอ "ไม่มีอะไรเปลี่ยนเราสองคนได้ คุณเป็นมนุษย์ ผมเป็นแวมไพร์ ผมเปลี่ยนเป็นมนุษย์ไม่ได้ และก็คุณก็เปลี่ยนเป็นแวมไพร์ไม่ได้เช่นกัน"

เชอแตมหรี่ตาเชิงประหลาดใจ "ทำไมคะ ทำไมฉันถึงเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ไม่ได้"

"มันผิดกฎหมายของอาณาจักรเรา ถ้าผมเปลี่ยนคุณเป็นแวมไพร์ ผมก็ต้องถูกจองจำ นั่นเท่ากับเราจากกันแบบถาวร"

เชอแตมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากเย็น ความหดหู่แทรกซึมผ่านผิวหนังทะลุทะลวงสู่ก้นบึ้งของหัวใจ อนาคตที่อีธานกำลังคิด คือเธอกับเขาต้องจากกันงั้นหรือ

"ถ้าคุณจะอยู่ที่นี่ บนโลกมนุษย์ อยู่แบบนี้ --- กับฉันตลอดไปไม่ได้เหรอคะ"

แม้จะเป็นคำถามที่ดูจะเห็นแก่ตัว เพราะอีธานจะต้องใช้ชีวิตแค่กลางคืนมาหาเธอเท่านั้น แต่มันก็คงเป็นวิธีเดียวที่ทำให้เขาและเธออยู่ด้วยกันตลอดไปได้

อีธานเดินเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น ก่อนเอ่ยว่า

"ความจริงแล้วผมมีอาณาจักรของผม มีบ้านของผม ผมไม่ควรมาเดินเตร็ดเตร่บนโลกมนุษย์ด้วยซ้ำไป ถ้าผมไม่มีหน้าที่"

คำตอบนั้นยิ่งทำให้เชอแตมรู้สึกหดหู่ หนทางในอนาคตดูมันช่างมืดมนเสียเหลือเกิน มืดจนเธอแทบไม่อยากให้มันมีอนาคต อยากให้มันมีเพียงวันนี้ ตอนนี้

อีธานยื่นมือเก็บผมข้าง ๆ ของเชอแตมไปเกี่ยวทัดหูเจ้าหล่อน ก่อนตวัดกลับมาเชยคางมนนั้นอ่อนโยน "ถ้าเรื่องอนาคตมันทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวด เรามาคิดแค่ปัจจุบันกันพอ เรื่องอนาคต ให้มันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น --- ผมแค่อยากให้คุณ ทำใจไว้บ้าง --- คุณ---จะได้ไม่เจ็บปวด"

คำพูดปลอบโยนนั้นคล้ายจะปลอบโยนจิตใจตัวเองด้วยเช่นกัน เพราะเขาก็แน่ใจว่าเขาอาจจะอยู่ไม่ได้หากขาดเธอ แต่...เพราะมันไม่มีทางไหนที่เป็นไปได้เลย เขาถึงต้องคิดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกมาเนิ่นนานโดยที่เชอแตมไม่รู้

เขาพยายามแล้วที่จะหาวิธีให้เขาและเธอไม่จากกันในอนาคต

บางครั้งแวมไพร์อย่างเขา ก็นึกหวัง...ปาฏิหาริย์

เชอแตมโผเข้ากอดอีธานเต็มรัก เธอกอดเขาไว้ทั้งตัวแนบแน่นจนไม่อยากปล่อยไปไหน เธอกลัวว่าหากพ้นจากเงื้อมมือเธอไป เขาก็จะจากไปตลอดกาล และครั้งนี้อีธานก็กอดตอบเบา ๆ มือหนึ่งรวบเอวเจ้าหล่อนไว้ ส่วนอีกมือก็ปลอบประโลมตรงเรือนผมบนศีรษะ

"อย่าพูดเรื่องนี้อีกนะคะ เราอาจจะไม่ต้องจากกันก็ได้...ฉันไม่ยอมให้เราต้องจากกันหรอก"

อีธานยิ้มน้อย ๆ กับตัวเอง แต่กว่าจะถึงวันที่เขาและเธอต้องจากกันจริง ๆ เขาและเธอต้องผ่านสถานการณ์เลวร้ายจากเฮนรี่และออสการ์ไปให้ได้ก่อน และกว่าจะถึงตอนนั้น ไม่รู้มันจะอีกยาวนานแค่ไหน

อย่างน้อยเฮนรี่กับออสการ์ก็มีคุณกับอีธานตรงที่ทำให้เขาได้อยู่ใกล้เธอแบบนี้ไปอีกสักระยะ

เสียงเคาะประตูห้องของหลุยส์ดังขึ้นเป็นจังหวะสามครั้งติดกันในเวลาเกือบหกโมงเช้า ชายหนุ่มตื่นมาแล้วกึ่งหนึ่งแต่ก็ยังงัวเงียอยู่ ไม่มีใครหรอกที่จะมาเคาะประตูห้องเขาเวลานี้นอกจากอีธาน

ชายหนุ่มในชุดเสื้อกีฬาโลโก้ทีมลิเวอร์พูลกับกางเกงกีฬาขาสั้นสีดำลุกขึ้นจากเตียงด้วยสีหน้ายังง่วงไปเปิดประตู อีธานยืนหลังตรงมือซุกอยู่ในเสื้อกันหนาวสีดำตัวโปรด ความสูงของเขาเกือบร้อยแปดสิบเซนติเมตรพอ ๆ กับหลุยส์ ทำให้ทั้งคู่สบตากันได้โดยง่าย ความคิดแรกของหลุยส์ที่อีธานเห็นคือ อรุณสวัสดิ์ครับคุณเทพบุตรอีธาน มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ

แม้จะยังงัวเงีย ชายหนุ่มยังมีกะจิตกะใจจะหยอกล้อแวมไพร์หนุ่มได้ อีธานเดินเข้ามาในห้องโดยไม่รอให้หลุยส์อนุญาติ เขาทิ้งตัวลงไปนั่งนิ่งศีรษะเอนไปกับพนักพิงของโซฟา หลุยส์ปิดประตูเริ่มตาสว่างขึ้นมานิด ก่อนจะเดินไปยังครัวของห้องจัดการชงกาแฟหนึ่งแก้วให้ตัวเอง แล้วเดินมานั่งตรงข้ามกับอีธาน

"อยากลองชิมกาแฟฝีมือฉันมั้ย" หลุยส์ถามกวนยกแก้วกาแฟขึ้นจิบเบา ๆ รู้อยู่แล้วว่าแวมไพร์ไม่จำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มหรืออาหารอย่างมนุษย์เข้าไปให้รกร่างกาย

อีธานยังเอนศีรษะพิงโซฟาตาปิดสนิทราวกับคนเหนื่อยล้ากลับมาจากทำงาน

"นายอยากลองชิมตีนฉันหน่อยมั้ยล่ะหลุยส์" อีธานตอบกลับมาเบา ๆ แม้จะยังหลับตาอยู่

"ไม่ล่ะ เก็บไว้ให้ออสการ์กินแทนเถอะ"

อีธานลืมตาขึ้นมาก่อนจะยกศีรษะให้ตั้งตรง

"นายรีบกลับมาทำไม ไม่กลัวออสการ์มันเข้าไปหาเชอแตมเหรอ นายก็รู้ ช่วงนี้มันอาจจะใช้วิธีนั้นเพื่อออกไปไหนเวลากลางวันแล้วก็ได้"

"ยังหรอก" อีธานตอบเสียงเบาแต่ทุ้มนุ่มกังวานเข้ม "มันเร็วเกินไปที่จะใช้วิธีนั้น เฮนรี่มันไม่เสี่ยงให้ตัวเองกับลูกชายมันเป็นอะไรไปก่อนจะได้ตัวแม่นั่นหรอก วิธีนั้นมันคือการเดิมพันด้วยชีวิต มันเสี่ยงเกินกว่าจะใช้เวลาแค่วันสองวัน"

"แล้วนายล่ะ ไม่ลองดูบ้างเหรอ" หลุยส์ถามเอนตัวพิงพนักโซฟา

"ถ้าฉันลองแล้วร่างสลายกลายเป็นผุยผง ฝากนายบอกอาเคให้หาแวมไพร์มาดูแลเชอแตมแทนด้วยละกัน"

หลุยส์หัวเราะชอบใจนิด ๆ ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้งแม่นั่นของอีธานคงแดดิ้นกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นแน่จู่ ๆ เขาก็เห็นแวมไพร์หนุ่มขยับยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างน่าหมั่นไส้ แววตาแบบนั้นของอีธานทำให้หลุยส์ต้องมองตาเขากลับไปแล้วเผยข้อความขุ่น ๆ ให้เขาอ่านว่า

"อย่ามาอ่านใจฉันพร่ำเพรื่อ"

อีธานหัวเราะหึ ๆ เอนตัวพิงพนักโซฟา แขนทั้งสองกางออกวางไว้บนขอบพนักโซฟา ขาข้างหนึ่งยกขึ้นมาไขว่ห้างกระดิกเท้าเล่นเชิงชอบใจ

"เส้นใหญ่ดีนี่" อีธานเอ่ย

"ฉันกินแต่เกาเหลา" หลุยส์ตอบกวน แม้จะรู้ว่าอีธานหมายถึงเรื่องพ่อแม่ของป๊อบคอร์นที่รู้จักกับเขาและเอ็นดูเขาดั่งลูก

"แบบนี้ อนาคตของนายกับเด็กหญิงคนนั้นในวัยเด็ก ก็มีเค้าร่างให้เห็นลาง ๆ ละนะ"

"นายก็รู้ มันเป็นไปไม่ได้" หลุยส์ตอบจริงจัง สีหน้าไม่เล่นด้วย

อีธานมองหลุยส์ก่อนจะตวัดขาวางขนานกันโน้มตัวลงมาวางข้อศอกไว้บนหน้าขา กุมมือประสานกันให้คางได้วางตั้งเบา ๆ

"มันเป็นไปได้ นายก็รู้ --- แค่นายโยนความแค้นทิ้งไปซะ"

หลุยส์วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะเตี้ย ๆ ตรงหน้า ก่อนจะยกแขนขึ้นมาประสานกันแนบอก ดวงตาสีน้ำตาลเปล่งประกายแรงกล้า

"นายอ่านใจฉันได้นี่ อีธาน"

เขาตอบสั้น ใช่ อีธานรู้ดีว่าใจของหลุยส์คิดอะไร ความแค้นที่มีต่อเฮนรี่มันเกินกว่าที่ชายหนุ่มจะตัดใจทิ้งกิเลสในใจตนเปลี่ยนให้เป็นเรื่องอย่างกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนได้ หากคนที่ตายคือพ่อเขาเพียงคนเดียว เขาอาจจะแค้นได้ไม่นานขนาดนี้ วันนี้เขาอาจจะให้อภัยแวมไพร์เลือดเย็นตนนั้นไปได้นานแล้ว หากแม่เขาไม่ตายเขาอาจจะเก็บช่อดอกไม้ของป๊อบคอร์นเอาไว้แล้ว

"ระหว่างความรักกับสงคราม --- นายเลือกสงครามงั้นหรือ" อีธานถามเบา น้ำเสียงไหลเย็นราวกับกระแสธาร

"ฉันเลือกแม่ต่างหาก" หลุยส์ยังยึดมั่นถือมั่นกับความเคียดแค้น สิ่งนี้ทำให้เขาพยายามหาเหตุผลมาลบล้างกับความรักที่เขาได้ตัดสินใจทิ้งไป

"แม่นายคงไม่ต้องการแบบนี้หรอกมั้งหลุยส์"

หลุยส์เบือนหน้าไปทางอื่น ถอนใจเชิงรำคาญ

"เราคุยเรื่องนี้กันหลายครั้งแล้วนะอีธาน นายก็รู้ว่าฉันไม่เปลี่ยนใจแน่นอน --- ว่าแต่นายเถอะ นายทำได้งั้นหรือกับเรื่องที่นายก็เจอไม่ต่างจากฉัน"

อีธานเงียบไปเพื่อครุ่นคิด เขาเคยอาฆาตแค้นเฮนรี่แต่ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นมันหายไปไหนแล้ว แต่ที่รู้ ๆ มันหายไปตั้งแต่ตอนที่เขาได้รู้จักและสนิทกับเชอแตม

"ความรักช่วยเยียวยาทุกอย่างนะหลุยส์"

"แต่ไม่ใช่สำหรับฉัน" หลุยส์สวนกลับทันควัน อีธานอ่อนใจกับจิตใจมั่นคงเด็ดเดี่ยวในทางที่ไม่ควรเลือกของหลุยส์

"เชอแตมบอกว่า --- เธอดูออกว่าป๊อบคอร์นยังรักนายอยู่ นายไม่เสียดายที่จะสานสัมพันธ์กับเด็กหญิงในวัยเด็กของนายเหรอหลุยส์"

"เชอแตมอาจจะมองผิดก็ได้ แม่ตัวแสบนั่นน่ะเหรอยังรักฉันอยู่ เธอตัดใจจากฉันไปนานแล้ว"

"แล้วนายล่ะ ยังรักเธออยู่ไหม --- นายก็รู้นะว่าฉันอ่านใจนายได้"

หลุยส์เงียบ หากเป็นคนอื่นเขาคงโกหกได้แนบเนียน แต่เพราะเป็นอีธานต่อให้พูดโกหกต่อเขาหรือต่อตัวเองสักกี่พันครั้ง ใจเขาก็ฟ้องความจริงต่ออีธานอยู่ดี จึงไร้ประโยชน์ที่จะเอ่ยปฏิเสธ สู้เงียบเสียดีกว่า

"ฉันเลือกแล้ว อีธาน"

ความเงียบปกคลุมทั้งคู่อีกครั้ง ก่อนอีธานจะเอนตัวไปพิงพนักโซฟาดังตึกเบา ๆ

"นายยังมีโอกาสเลือกได้เป็นร้อยเป็นพันครั้ง ก่อนสงครามจะเกิดขึ้น..."

อีธานเอ่ยเสียงเรียบ กระแสนั้นซ่อนความอิจฉาเล็ก ๆ เอาไว้ วินาทีนี้เขาอยากเป็นหลุยส์มากที่สุด มนุษย์หนุ่มมีโอกาสได้เลือก ในขณะที่เขาไม่มีแม้แต่ตัวเลือก

"นายมีโอกาสเปลี่ยนใจกลับไปกลับมาได้เป็นหมื่นครั้ง ในขณะที่ฉัน...ไร้แม้แต่ตัวเลือก"

หลุยส์สบตาเพื่อนรักต่างพันธุ์ด้วยแววตาอ่อนลง อีธานอ่านความรู้สึกสงสารได้จากแววตาเขา

"ความรัก...ใคร ๆ ก็อยากไขว่คว้า หากมันลอยมาตกในกำมือเราแล้ว ไม่มีใครหรอกอยากปล่อยมันไป ในขณะที่มันหนักแน่นที่จะอยู่กับนาย แต่นายกำลังจะปล่อยมันไป...แต่ฉันได้แต่กำเอาไว้แน่น ๆ ขณะที่มันรั้นแต่จะจากไปให้ได้..."

หลุยส์ถอนหายใจไม่โต้อะไรกลับไปสักคำ

"ความรักของนายมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่าของฉัน...มั้ยวะหลุยส์"

สองหนุ่มต่างเผ่าต่างพันธุ์มองตากันนิ่งนานและมั่นคง อีธานเห็นความสับสนภายในใจของมนุษย์หนุ่มเพื่อนรัก ความแค้นยังคุกรุ่นไม่จางหาย แม้ใจจริงต้องการความรักแต่อีกใจไม่อาจสละได้ซึ่งกิเลส เขายังตัดสินใจอะไรไม่ได้ในตอนนี้

อีธานยกมุมปากขยับยิ้มนิด ๆ ก่อนเอ่ยสิ่งที่รู้จากการอ่านใจหลุยส์อีกเรื่อง

"ไปกินข้าวบ้านป๊อบคอร์นเย็นนี้ นายอาจจะเปลี่ยนใจได้ก็ได้..." หลุยส์ถลึงตาดุใส่แวมไพร์หนุ่ม อีธานได้แต่ส่งยิ้มกวน ๆ มาให้ "เส้นใหญ่นี่...นายน่ะ"

แวมไพร์หนุ่มทิ้งระเบิดย่อม ๆ ไว้ให้หลุยส์ได้นั่งคิดหนักเพียงลำพังก่อนเขาจะเดินออกจากห้องชายหนุ่มกลับห้องตัวเองไป เมื่อแสงสว่างเริ่มจ้าขึ้นมากแล้ว ซึ่งหลุยส์เป็นมนุษย์ที่จำเป็นต้องเปิดม่านกันแสงและหน้าต่างออกเพื่อรับอากาศภายนอกเข้ามาไหลเวียนเลือดในระบบร่างกาย ต่างจากเขาที่ต้องกลับไปขลุกกับห้องมืด ๆ ไร้ซึ่งแสงสว่างสักนิดส่องเข้ามา

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel