บท
ตั้งค่า

บทที่ 23 ศึกชิงนาง 1

อีธานเร่งฝีเท้าก้าวฉับเหยียบย่ำไปบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยหญ้าต้นเล็ก ๆ ปกคลุมทั่วเป็นพื้นที่กว้างเสียงดังสวบ ๆ ก่อนหน้านี้เขาทั้งวิ่งทั้งเดินเร็วทั้งหายตัวเพื่อมาให้ถึงสุสานแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ชานเมือง สุสานฝังศพของชาวคริสต์ซึ่งมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ข้างใน

แม้ภายนอกจะดูเยือกเย็นไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ หากแต่ภายในของแวมไพร์หนุ่มกลับร้อนระอุจนแทบจะแตกออกมาเป็นเสี่ยงทะลุกออกมานอกร่าง เขาก้าวยาว ๆ ไปตามทางที่มีหลุมศพมากมายเรียงรายเป็นระเบียบอยู่ทั้งสองฝั่ง แต่มีเพียงหลุมศพเดียวเท่านั้นที่เขากำลังจะไปหา และเป็นเพียงหลุมศพเดียวที่เขาอาจจะพบเชอแตม

ในที่สุดเขาก็เจอ

อีธานหยุดยืนนิ่งครู่หนึ่งตรงหน้าหลุมศพที่มีป้ายหินแกรนิตสลักชื่อบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของโลงศพที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเขา

'ฌายิน ภูมิบวรวงศ์'

อีธานไม่รีรอให้เวลาล่วงเลยไปนานกว่านี้ เขาจัดการเปิดฝาโลงศพที่แสนจะหนักอึ้งซึ่งคนธรรมดาอาจจะไม่สามารถออกแรงเปิดมันออกมาได้โดยไม่ใช้เครื่องมือช่วย แต่เพราะบุคคลนั้นคืออีธาน แวมไพร์หนุ่มเลือดแท้แห่งตระกูลโอดิน ฝาโลงแค่นี้ไม่สาแก่พลังของเขา

ฝาโลงค่อย ๆ แง้มออกมาและเปิดกว้างขึ้นเผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้โลงนั้น ไร้ซึ่งโครงกระดูกมนุษย์ แต่มันกลับเป็นช่องว่างมีบันไดนำไปสู่ใต้ผิวดิน อีธานไม่รอช้า เขากระโดดลงไปเหยียบบันไดขั้นแรกแล้วก้าวกระฉับกระเฉงลงบันไดขั้นต่อไปซึ่งสิ้นสุดในขั้นที่สิบ อีธานยืนนิ่งมองไปข้างหน้าก่อนที่จะมุ่งหน้าเดินต่อ

พ้นบันไดมาก็เผยให้เห็นเส้นทางที่มีกำแพงดินกั้นทึบสองข้างทางทอดยาวไปจนไม่รู้ว่ามีทางเลี้ยวข้างหน้าหรือไม่ อีธานเคลื่อนย้ายตัวเองด้วยการเดินเร็วปานหายตัวจนมาสุดทางให้เลี้ยวซ้าย เขาเลี้ยวไปทันทีโดยไม่รอช้า เส้นทางนั้นทอดยาวมาประมาณสามร้อยเมตรก็มีทางให้เลี้ยวซ้ายอีกครั้ง อีธานเลี้ยวไปตามเส้นทางนั้นอีกประมาณสองเมตรเขาก็เจอกับทางเข้าไร้ซึ่งประตูสู่ห้องโถงมีพื้นที่กว้างขนาดครึ่งสนามฟุตซอล เขายืนนิ่งอึดใจก่อนก้าวเข้าไปเหยียบพื้นห้องที่ปูด้วยหินอ่อนแบล็คมาคิวน่ามันวาว บนพื้นใจกลางห้องมีรูปอักษรลำดับที่สี่ในภาษาอังกฤษสลักอยู่ ภายในรูปตัวดีมีเส้นหนา ๆ สองเส้นไขว้กันเป็นเครื่องหมายบวก มันคือสัญลักษณ์ของตระกูลเดล ตระกูลของออสการ์

สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าเครื่องหมายตระกูลเดลบนพื้นคือแวมไพร์สองพ่อลูกที่ยืนนิ่งมองแวมไพร์ผู้มาเยือนด้วยแววตาเหี้ยมโดยมีสมุนที่อีธานดูก็รู้ว่าเป็นแค่สมุนปลายแถวยืนคุมเชิงอยู่ข้าง ๆ

