บทที่ 26 ความลับของหลุยส์ 1
เป็นอีกครั้งที่เชอแตมต้องลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางลำแสงอ่อน ๆ จากดวงอาทิตย์สาดส่องครอบครองครึ่งซีกโลกไว้เป็นวงกว้าง รอบตัวเธอมีแต่แสงสว่างเป็นสัญญาณบอกว่าช่วงเวลาที่ไร้แวมไพร์มาเยือนเธอแล้ว
หญิงสาวนัยน์ตาสีดำสนิทหรี่ตานิด ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตากว้างรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพร้อมสติเต็มเปี่ยม มีคนเคยกล่าวไว้ซึ่งเธอไม่รู้ที่มาหรอกว่าเป็นใครกล่าว ว่าคนที่เรานึกถึงเป็นคนแรกในช่วงเวลาที่เราลืมตาตื่น คน ๆ นั้นคือคนที่เราหลงรักและรักมาก สำหรับเชอแตม คน ๆ นั้นก็คือ อีธาน
ทุกเช้าที่ลืมตาตื่น ใบหน้าของเขา ชื่อของเขา จะเป็นสิ่งแรกที่ชัดเจนในความนึกคิดก่อนสิ่งอื่นใด มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เธอเริ่มเข้าสู่อายุสิบห้าปีแม้จะยังไม่รู้จักชื่อเขา ช่วงนั้นเป็นช่วงแรก ๆ ที่เธอเจออีธานเดินเล่นในยามเที่ยงคืนเช่นเดียวกับเธอ แม้จะเห็นเพียงท่าทางการเดินกับฮูดที่ตกคลุมศีรษะ แต่ภาพเขากลับติดอยู่ในความทรงจำเธอแบบไม่รู้ตัว เธอไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นเธอรักเขาหรือเปล่า เธอไม่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเธอรักเขา เพราะมันมีเส้นบาง ๆ ที่ทำให้เธอต้องปฏิเสธว่านั่นคือความรัก เส้นบาง ๆ ที่ว่าก็คือ มันไม่มีเหตุผลเลยที่เธอจะตกหลุมรักคน ๆ หนึ่งเพียงเพราะท่าทางการเดินซึ่งมีฮูดคลุมศีรษะมิดชิดมองไม่เห็นใบหน้าแบบนั้น
ใช่...ใครจะไปหลงรักใครคนหนึ่งในวินาทีแรกโดยที่ไม่เคยศึกษาดูใจ ดูนิสัยกันก่อนได้อย่างไร หากรักแรกพบเกิดจากการสบตากันมันก็พอเป็นไปได้ แต่รักแรกพบเพราะท่วงท่าเดิน... มันมีที่ไหนกัน
จนตอนนี้ เชอแตมย้อนนึกไปถึงวันนั้น เธอทบทวนความรู้สึกตัวเองที่ผ่านมา จึงได้รู้คำตอบว่า เธอรักเขามาตั้งแต่วินาทีที่เห็นแค่ท่าเดินของเขาจริง ๆ
หญิงสาวนอนมองเพดานห้องพร้อมกับคิดทบทวนถอนหายใจนิด ๆ ยังไม่รีบที่จะลุกขึ้น ทำไมคน ๆ หนึ่งถึงรัก คน ๆ หนึ่งได้โดยไม่มีเหตุผลแบบนี้
เราจะเรียกมันว่า...เป็นเพราะพรหมลิขิตได้หรือเปล่า
เพราะฉะนั้นมันคงไม่แปลกหรอก หากเชอแตมจะรักเขามากจนต้องคิดถึงเป็นคนแรกในเวลาที่ลืมตาตื่น เธอไร้บิดามารดา ไร้ญาติมิตรมาตั้งแต่จำความได้ เธอต้องอยู่ร่วมกับเพื่อน ๆ ที่เป็นเด็กไร้ญาติมิตรเช่นเดียวกันในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จนกระทั่งอายุสิบห้าปี ถึงได้รู้ว่ามีลุงเพียงคนเดียวที่ชื่อว่าคอนเนอร์ส่งเสียเลี้ยงดูเธอด้วยเงินตรามาตลอด
ลุงคอนเนอร์ส่งให้เธอเรียนจนถึงตอนนี้ แม้จะเจอเพียงปีละครั้ง หรือบางปีอาจจะไม่ได้เจอเลย แต่เธอก็รู้สึกได้ว่าเธอรักท่านแม้ไม่ผูกพัน เพราะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่รับรู้ได้ว่ามันคือรักและห่วงใย
เพราะไม่มีพ่อแม่ให้คิดถึง ไม่มีพ่อแม่ให้ผูกพัน อีธานจึงเป็นความรู้สึกทางใจเพียงสิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงให้ก้อนเนื้อที่มีชีวิตยังเต้นอยู่ได้ทุกวันนี้
เพราะมีเขา...เธอถึงอยากตื่นขึ้นมาทุกวัน
แต่...ทำไมเธอถึงฟุ้งซ่านคิดได้ขนาดนี้ ทั้งที่เมื่อคืนโดนเขาจูบเพื่อดูดพลังจากเธอไปรักษาแผลตัวเองแบบนั้น!
เจ้าหล่อนสะดุ้งตัวขึ้นมานั่ง เม้มปากฟันขบกันด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองที่โดนรุกราน จนเสียพลังงานให้เขาไป เธอถึงได้หลับเป็นตายจนกระทั่งเช้าแบบนี้ อดรู้ในสิ่งที่อยากรู้ทั้งหมด
กว่าจะรอให้พระจันทร์มาแทนที่ดวงอาทิตย์มันตั้งอีกสิบสองชั่วโมง ด้วยช่วงเวลาแห่งความใจร้อนแบบนี้ แค่สองนาทีในการรออีธานมาหามันก็นานมากสำหรับเธอ
เชอแตมเดินเล่น ๆ จนเกือบกลายเป็นเหม่อลอยไปมหาวิทยาลัย ในขณะที่ป๊อบคอร์นก็เดินทางมาด้วยรถประจำทางก่อนจะเดินจากหน้ามหาวิทยาลัยเข้ามาแทนการขับรถส่วนตัวเหมือนทุกวัน
สองสาวต่างไม่รู้ตัวเลยว่าได้เดินเคียงกันมา เพราะต่างคนต่างก็เหม่อลอยด้วยเรื่องที่ต่างคนต่างได้พบเจอมาเมื่อวาน ป๊อบคอร์นเดินถอนหายใจนึกถึงจูบแรกที่โดนขโมยจากหลุยส์ ชายหนุ่มที่เจ้าหล่อนพยายามจะลืมแต่กลับจำได้ดีกว่าเก่า
ส่วนเชอแตมก็กำลังคิดทบทวนความรู้สึกของแวมไพร์หนุ่มที่มีต่อเธอว่ามันคือความรักหรืออะไรกันแน่ เขาจูบเธอเพราะต้องการรักษาแผล มันแค่นั้นเองหรือ อีกทั้งเรื่องที่เขารู้จักกับหลุยส์ มันเป็นยังไงมายังไง
"เฮ้อ!" เสียงถอนหายใจดังออกมาพร้อมกันจากปากของหญิงสาวสองคนพร้อมกับฝีเท้าที่ชะงักกึก หันไปมองเจ้าของเสียงอีกฝ่ายที่ดังพร้อมตัวเอง
ทั้งเชอแตมและป๊อบคอร์นเบิกตากว้างอ้าปากพร้อมกัน
"ไอ้ป๊อบ!/อิเชอ!"
เสียงประสานที่ดังออกมาพร้อมกันแบบมิได้นัดหมาย ทั้งคู่โผเข้ากอดกันกลมอย่างกับไม่เจอกันมานานเป็นปี ทั้งที่ในความเป็นจริงมันแค่เมื่อวาน
"แก---เมื่อวานแกไปไหนมา --- ทำไมฉันตื่นมาแล้วไม่เจอแก" ป๊อบคอร์นร้องถามเสียงหลง เมื่อนึกได้ว่าตัวเองลืมเชอแตมไปเสียสนิทเมื่อโดนลบความทรงจำทุกอย่างด้วยจูบของหลุยส์
"เรื่องฉันช่างเถอะ แกต่างหาก กลับบ้านยังไง แกสลบไป แล้ว --- ใครมาช่วยแก หรือใครพาแกกลับบ้าน"
เชอแตมก็ลืมเรื่องป๊อบคอร์นไปเสียสนิทเมื่อเจอจูบดูดพลังชีวิตของอีธานเข้าไป เจอหน้าเพื่อนรักก็ระลึกได้ว่าเจ้าหล่อนติดอยู่ที่บ้านกรรณวิทย์โดยที่ไม่รู้ว่าตื่นมาตอนไหน หรือใครไปช่วยหรือเปล่า
แต่เชอแตมก็คิดไว้ลึก ๆ ว่าหลุยส์ไม่น่าจะพลาดเรื่องนี้
ป๊อบคอร์นชะงักไปกับคำถามของเชอแตม เริ่มเข้าสู่โหมดเหม่อลอยอีกครั้ง จูบนั้นทำให้เธอแทบจะลืมโลกจริง ๆ
"หลุยส์ --- มาช่วยฉัน"
น้ำเสียงตอบมาเรียบนิ่งจนคนฟังจับความรู้สึกแปลก ๆ ได้ เชอแตมถอนหายใจโล่งอกนิด ๆ เมื่อหลุยส์ทำหน้าที่ของเขาตามที่รับปากไว้
"เขาพาแกไปส่งบ้านเหรอ" เชอแตมถาม
"..." ป๊อบคอร์นมองหน้าเชอแตมนิ่งนาน จนเชอแตมต้องเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
"มีอะไรหรือเปล่า"
"แก..." ป๊อบคอร์นเรียกเชอแตมด้วยน้ำเสียงหนักใจ สีหน้ายับยุ่งเหมือนเด็กน้อยกำลังจะเล่าเรื่องที่โดนครูทำโทษในห้องเรียนให้พ่อแม่ฟัง
"ฉันโดนหลุยส์จูบ"
เชอแตมขยายเปลือกตาออกอีกสองเท่า ป๊อบคอร์นโดนหลุยส์จูบ! แล้วทั้งคู่ไปทำอีท่าไหนถึงได้จูบกันได้
"ทำไม --- ทำไมเขาถึงได้จูบแก"
ป๊อบคอร์นพ่นลมหายใจหงุดหงิด ก่อนจะเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้เพื่อนรักฟังหมดเปลือก
ถึงคราวที่ป๊อบคอร์นถามหาความจริงจากเชอแตมบ้างว่าเธอหายไปไหน หลุยส์บอกกับป๊อบคอร์นว่าจะออกไปตามเธอ แสดงว่ามันต้องเกิดเรื่องวุ่นวายประมาณว่าเชอแตมโดนลักพาตัวหรือเปล่า เชอแตมอึกอักเล่าไม่ค่อยถูก เธอจึงอาศัยประโยชน์จากการสลบไปเช่นกันเล่าเรื่องด้วยการคาดเดาว่า หลุยส์มาช่วยเธอและพาเธอมาส่งที่หอพัก ส่วนเรื่องลักพาตัวไปนั้น ใครเป็นคนทำ เชอแตมบอกไม่รู้เอาไว้ก่อน แต่ที่แน่ ๆ ป๊อบคอร์นนึกแค้นกรรณวิทย์ขึ้นมาทันที ที่กล้าวางยาสลบพวกเธอ ป๊อบคอร์นจึงคิดเองว่า กรรณวิทย์คงจะวางแผนเรื่องนี้ไว้ แล้วคิดจะข่มขืนเชอแตมอย่างที่หลุยส์พูดเอาไว้จริง ๆ
ถ้าอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้โกหกสิ...
แม้เชอแตมจะถอนหายใจรู้ดีว่ากรรณวิทย์ทำไปเพราะโดนบังคับจากออสการ์ แต่ช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่เธอต้องทำให้เขาโดนมองว่าเป็นผู้ชายหื่นกามแบบนั้น เพราะถ้าเทียบกับเรื่องแวมไพร์ที่ต้องเล่าออกไปมันคงกลายเป็นแค่เรื่องแต่งขึ้นมาหลอกป๊อบคอร์นให้เชื่อมากกว่า
เวลาหนึ่งวันผ่านไปด้วยหัวใจที่ไม่ได้มาเรียนกับเชอแตมด้วยเลย มันหยุดนิ่งรออีธานที่หอพักตั้งแต่เช้า จนกระทั่งเย็นที่เชอแตมรีบวิ่งกลับเพื่อจะได้สอบถามความจริงต่าง ๆ ที่เธอตั้งตารอจากปากเขา
และอีธานก็รู้ดีว่าหญิงสาวเจ้าของหัวใจเขาต้องการอะไร แวมไพร์หนุ่มจึงเลือกเอ้อระเหยลอยชายอยู่นอกห้องเธอ ไม่ยอมเข้ามาหาเธอสักที เชอแตมเดินไปเดินมาในห้องเหมือนหนูติดจั่น บางคราวก็เดินไปยืนนิ่งนานที่ริมระเบียงด้วยรู้ว่าเขาไม่ชอบให้เธอออกไปยืน เพื่อเขาจะได้โผล่มาเร็ว ๆ
แต่เปล่าเลย เวลาล่วงเลยไปสี่ทุ่ม อีธานก็ยังไม่เข้ามา
เชอแตมถอนหายใจหนัก หงุดหงิดใจจนไม่อยากอยู่ห้องรอเฉย ๆ แล้ว
"อีธาน!" เชอแตมเอ่ยเรียกเขาเสียงเข้มแต่ก็พยายามควบคุมความดังเอาไว้กันห้องข้าง ๆ สงสัยอยู่ที่ริมระเบียงด้วยอารมณ์โมโหที่พุ่งปรี๊ด แม้ไม่รู้ว่าเขาอยู่ส่วนไหนของบรรยากาศรอบ ๆ แต่เธอรู้ดีว่าเขาอยู่และตั้งใจไม่เข้ามาเพราะอยากแกล้งเธอมากกว่า
"ฉันรู้นะว่าคุณอยู่แถวนี้! --- ถ้าคุณไม่ออกมา ฉันจะออกไปเอง!"
จบคำพูดหญิงสาวนิ่งรอให้โอกาสเขาโผล่มา แต่...เงียบ
"อีธาน!" เจ้าหล่อนเรียกอีกครั้ง "คุณจะไม่ออกมาจริง ๆ ใช่มั้ย"
เงียบ...
"ได้!" เชอแตมสะบัดบ๊อบเดินเข้าไปในห้อง คว้าเพียงกุญแจห้องด้วยท่าทางกระแทกแดกดันเดินลิ่วไปยังประตูห้อง
ตึก!
แรงดึงกลับจากอีธานที่โผล่มาด้านหลังทำให้เจ้าหล่อนพุ่งปลิวมากระแทกอกเขาอย่างแรง
"โอ๊ย!" เจ้าหล่อนร้องเสียงหลง อารมณ์โกรธมาเต็ม ลมหายใจถูกพ่นออกมาเหมือนวัวกระทิงดุ ยิ่งเห็นเขายืนมองเธอด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ แถมยังยิ้มมุมปากกวน ๆ มาให้อีก มันแทบจะทำให้เธออยากเข้าไปข่วนใบหน้าหล่อเข้มนั้นให้เสียโฉมยิ่งนัก
แต่ติดตรงที่...เขาเป็นคนที่เธอรัก หรือพูดง่าย ๆ แบบติ๊งต่างเอาเองว่า เขาเป็นแฟนเธอ ใครกันจะอยากทำให้แฟนตัวเองเสียโฉม
แต่มันน่านักนะ!
อีธานยิ้มมุมปากเพิ่มขึ้นอีก แววรื่นเริงบันเทิงใจฉายชัดในดวงตาสีฟ้าครามนั่น
"ตั้งใจแกล้งใช่มะ!" เจ้าหล่อนเปิดฉากซีนอารมณ์ วงเล็บว่าอารมณ์โกรธของเธอเพียงคนเดียวทันที
"แกล้งอะไร" แวมไพร์หนุ่มตอบหน้าตาย
"ฉันรู้นะ ว่าคุณรู้ว่าฉันรออยู่ แต่คุณแกล้งไม่เข้ามาหาฉัน!"
อารมณ์โกรธที่แต่งแต้มบนใบหน้าเจ้าหล่อนมันกลับทำให้อีธานรู้สึกดีมากกว่ารู้สึกหงุดหงิดเสียอีก เขายังยิ้มได้แบบน่าหมั่นไส้
"ผมจะไปแกล้งคุณทำไม" เขายังตอบด้วยสีหน้านิ่ง ๆ จุดความร้อนในใจเชอแตมขึ้นอีก
"คุณก็รู้ว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน!" สีหน้าเจ้าหล่อนบูดบึ้งชัดเจน ความจริงจังฉายชัดในแววตาว่า ฉันซีเรียสนะ
อีธานเอามือกอดอก ท่าทางคล้ายถอนหายใจ
"โอเค ผมยอมละ อย่าทำหน้าแบบนั้น รู้มั้ย --- ไม่สวยเลย"
อีธานไม่ได้หมายความตามที่พูด มันเป็นการใช้จิตวิทยากับผู้หญิงที่กำลังโกรธให้อารมณ์เย็นลงมากกว่า เพราะผู้หญิงกับความสวยเป็นเรื่องที่ยอมกันได้เสียเมื่อไหร่ อย่าว่าแต่มนุษย์ แวมไพร์ผู้หญิงในอาณาจักรของเขายังรักสวยรักงามไม่แพ้กัน
"ฉันก็ไม่ได้สวยอยู่แล้วนี่" เชอแตมค่อนแคะตัวเอง แต่อารมณ์กลับลดลงจริง ๆ อย่างที่อีธานต้องการ แวมไพร์หนุ่มหัวเราะขบขันเบา ๆ จนเห็นฟันหน้าที่เรียงเป็นระเบียบขาวสวย
เจ้าหล่อนอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองสวยมากแค่ไหนในสายตาเขา แต่ก็ดีที่เธอคิดแบบนั้น เธอจะได้ไม่หลงระเริงกับความงามบนใบหน้าจนลืมที่จะเผยนิสัยน่ารักออกมา
"ครับ คนไม่รู้ตัวเองว่าสวย --- หรือเปล่า" อีธานพูดหยอกล้อ จนเจ้าหล่อนงอนตุบ ๆ
"ใช่สิ เพราะไม่สวยใช่มะ ถึงไม่รักกันเลย" หญิงสาวเอ่ยค้อนในใจ อีธานขมวดคิ้วงุนงง กับความคิดนั้นของเธอ อะไรทำให้เธอคิดแบบนั้น
เชอแตมยืนนิ่งงัน คำถามมากมายจะเอ่ยถามกลับไม่ออกมาสักคำ เธองอน เธอน้อยใจจนไม่อยากพูดกับเขาแล้ว เมื่อรอนานเข้าแวมไพร์จึงต้องเอ่ยถามเอง
"ไหน มีอะไรจะคุยกับผม" เขาเป็นแวมไพร์ที่ไม่ไวต่อความรู้สึกของหญิงสาวตรงหน้าเสียเลย เจ้าหล่อนแสดงสีหน้าขนาดนี้ แต่เขากลับถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่คิดจะโอ๋เลยสักนิด เชอแตมถอนหายใจเมินหน้าหนีไปทางอื่น
เธอควรจะปลงได้แล้วกับความเป็นเขาแบบนี้
"คุณรู้จักหลุยส์ได้ยังไง" แม้จะเคืองอยู่ แต่เธอจำต้องเปิดปากถามสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ไปก่อน
อีธานยังไม่ตอบ เขาหันหลังให้เธอแล้วเดินไปนั่งนิ่งที่เตียงนอน เชอแตมถอนหายใจก่อนจะเดินตามไปยืนประจันหน้ากับเขาสีหน้ายังงอนตุ๊บป่อง อีธานยิ้มมุมปากให้ 'แม่นี่' ของเขาที่ไม่รู้จะอยากรู้หรืออยากงอนมากกว่ากันดี
"ว่าไงคะ คุณรู้จักหลุยส์ได้ยังไง รู้จักมานานแค่ไหน เล่ามาเดี๋ยวนี้นะ"
อีธานเลิกคิ้วให้เธอเชิงกวนประสาท "ไม่เล่า" เขาตอบนิ่ง ๆ หน้าตาเบิกบานอีกครั้ง
เชอแตมแง้มริมฝีปากออกจากกันนิดหน่อยสีหน้าเปลี่ยนเป็นตะลึงงัน
"ไอ้แวมไพร์กวนเท้า!"
"อีธาน นี่คุณจะมาไม้ไหน ทำไมคุณถึงได้ --- กวนประสาทกันแบบนี้อ่ะ"
"ก็เวลาคุณหงุดหงิด มันทำให้ผม --- สนุก"
คำตอบนั้นทำเอาเชอแตมหน้าชาเลยทีเดียว
"นี่เห็นความรู้สึกฉันเป็นเรื่องล้อเล่นเหรอ" ซีนอารมณ์มาเต็มอีกแล้ว
"เปล่า" เขาตอบสั้น
"แบบนี้สินะ --- ฉันเข้าใจละ" เชอแตมพูดให้ความหมายกำกวม มันให้ความรู้สึกว่าความเข้าใจเรื่องบางอย่างของเธอมันน่าจะผิดมากกว่า
"เข้าใจอะไร" อีธานถาม
"เข้าใจทุกอย่างที่คุณทำให้ฉัน" อีธานขมวดคิ้วงุนงงพยายามอ่านใจเธอ "คุณช่วยฉันแบบไม่ได้เต็มใจจะช่วยสักเท่าไหร่"
"อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น"
"คุณก็น่าจะรู้ดี ว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น"
อีธานขมวดคิ้วเข้าหากัน "ผมไม่เข้าใจ"
"คุณดูดเอาพลังชีวิตของฉันเพื่อใช้รักษาบาดแผลของคุณ คุณไม่แคร์ฉันสักนิด ว่าฉันจะเป็นตายร้ายดียังไง จะอ่อนแอ จะหมดแรงแบบไหน คุณก็แค่คิดว่าให้แผลคุณหายให้คุ้มกับที่คุณสละชีวิตเพื่อช่วยฉัน"
อีธานเพิ่งเข้าใจ เขาทำท่าทางคล้ายถอนหายใจ
เชอแตมนึกถึงคำพูดของเขาในรถหลุยส์ "ใครทำให้ฉันเป็นแบบนี้ คนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ" เจ้าหล่อนคิดว่าตัวเองเพิ่งเข้าใจความหมายของมันก็ตอนนี้ และอีธานก็มองเห็นความคิดนั้น
"ผมจะบอกอะไรให้นะ พลังชีวิตของมนุษย์คนอื่นก็มีถมเถไปให้ผมดูดเอามาใช้รักษาแผล ผมไม่จำเป็นต้องเอาจากคุณหรอก"
อีธานกำลังจะบอกเป็นนัยให้เธอเข้าใจว่า ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่การดูดพลังจากเธอ แต่มันอยู่ที่เขาได้จุมพิตเธอต่างหาก
"แสดงว่าจะไปจูบปากดูดเอาพลังชีวิตจากใครก็ได้งั้นสิ" เชอแตมเริ่มมีอารมณ์ร้ายขึ้นมาอีก อีธานเริ่มรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นลมเพชรหึง
"เป็นผู้หญิงที่เข้าใจอะไรยากไปมั้ย เชอแตม" ต้องยอมรับว่านานที เพิ่ม น หนูล้านตัว กว่าเขาจะได้เอ่ยชื่อเธอออกมาสักครั้ง และแม้จะโกรธเขาอยู่แต่เธอกลับรู้สึกอบอุ่นใจ พอใจอย่างบอกไม่ถูกที่เขาเรียกชื่อเธอ
ไม่มีใครที่เรียกชื่อเธอได้น่าฟัง ไพเราะจับจิตจับใจได้เท่าเขาอีกแล้ว
"คุณต่างหาก เป็นแวมไพร์ที่เข้าใจยากที่สุด --- ฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วนะ ว่าที่คุณดูแลฉัน ช่วยเหลือฉันทุกวันนี้ มันคือความจริงใจ เต็มใจที่จะช่วยจริง ๆ หรือเปล่า"
อีธานเงยหน้ามองหญิงสาวที่ยืนค้ำหัวเขานิ่งงัน เขาก็ผิดเองที่ทำให้เจ้าหล่อนเข้าใจผิดแบบนั้น แต่ลึก ๆ แล้วมันก็ทำให้เขาน้อยใจกับสิ่งที่เธอพูดออกมา
"สักวัน คุณจะรู้ --- ว่าผมช่วยคุณด้วยใจ จริงหรือเปล่า"
คำพูดของเขาอีธานที่ถูกเปล่งออกมาผสานกับสีหน้าที่คมดุไม่เจืออาการล้อเล่นแต่อย่างใด ทำให้เชอแตมชะงักมองสบตาด้วยความรู้สึกผิดเล็ก ๆ
แล้วคำว่า 'สักวัน' ที่เขาพูด มันเมื่อไหร่กันหรือ?
"ฉันก็แค่ --- รู้สึกเหมือน --- โดนหลอกจูบ เพื่อเอาพลังชีวิต" เชอแตมพูดเสียงอ่อย ๆ
อีธานมองสบเธอด้วยใบหน้าเรียบเฉย
"กับผมต้องไปจูบมนุษย์ผู้หญิงคนอื่น แบบไหนดีกว่ากัน" อีธานถามเชิงตีรวน
เชอแตมทำหน้าสลด ๆ เจืองอน ๆ
"ก็น่าจะบอกกันก่อน ว่าจะดูดพลังชีวิต"
"ผมตั้งใจไม่บอก" อีธานตอบจริงจัง เชอแตมขมวดคิ้วงุนงง เตรียมเคืองไว้แล้ว
"ทำไม --- เห็นมั้ย คุณตั้งใจแกล้งฉัน"
"ผมไม่ได้แกล้ง นั่นคือสิ่งที่คุณควรได้รับต่างหาก"
เชอแตมขมวดคิ้วมุ่น "ยังไง ฉันไม่เข้าใจ"
"ยังไม่รู้ตัวใช่มั้ย ว่าทำตัวประมาทจนต้องโดนออสการ์จับตัวไป"
เชอแตมเลิกคิ้ว ความผิดเธองั้นหรือที่โดนจับตัวไป
"ฉันจะไปรู้มั้ยอีธาน ว่าฉันจะโดนออสการ์จับตัวไป"
"เพราะคุณไว้ใจไอ้หมอนั่นไงล่ะ เป็นไง โดนมันหลอกวางยาจนโดนจับได้ ถ้าคุณไม่เอ้อระเหย มัวแต่นั่งมองตากับมันอยู่ที่นั่นนานเกินไป ป่านนี้คุณก็คงรอดพ้นจากเหตุการณ์ในที่กบดานใต้ดินของเฮนรี่ แล้วไม่ต้องมายืนทำหน้าน้อยใจผมขนาดนี้หรอก"
เขารู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้านกรรณวิทย์รวมทั้งเรื่องที่เชอแตมไปรับกรรณวิทย์ที่โรงพยาบาลจากการบอกเล่าของหลุยส์ เชอแตมถอนหายใจพรืด ยกมือขึ้นกอดอก เธอรู้สึกว่าเหตุผลเขาก็ไม่เข้าท่าเท่าไหร่หรอกนะ ถ้าไม่คิดไปเอง มันฟังคล้าย ๆ หึงหวงมากกว่า
"แล้วคุณก็ลงโทษในความประมาทครั้งนี้ของฉันงั้นสิคะ"
อีธานเลิกคิ้ว ตอบสั้น ๆ ว่า "อืม"
เชอแตมกลอกตามองเอียง "สถานการณ์เป็นใจให้เอาเปรียบฉันมากกว่า" อีธานเห็นความคิดนั้นของเธอ น่าเสียดายที่เธอยังไม่รู้แน่ชัดว่าเขาอ่านใจเธอได้ ไม่งั้น เธออาจจะโดนเขาจับมาจูบดูดพลังอีกสักรอบก็ได้
"โอเค ฉันยอมคุณละ ฉันไม่เคยเถียงคุณชนะ ฉันยอมรับผิดค่ะ"
ความหมายแท้จริงของคำพูดนั้นคือประชดประชัน และอีธานก็รู้แต่เขาก็เลิกคิ้วให้เธอพร้อมพยักหน้าเบา ๆ รับว่า มันควรเป็นเช่นนั้น
เชอแตมถอนหายใจก่อนจะเปลี่ยนเรื่องถาม
"พลังชีวิตของฉัน มันมากพอที่จะช่วยให้เแผลของคุณหายเลยหรือคะ"
อีธานมองเธออึดใจ ก่อนจะเอ่ยตอบ
"มนุษย์ไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองมีพลังชีวิตมากมายแค่ไหน พลังชีวิตมันจะถูกซ่อนอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ กันและให้พลังไม่เท่ากัน"
"รูปแบบที่ว่า เป็นยังไงคะ"
"มันอยู่ในรูปนามธรรม อย่างพวก ความหวัง ความห่วงใย ความทะเยอทะยาน ความกล้า ความโกรธ ความแค้น และอีกมากมาย แต่ที่ให้พลังมากที่สุดคือ ความรัก"
สมองอันชาญฉลาดของเชอแตมฉุกคิดขึ้นมาได้รวดเร็วเสียจนเจ้าตัวต้องอ้าปากเหวอ ความรักเป็นพลังที่มากกว่าพลังจากความรู้สึกอื่น ๆ อีธานเลือกพลังชีวิตจากเธอเพราะเธอมีความรักให้กับเขา แต่ความรักที่เธอมีให้เขามากมายจนเป็นยารักษาแผลเขาได้ขนาดนั้นเชียวหรือ
อีธานยิ้มมุมปากที่เห็นว่าเจ้าหล่อนก็คิดได้
"คุณเคยบอกว่า คุณกินพลังชีวิตเป็นอาหาร คุณหมายถึงสิ่งเหล่านี้งั้นหรือคะ"
อีธานพยักหน้ารับเบา ๆ
"มันแทนอาหารได้ขนาดนั้นเชียวเหรอ"
"เพราะดื่มเลือดและพลังชีวิตจากสิ่งมีชีวิต จึงทำให้แวมไพร์มีพลังพิเศษเหนือมนุษย์ พวกเราจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาหารอย่างมนุษย์ แม้ว่าจะกินได้ แต่กินไปก็ใช้พลังงานได้ไม่ดีเท่าพลังชีวิต"
"มันเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์มากเลยนะคะ ที่พลังชีวิตที่เรามองไม่เห็นแบบนั้นจะมีพลังมากถึงขนาดทำให้พวกคุณมีความพิเศษขนาดนี้"
"อาหารมันก็แค่ให้พลังงานทางร่างกาย แต่จริง ๆ แล้วต่อให้ร่างกายอ่อนแอแค่ไหน ถ้าจิตใจเรายังสู้ ยังแข็งแรงและเข้มแข็ง มันก็ช่วยพยุงให้ร่างกายเราลุกขึ้นไหว คุณก็น่าจะเห็นตัวอย่างพวกนี้จากผู้ป่วยโรคร้ายแรงในโรงพยาบาลที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้แม้จะป่วยหนัก ก้อนเนื้อที่กระตุกเต้นในร่างกายของคุณน่ะ มันมีพลังงานมหาศาลมหัศจรรย์มากกว่าสิ่งอื่นใดในโลกนี้แล้ว"
เชอแตมมองหน้าแวมไพร์ที่เธอรักหมดใจ เธอชอบคำพูดนี้ของเขาที่สุด ความโกรธ ความน้อยใจเมื่อสักครู่มันแทบไม่มีเหลือ และอีธานก็ยังยืนยันว่าสิ่งที่เขาเห็นจากความคิดเธอตอนนี้คือสิ่งที่ทำให้เขา...รักเธอ
"แล้วเรื่องหลุยส์..." เชอแตมทวง อีธานเบือนหน้าไปทางอื่นทันที
"ผมต้องเล่าหรือ" เขาถาม
เชอแตมขมวดคิ้วงุนงง
"แล้วมีเหตุผลอะไรที่คุณจะไม่เล่า --- หรือว่าหลุยส์เป็นเมียเก็บคุณ คุณถึงได้ดูอยากปิดบังฉันนัก" เชอแตมค้อนวงใหญ่ให้เขา
"คิดได้นะ" เขาแขวะเธอ
"หึ มันก็น่าคิดนะ --- ฉันจำทุกคำพูดที่พวกคุณสนทนากันได้ดีนะคะ แหม ท่าทางน่ะ เหมือนแอบเป็นห่วงกันกลาย ๆ มีมองสบตา เหมือนมีเรื่องที่รู้กันแค่สองคน --- แต่มันก็น่ารักนะ ถ้าคุณสองคนเป็นคู่จิ้นกัน คุณก็หล่อเข้มระดับเทพบุตรเย็นชา เหมาะเป็นฝ่ายรุก หลุยส์ก็หล่อออกตี๋ ๆ ก็น่าจะเหมาะกับเป็นฝ่ายรับ..."
เชอแตมยังพูดไม่ทันจบ อีธานก็แทรกขึ้นมา
"มากไปแล้ว เชอแตม" เขาเอ็ดเธอ เป็นอีกครั้งที่เธอสะดุดกับคำขานเรียกชื่อเธอจากปากเขา มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนต้องมนตร์สะกดได้จริง ๆ
เชอแตมทำปากยู่ เงียบกริบเมื่อโดนแวมไพร์หนุ่มมองดุ
"อยากรู้ก็ไปถามหมอนั่นเอง"
เชอแตมย่นคิ้วสงสัย "หมอนั่นที่คุณหมายถึงนี่ หลุยส์หรือพี่กรุ๊ป"
"ผมจะหมายถึงพี่กรุ๊ปของคุณทำไม"
"เอ๊า! ก็ฉันไม่เคยได้ยินคุณเรียกใครว่าหมอนั่น นอกจากพี่กรุ๊ปนี่"
เขาคิดว่าเธอก็กวนประสาทไม่แพ้เขาหรอก ถือว่าหายกัน
เชอแตมเม้มปากแน่นลงมานั่งข้าง ๆ เขาที่เอามือกอดอกอยู่ เธอทำท่าทางงอนง้ออีธานเหมือนเด็กที่อยากได้ของเล่น
"เล่านะคะ ๆ ฉันอยากรู้ว่าคุณรู้จักกับเขาได้ไง"
เจ้าหล่อนเกาะแขนเขาพร้อมเขย่ากระตุ้นเบา ๆ ทำให้อีธานต้องเผลอยิ้มมุมปากด้วยความเอ็นดู
"มีเรื่องไหนบ้างที่คุณไม่อยากรู้"
"โธ่! คุณ เรื่องนี้น่ะ --- เป็นใคร ใครก็อยากรู้"
อีธานหัวเราะหึ ๆ ให้เธอ เขาแค่เย้าแหย่เธอให้อยากรู้เล่น ๆ แค่นั้นเอง ยังไงเขาก็ต้องเล่าให้เธอฟังอยู่แล้ว
"หลุยส์ --- เป็นคนที่ผม---ช่วยชีวิตเอาไว้"