แวมไพร์หนุ่มหน้าหล่อกระชากใจสาว ๆ แต่แววตากลับไม่น่าอภิรมย์มองตรงมายังอีธาน อีธานอ่านใจออสการ์ได้ว่ากำลังโกรธเขาจัดเพราะไม่คิดว่าเขาจะล่วงรู้ที่กบดานของมัน หากแต่แวมไพร์อาวุโสที่ดูน่าเกรงขามซึ่งมีศักดิ์เป็นบิดาของออสการ์กลับไม่แสดงอาการแปลกใจกับการมาของเขาแต่อย่างใด อีธานไม่รู้ว่าเฮนรี่ไม่แปลกใจจริง ๆ หรือแปลกใจแต่ไม่แสดงออกมากันแน่ สาเหตุก็เพราะแวมไพร์หนุ่มเจ้าของหัวใจเชอแตมไม่สามารถอ่านใจของเฮนรี่ได้ ซึ่งมันเป็นไปตามวิสัยของแวมไพร์ที่ไม่สามารถอ่านใจแวมไพร์อาวุโสที่มีอายุมากกว่าตัวเองหรือมากกว่าสามร้อยปีขึ้นไปได้ และเขาก็เสียเปรียบบิดาของเฮนรี่ตรงที่วิสัยของแวมไพร์อาวุโสสามารถอ่านใจแวมไพร์อายุน้อยกว่าได้

อีธานจำเป็นต้องมีสมาธิกับการปิดกั้นความนึกคิดของตัวเองไม่ให้เฮนรี่ล่วงรู้

โดยเฉพาะความห่วงใยที่แสนจะมหาศาลต่อมนุษย์สาวที่นอนสลบไสลอยู่บนเตียงหินสูงเทียมเอวซึ่งตั้งอยู่ตรงหน้าของออสการ์ แม้จะอยากเข้าไปแย่งชิงตัวของเชอแตมให้มาอยู่ในอ้อมกอดของตัวเองมากเท่าไร แต่เขากลับทำได้เพียงต้องยืนนิ่งมองเธอแบบนั้นไปก่อน เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสมในการพาตัวเธอกลับไปโดยไร้ซึ่งบาดแผลใด ๆ

แม้แวมไพร์สมุนสองตนกับออสการ์หนึ่งตนไม่อาจจะต้านพลังของเขาเพียงคนเดียวได้ แต่ทั้งหมดกลับอยู่ภายใต้อำนาจของแวมไพร์อาวุโสที่เขาไม่สามารถอ่านใจได้ และมีพลังมากกว่าเขา

เขาเพียงคนเดียวก็ไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยเชอแตมให้ปลอดภัยได้หรือไม่

และความไม่แน่ใจนั้นทำให้เฮนรี่อ่านเจอ

แวมไพร์หนุ่มแห่งตระกูลโอดินมองใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นของแวมไพร์อาวุโสแห่งตระกูลเดลด้วยแววตาเยือกเย็น เฮนรี่เคยเป็นเพื่อนรักกับอาของเขา ก่อนที่จะแตกหักกันเพราะเรื่องตำนานที่เขาคิดว่าไม่มีอยู่จริงนั่น ความละโมบทำให้ทั้งคนและแวมไพร์เปลี่ยนไปได้จริง ๆ

ปกติแล้วแวมไพร์ผู้ที่มีอายุน้อยจำต้องเคารพและให้เกียรติแวมไพร์อาวุโสเสมอ สำหรับอีธานเฮนรี่คือข้อยกเว้น นอกจากความละโมบของเฮนรี่ ความเลวที่อีธานจำได้ฝังใจเกี่ยวกับวีรกรรมของแวมไพร์อาวุโสตนนี้ มันทำให้เขาแทบจะวิ่งเข้าไปควักหัวใจของเขาออกมาแล้วแทงทะลุซ้ำให้แหลกคามือ การอดทนยืนนิ่งให้แวมไพร์ที่เขาแสนจะเกลียดชังมองหน้าแบบนี้ มันยากเย็นจนแทบจะคุมตัวเองไม่อยู่

หากไม่ใช่ภารกิจสำคัญ หากเรื่องนี้ไม่ขึ้นอยู่กับความเป็นความตายของแวมไพร์ทั้งอาณาจักร แวมไพร์หนุ่มแห่งตระกูลโอดินก็ไม่ยอมยืนมองหน้าเฮนรี่เฉย ๆ แน่นอน

"ยังคงรักษามาตรฐานแวมไพร์หนุ่มที่แสนจะเก่งกาจแห่งตระกูลโอดินไว้ได้อย่างดีเยี่ยมเลยนะอีธาน"

เฮนรี่ยืนตัวตรงมือไขว้หลัง ท่าทางองอาจเปี่ยมด้วยรัศมีแห่งความเป็นใหญ่ เขาพูดเรียบ ๆ คล้ายกับกำลังสนทนากับหลานชายคนหนึ่ง แต่อีธานกลับรู้ดีว่าในใจของเฮนรี่ไม่ได้หวังดีกับเขาแน่นอน ทุกคำพูดที่แวมไพร์อาวุโสเปล่งออกมาหากสามารถฆ่าเขาได้ แวมไพร์ตนนี้ก็คงหวังให้เป็นเช่นนั้น

"ส่งตัวผู้หญิงคนนี้คืนมาให้ผมดี ๆ เถอะเฮนรี่"

อีธานสวนกลับไปด้วยคำพูดที่เรียบนิ่งเป็นสายน้ำไหลแฝงด้วยไอเย็นยะเยือกเอาไว้เช่นกัน ใครจะรู้ว่าเขาต้องอดกลั้นซ่อนความแค้นที่มีต่อเฮนรี่กับความห่วงใยที่มีต่อเชอแตมเอาไว้อย่างยากเย็นแค่ไหน เพียงเพื่อไม่ให้แวมไพร์อาวุโสอ่านเจอ

เฮนรี่กระตุกมุมปาก สีหน้าไร้แววดูแคลน

"แม่หนูนี่สำคัญกับเจ้ามากงั้นหรือ" เฮนรี่ถามน้ำเสียงยังคงระดับเดิม

"ผมจำเป็นต้องปกป้องเธอ เพราะรู้ว่าพวกคุณกำลังปองร้ายเธอ"

คำพูดนี้ทำให้ออสการ์หลุดหัวเราะออกมา บุตรของเฮนรี่แสยะยิ้มเหี้ยมให้อีธาน

"พอเถอะอีธาน ถึงแกจะปกปิดความนึกคิดได้ดีแค่ไหน แต่แกไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังแสดงความเป็นห่วงเป็นใย และเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมนุษย์หญิงคนนี้แบบชัดเจน"

อีธานไม่โต้ตอบออสการ์ แม้จะเหลือบไปมองมันแวบหนึ่ง แต่เขาก็ตวัดสายตากลับมาจดจ่ออยู่ที่เฮนรี่ต่อ เพราะการมองตาออสการ์มันทำให้เขาไร้ซึ่งสมาธิในการปกปิดความนึกคิด จนเฮนรี่อาจจะมองเห็น บุตรของเฮนรี่ตนนี้ถนัดนักกับยั่วเย้าจิตใจเขาให้เกิดโทสะ

"พวกคุณกำลังตามหาสิ่งนั้นจากเธองั้นหรือ" อีธานถาม ต้องการคำตอบจากเฮนรี่

แวมไพร์อาวุโสแสดงแววตานิ่งขรึมลุ่มลึก

"เจ้าก็น่าจะรู้จุดประสงค์ของพวกเราดี" เฮนรี่ตอบ

"เธอไม่มีสิ่งที่พวกคุณต้องการหรอกเฮนรี่ คืนเธอมาให้ผม"

"เจ้ารู้ได้ยังไงอีธาน ว่าไม่มี ในเมื่อลูกชายข้า ได้กลิ่นนั้นอวลออกมาจากตัวเธอ"

"มั่นใจได้อย่างไร ว่ามันคือสิ่งนั้น" อีธานเค้นเสียงถาม เขาไม่สามารถเก็บความลับเรื่องสิ่งที่อยู่ในตัวเชอแตมเอาไว้ได้อีกแล้ว ในเมื่อ 'สิ่งนั้น' ที่พวกเขากำลังคุยกัน ส่งกลิ่นออกมาให้ออสการ์สัมผัสเจอจนได้

ออสการ์แสยะยิ้มเหี้ยมให้เขา แสดงแววตาเหมือนอันธพาลครองเมืองมาให้ แต่อีธานไม่ได้มอง

"แค่นี้ก็รู้แล้วอีธาน ว่าแกคอยปกป้องผู้หญิงคนนี้มาตลอดเวลา เพื่อให้เธอรอดพ้นจากการหาเจอของพวกเรา น่าเสียดายที่แกไม่สามารถปกปิดกลิ่นในตัวเธอได้"

"เค คงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี"

เฮนรี่เอ่ยถึงอาของอีธาน แวมไพร์หนุ่มแห่งตระกูลโอดินอับจนหนทางที่จะหลีกเลี่ยงการซ่อนตัวของเชอแตมอีกแล้ว เขานึกขอโทษอาที่ไม่สามารถซ่อนมนุษย์ผู้หญิงคนนี้ไว้ให้พ้นจากการพบเจอของออสการ์ได้ หลังจากนี้มันคงต้องเกิดสงครามเท่านั้น

"ไม่มีใครรู้อะไรทั้งนั้น เราเดินทางเข้าสู่ยุคไหนแล้วเฮนรี่ ตำนานมันเป็นแค่ตำนาน สิ่งที่อยู่ในตำนานมันไม่มีอยู่จริง"

"อย่าพยายามหลอกตัวเองเลยหลานรัก" เฮนรี่เอ่ยอ่อนโยนแต่มันแฝงด้วยความอำมหิตลุ่มลึก "เจ้าปฏิเสธตำนานมาตลอด เพราะเจ้ามีใจให้ผู้หญิงคนนี้ ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก"

อีธานขบฟันกรอดจนกรามนูนขึ้นมา

และในขณะนั้น เชอแตมก็สะลึมสะลือลืมตาตื่นขึ้น ทุกสายตาของเหล่าแวมไพร์จับจ้องไปที่ตัวเธอ หญิงสาวมองไปรอบตัว ถึงกับต้องผงะเมื่อเจอออสการ์ที่เธอจำใบหน้าเขาได้ดีเยี่ยม กับชายแปลกหน้าอีกสามคน คนหนึ่งเป็นชายสูงอายุ อีกสองคนเป็นชายที่ยังหนุ่มแน่น เชอแตมสัมผัสได้ด้วยความรู้สึกว่าชายสูงอายุมีความเป็นผู้นำ หยิ่งทระนง ดูยิ่งใหญ่จนยากที่จะมีผู้ใดต่อกร แววตานั้นแม้จะนิ่งแต่กลับเหี้ยมโหดยิ่งกว่าออสการ์ ส่วนชายหนุ่มอีกสองคนจากมุมการยืนที่เหมือนคุ้มกัน เธอคาดเดาว่าต้องเป็นลูกน้องที่ติดสอยห้อยตาม หรือไม่ก็บอดี้การ์ด หากแต่ยังดูไร้ความสามารถเทียบไม่ได้สักเสี้ยวของอีธาน

ที่แน่ ๆ หญิงสาวมั่นใจว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์

ความกลัวก่อกำเนิดเป็นกลุ่มก้อนเล็ก ๆ ในใจ จนเฮนรี่อ่านเจอจากแววตาของเธอ ยิ่งไปกว่านั้นแวมไพร์อาวุโสยังอ่านเจอความรู้สึกของเธอที่มีต่ออีธาน มันชัดเจนจนเขาแทบจะไม่ต้องหาความจริงจากปากของอีธานเลย

ในระหว่างที่เฮนรี่มองนัยน์ตาสีดำสนิทของเชอแตม มือของอีธานกำแน่นด้วยล่วงรู้ว่าแวมไพร์อาวุโสกำลังอ่านความจริงหลาย ๆ อย่างจากความคิดเธอ ซึ่งเขาทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

เชอแตมหันกลับมาด้านตรงข้ามของพวกเฮนรี่ เธอก็พบแวมไพร์หนุ่มที่สถิตอยู่ในใจเธอตลอดเวลา นัยน์ตาที่ตกวูบไปเมื่อครู่กลับเปล่งประกายแวววาวขึ้นมาด้วยความดีใจ เพียงเขาคนเดียวก็ทำให้เธอเชื่อมั่นได้ว่าเธอจะปลอดภัย แม้ในความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่ก็ตาม

"อีธาน!" หญิงสาวเรียกเขาด้วยความลิงโลด แต่อีธานกลับแสดงแววตาโหด ๆ มาให้เธอ เขาดีใจที่เธอเรียกชื่อเขา ดีใจที่เธอตื่นขึ้นมา ดีใจที่เห็นเธอยังหายใจและยิ้มได้ แต่เขาจำเป็นต้องซ่อนทุกอย่างเอาไว้ภายใต้ความรู้สึกซับซ้อนอีกอย่างหนึ่งก็คือ ขุ่นเคืองเจ้าหล่อนกับความประมาทที่ทำให้ตัวเองถูกจับตัวมาได้แบบนี้

ถ้ารอดไปได้ เธอต้องโดนเขาสั่งสอนให้สำนึก!

หลุยส์หยิบปืนพกสั้นลูกโม่สีเงินสแตนเลสที่บรรจุกระสุนไว้เต็มรังเพลิงใส่กระเป๋าเป้ใบสีดำสนิท พร้อมกับลิ่มเหล็กเงินแวววาวแหลมคมสองแท่ง เขาไม่อาจจะทนรอจนกระทั่งป๊อบคอร์นตื่นขึ้นมาได้อีกแล้ว แต่ถึงไม่ได้รอเพราะป๊อบคอร์น เขาก็รอไม่ได้ เขามีศัตรูที่ต้องกำจัด แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่ควรก็ตาม

ศัตรูที่เขาแค้นยิ่งนัก---แวมไพร์

หลังจากยืนขึ้นจากโซฟาที่วางในขอบเขตสำหรับรับแขกกลางห้อง พร้อมกับกระเป๋าเป้ที่ถูกสะบัดพาดบ่า เขาก็มิอาจก้าวเท้าออกจากห้องไปได้ก่อนเพราะป๊อบคอร์นสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาแล้ว

ตอนแรกเขากะจะขังเจ้าหล่อนไว้ในห้อง แต่ในเมื่อตื่นมาแล้วเขาก็ต้องคุยกับเธอก่อน

ป๊อบคอร์นสะบัดศีรษะไล่ความงุนงง ก่อนจะหันไปมองหน้าหลุยส์ แล้วเผยอปากอ้าเหวอ แค่อ้าปากหลุยส์ก็เห็นลิ้นไก่เธอแล้ว เขาควรจะเตรียมปิดหู

"คุณ!" ป๊อบคอร์นมองหน้าเขาด้วยแววตาเป็นนางยักษ์ ถ้าเธอฉีกเขาเป็นชิ้น ๆ ได้ เธอคงทำไปแล้ว "ทำไมคุณอยู่ที่นี่ แล้วที่นี่ที่ไหน ห้องคุณเหรอ นี่คุณทำอะไรฉัน หรือว่า..." เจ้าหล่อนเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อความคิดในแง่ลบเข้าครอบงำ "คุณเลวมาก" เธอปรามาสเขา

หลุยส์กลอกตาเหนื่อยหน่าย เขาช่วยเธอไว้แท้ ๆ

"เชอแตมล่ะ เชอแตมอยู่ไหน ฉันจำได้ว่าฉันอยู่ที่บ้านพี่กรุ๊ป...แล้ว..."

ท้ายประโยค เจ้าหล่อนเค้นความทรงจำย้อนกลับไป

"ฉันเดินดูรูปพี่กรุ๊ปในตู้โชว์ แล้วจู่ ๆ ก็สลบไป" เจ้าหล่อนพึมพำเหมือนคุยกับตัวเองมากกว่า

"แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วทำไมถึงอยู่กับคุณ"

หลุยส์ถอนหายใจ เขาไม่มีเวลาแล้ว

"เอาเป็นว่าผมจะกลับมาอธิบายให้คุณฟังทีหลัง ตอนนี้อยู่แต่ในห้องนี้ อย่าออกไปไหน"

พูดจบเขาก็ทำท่าจะเดินจากไป ป๊อบคอร์นไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ เธอไม่เชื่อเขาหรอก เธอต้องได้รับคำอธิบายจากเขาก่อน เจ้าหล่อนวิ่งไปดักหน้าเขาไว้พร้อมกางแขนกว้างขวางกั้นการไปของเขา

"คุณจะไปไหน คุณไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น คุณต้องอธิบายทุกอย่างมาก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วนี่เชอแตมอยู่ไหน"

หลุยส์ไม่อยากเสียเวลากับเธอ เขาแสดงสีหน้ารำคาญออกมาอย่างชัดเจน

"งั้นก็ช่วยไม่ได้ คุณทำให้ผมจำเป็นต้องขังคุณไว้ที่นี่"

พูดจบชายหนุ่มก็ก้าวเท้าฉับ ๆ ไปยังประตูทันที แต่มีหรือที่คนอย่างป๊อบคอร์นจะยอมอยู่เฉย เธอดึงแขนซ้ายของหลุยส์เอาไว้ แล้วกระชากแรงเข้าหาตัว

"ไม่ได้นะ! คุณคิดจะขังฉันเหรอ ฉันไม่ยอมหรอกนะ"

หลุยส์เซมาตามแรงเธอนิดหนึ่งเพราะไม่ได้ฝืนตัวเองเอาไว้ พอตั้งตัวได้เขาก็ฝืนตัวเองจนป๊อบคอร์นต้องออกแรงเยอะขึ้นจนต้องล่าถอยปล่อยเขาเอง ความเจ้าเล่ห์ของเจ้าหล่อนถูกงัดออกมาใช้ในวินาทีถัดมา เขาบอกว่าจะขังเธอ เธอก็ต้องหนีออกนอกห้องซะสิ

ทันทีที่คิดได้ เจ้าหล่อนก็แจ้นไปที่ประตูเร็วจนหลุยส์ขยับตัวแทบไม่ทัน หญิงสาวขาสั้นกว่าเขา เพียงสองก้าวเขาก็ประชิดตัวเธอได้แล้ว หลุยส์คว้าสะเอวเธอเอาไว้แล้วอุ้มกลับเข้ามาในห้อง

"ปล่อยนะ! ไอ้หลุยส์ ไอ้บ้า ไอ้เลว" ได้ทีเธอก็ด่าเขาไม่เลี้ยง หลุยส์ไม่ใส่ใจคำพูดเหล่านั้นของเธออีกแล้ว

ตุบ! เขาโยนเธอลงบนโซฟาจนร่างเธอเด้งยวบ ๆ ร่างบางเงยหน้าฉับแววตาชิงชังมองสบเขา

"ผมบอกให้อยู่ที่นี่! ถ้าคุณอยากเจอเพื่อนคุณ จงรอที่นี่" สีหน้าและแววตาของหลุยส์จริงจังจนป๊อบคอร์นผวาขึ้นมานิดหน่อย

"ไม่! ฉันจะกลับ ฉันจะไปหาเชอแตมเอง"

"คุณรู้เหรอว่าเพื่อนคุณอยู่ไหน" หลุยส์ถาม แววตาท้าทาย

"แล้วคุณล่ะ รู้เหรอว่าเพื่อนฉันอยู่ไหน" ป๊อบคอร์นท้าทายกลับไปบ้าง เธอไม่เชื่อเขาหรอก เขาแค่คิดจะชิ่งหนีเธอก็ได้ คนอย่างเขามีอะไรที่จริงใจและเป็นความจริงอย่างคนอื่นเขาเสียเมื่อไหร่ ในสายตาเจ้าหล่อน เขาเป็นผู้ชายที่มารยาสาไถยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก

"รู้สิ" น้ำเสียงจากคำตอบของหลุยส์มั่นคง แน่วแน่ จนคนฟังรับรู้ได้ถึงกระแสความจริง เขาไม่ได้โกหก

หลุยส์ไม่รอให้เสียเวลาอีก เขาหันหลังทันทีที่ตอบจบ คราวนี้เขาเดินเร็วจนเกือบวิ่งไปที่ประตูเพื่อกันไม่ให้ป๊อบคอร์นตามทัน และแน่นอนเจ้าหล่อนตามหลังไปเกือบติด ๆ แต่ไม่ทันประตูที่หลุยส์งับปิดสนิทพร้อมล็อกด้วยแม่กุญแจจากข้างนอกจนคนข้างในต้องเคาะประตูปัง ๆ ยังผลให้ฝ่ามือเป็นจ้ำแดงเถือก

"หลุยส์!" ปัง ๆ "ไอ้บ้า! ปล่อยฉันออกไปนะ" ปัง ๆ "หลุยส์ หลุยส์"

เสียงเคาะสลับกับเสียงเรียกจนกระทั่งเจ้าหล่อนเหนื่อยและสงบไปเอง ผิดกับชายหนุ่มที่เดินไปยังลิฟต์โดยสารตรงไปยังรถยนต์ออดี้รุ่นเอหกสีดำสนิทโดยไม่อาลัยอาวรณ์หญิงสาวสักนิด เขาเปิดประตูฝั่งคนขับโยนกระเป๋าเป้ไปยังที่นั่งข้าง ๆ ก่อนจะเข้าไปนั่งเป็นสารถีเหยียบคันเร่งไม่เลี้ยง

ปล่อยให้ป๊อบคอร์นทรุดนั่งลงกับพื้น กำมือแน่นทุบแรง ๆ ไปยังประตูด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel