บทที่ 20 ความลับของป๊อบคอร์น 2
อีธานลุกขึ้นจากเตียง เดินเอื่อย ๆ มาหาร่างป๊อบคอร์นที่นอนสลบเหมือดหน้าประตูห้อง เชอแตมปรี่ตามหลังมาติด ๆ ทั้งคู่ยืนมองเจ้าของน้ำเสียงแปดหลอดอึดใจ ก่อนอีธานจะโน้มตัวลงไปช้อนเจ้าหล่อนขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนแล้วพาไปวางไว้บนเตียงอย่างอ่อนโยน
หลังจากวางเจ้าหล่อนให้นอนเหยียดยาวไปบนเตียงเรียบร้อยแล้วแล้ว แวมไพร์หนุ่มก็มายืนนิ่งมองเพื่อนรักของเชอแตมข้างเตียงด้วยท่าทางที่มือสอดไว้ในกระเป๋ากางเกง เชอแตมก้าวมายืนเคียงเขาสีหน้าวิตกขณะมองดวงหน้าที่หลับใหลของเพื่อนรัก
"ไม่นานคงจะฟื้น ผมใช้พลังจิตไม่แรงเท่าไหร่" อีธานเอ่ยขึ้นเบา ๆ ขณะที่สายตาจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าป๊อบคอร์น เชอแตมตวัดสายตาขวับมามองเขา
"ใช้พลังจิต? ใช้พลังจิตทำอะไรคะ" เชอแตมถามเสร็จปุ๊บ เธอก็ได้คำตอบด้วยตัวเองว่า "ป๊อบสลบไปเพราะฝีมือคุณเหรอ"
อีธานแสดงท่าทางคล้ายถอนหายใจ
"ผมไม่แน่ใจว่าเพราะพลังจิตของผม หรือเพราะอาการช็อกของเพื่อนคุณเอง"
เชอแตมอ้าปากค้างนิด ๆ เหตุการณ์คล้ายเดจาวูเหตุการณ์หนึ่งก็วูบขึ้นมาในความทรงจำ ครั้งสุดท้ายก่อนที่เธอจะถูกพาไปทั้งที่สลบไสลในห้องของเขา เธอจำได้ว่าเธอเจอชายหนุ่มคลุมฮูดมิดศีรษะซึ่งตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเป็นเขา โผล่มาปะหน้าเธอก่อนที่เธอจะไม่รู้สึกตัวอีกเลย
"แสดงว่าวันนั้นบนถนนก่อนที่ฉันจะไปโผล่ที่ห้องของคุณ คุณเป็นคนใช้พลังจิตทำให้ฉันสลบไปใช่มั้ยคะ"
อีธานยักไหล่นิด ๆ "ผมจำเป็น" เขาตอบ
เชอแตมไม่ได้คิดจะตำหนิหรือต่อว่าอะไรเขา เพียงแค่เธอรู้สึกว่าแวมไพร์ตนนี้มีความพิเศษมากมายเหลือเกิน
"ผมคงต้องออกไปอยู่แถว ๆ นี้ เพื่อนคุณตื่นมาจะได้ไม่ตกใจเกินไป"
เชอแตมมีสีหน้าว้าวุ่นใจ
"แล้วฉันจะบอกป๊อบคอร์นว่าไงดี ยายนี่ขี้สงสัย ขี้ซักซะด้วย โดยเฉพาะเรื่องผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตฉัน"
เชอแตมบ่นด้วยท่าทางสับสน ไม่ได้ต้องการคำตอบแน่นอนจากอีธาน
"บอกไปตามที่ใจคุณอยากบอกเถอะ ยังไงก็เพื่อนคุณ เธอไว้ใจได้ที่สุดแล้ว แต่อย่าเพิ่งเล่าเรื่องแวมไพร์ให้เธอฟังตอนนี้ก็พอ ไว้โอกาสดี ๆ ค่อยบอกดีกว่า"
อีธานเห็นความคิดบางอย่างของป๊อบคอร์นซึ่งเป็นเหตุผลที่เธอต้องมาหาเชอแตมถึงห้อง ก่อนที่เจ้าหล่อนจะสลบไป
เชอแตมเงยหน้ามองอีธาน
"คืนนี้อาจจะเป็นคืนที่ความลับถูกเปิดเผยก็ได้" อีธานเอ่ยทุ้มนุ่มเป็นปริศนากับเธอขณะที่ดวงตาสบกัน เชอแตมขมวดคิ้วงุนงง
แวมไพร์หนุ่มหันหลังให้เธอก่อนเดินออกไปนอกระเบียงแล้วหายไป เชอแตมถอนหายใจฟู่ ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เพื่อนรัก ครู่หนึ่งเจ้าหล่อนก็เม้มยิ้มกว้างออกมาด้วยแววตาเปี่ยมสุข เพื่อนรักของเธออยู่ตรงนี้ ในห้องของเธอ เจ้าหล่อนมาหาเธอ เชอแตมย้อนนึกไปถึงช่วงเวลาที่ป๊อบคอร์นเปิดประตูเข้ามาพร้อมคำว่า 'เซอร์ไพร้ส์' มันทำให้เธอรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเจ้าหล่อนคนเดิมกลับมาหาเธอแล้ว
เวลาผ่านไปราวสิบห้านาทีเศษ เชอแตมลากเก้าอี้จากโต๊ะอ่านหนังสือมานั่งข้าง ๆ เตียงที่มีเพื่อนรักนอนอยู่ราวกับเฝ้าคนไข้ในโรงพยาบาล เชอแตมสะดุ้งโหยงเมื่อเพื่อนรักเธอสะดุ้งตัวเองร่างกายเด้งขึ้นมานั่งตัวตรงสีหน้าตกใจราวกับผ่านป่าช้าผีดุมา
"ไอ้ป๊อบ" เชอแตมค่อย ๆ เอามือแหย่ไปที่ไหล่เพื่อนเบา ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าหล่อนไม่ได้โดนผีเข้า "แกโอเคนะ"
ป๊อบคอร์นค่อย ๆ หันมามองเชอแตมที่นั่งอยู่ข้างเตียงช้า ๆ เหมือนคนโดนผีเข้าจริง ๆ เชอแตมตัวแข็งทื่อมองเพื่อนรักด้วยแววตาและสีหน้าเหวอ ๆ สองสาวสบตากันนิ่งราวกับพระเอกตามหานางเอกมานานแสนนานจนในที่สุดได้เจอกันเสียที หากแต่เจอในแบบที่นางเอกมีแฟนใหม่ไปแล้ว
"อิเชอ!!" ป๊อบคอร์นตะคอกเสียงออกมาด้วยสีหน้าโกรธไม่จริง "แกทำตัวแบบนี้ได้ยังไง ห้ะ!"
เชอแตมอ้าปากเหวอ ป๊อบคอร์นกลับมาแล้ว แต่กลับมาในแบบที่โหดกว่าเดิม เชอแตมรู้สึกว่าหูของเธอต้องทำงานเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าละมั้ง
"อะไรแก" สาวเจ้าต้องทำเป็นไม่รู้เรื่องไปก่อน เผื่อหาโอกาสรอดได้
"แกพาผู้ชายขึ้นห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วนอนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนเตียงอีก" ป๊อบคอร์นหันทั้งตัวมาคุยจริงจังกับเพื่อนรัก มือไม้แสดงท่าทางอย่างออกรส "แกนี่นะ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าแกจะเป็นคนแบบนี้ เห็นเงียบ ๆ แต่ร้ายมากเลยนะแก"
"ไม่ใช่อย่างที่แกคิดนะเว่ย" เชอแตมพยายามเถียง
"จะปฏิเสธฉันเหรอ ฉันเห็นเต็มสองตานะ ทำไมแกไม่เคยเล่าให้ฉันฟัง"
"ป๊อบ..."
เชอแตมเปล่งเสียงได้แค่ชื่อของเจ้าหล่อน เพราะเพื่อนรักแปดหลอดอ้าปากเปล่งคำพูดออกมาได้ไวกว่า
"แกมีแฟนหล่อขนาดนี้ ทำไมไม่เคยเล่าให้ฉันฟังเลยห้ะ"
"หืม" เชอแตมเปลี่ยนสีหน้าเป็นเหวอคูณสอง ตกลงเพื่อนเธอจะด่าหรือจะชม จะโกรธเพราะเธอทำตัวไม่เหมาะสมหรือโกรธเพราะมีแฟนหล่อแล้วไม่บอก
"แกนะแก ที่แท้ก็มีแฟนหล่อขนาดนี้ ฉันก็คิดว่าแกชอบไอ้หน้าเกาเหลานั่นซะอีก"
เชอแตมถอนหายใจโล่งอกนิดหนึ่งกับเรื่องเข้าใจผิดระหว่างเธอกับหนุ่มเสื้อเปื้อนปากกา
"ฉันก็บอกแกแล้วว่าไม่ใช่อย่างที่แกคิด" เชอแตมย้อนความทรงจำ
"แล้วทำไมแกไม่บอกฉันวะว่าแกไม่ได้ชอบหมอนั่น"
เชอแตมตะกุกตะกัก ป๊อบคอร์นรู้สึกรำคาญใจจึงแย้งขึ้นมาก่อน
"เออ ช่างเถอะ เรื่องหมอนั่นค่อยว่ากัน เอาเรื่องนี้ก่อน" เชอแตมรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ขึ้นมาซะแล้ว ป๊อบคอร์นนั่งขัดสมาธิบนเตียงหันหน้ามาหาเธอท่าทางจริงจังยิ่งกว่าเรียนหนังสือเสียอีก "ผู้ชายที่อยู่ในห้องแกเป็นใคร" จบคำถามเจ้าหล่อนก็แสดงสีหน้าสงสัยขึ้นมาซะก่อน จนเชอแตมแทบตามอารมณ์เจ้าหล่อนไม่ทัน
"ว่าแต่ เขาไปไหนแล้วอ่ะ ตอนฉันมายังอยู่ อยู่เลย"
"ก็ แกมาไง เขาเลยไปแล้ว" เชอแตมตอบพลางสายตาดุกดิกไม่คงที่
"แล้วเขาเป็นใคร รู้จักกันตั้งแต่ตอนไหน เมื่อไหร่ ยังไง ไว้ใจถึงขนาดขึ้นมาบนห้อง ถึงขนาดกอดกันบนเตียงได้ยังไง"
เชอแตมถอนหายใจฟู่ กลอกตาด้วยอารมณ์ที่ไปไม่เป็น
"เรื่องมันยาวอ่ะแก"
"งั้นเอาสั้น ๆ"
"เขาเป็นคนที่คอยดูแลฉัน"
ป๊อบคอร์นแสดงสีหน้างุนงง "คอยดูแล ดูแลทำไม"
"ก็ เราคบกันไง เขาเลยต้องดูแล" พูดไปก็อายปาก อีธานก็ไม่เคยบอกรักเธอ ไม่เคยขอเธอเป็นแฟนสักหน่อย
"นั่นแหละ คบกันตอนไหน ยังไง พบกันที่ไหน เมื่อไหร่ อีท่าไหน"
เชอแตมจิ๊ปากนิด ๆ มองหน้าป๊อบคอร์นด้วยอาการจนปัญญาจะหาทางออก แต่แล้วสมองอันชาญฉลาดก็นึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้ มันเป็นข้อแลกเปลี่ยนได้อย่างดีเลยทีเดียว
"ฉันจะบอกแก ก็ต่อเมื่อแกบอกความจริงกับฉันเรื่องผู้ชายเสื้อเปื้อนปากกาคนนั้น ฉันรู้นะว่าแกกับเขาต้องรู้จักกัน"
เรื่องอีธานทำให้ป๊อบคอร์นลืมความตั้งใจของตัวเองที่มาหาเชอแตมไปเสียสนิท เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เจ้าหล่อนก็มีสีหน้าเผือดลงทันที ไม่เหลือเค้าความอยากรู้อยากเห็นเรื่องเชอแตมอีกต่อไปแล้ว
เชอแตมเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเจ้าหล่อนก็รู้สึกสลดลง เธอหวังว่าคำพูดของเธอคงไม่ได้ไปกระตุกต่อมเศร้าของป๊อบคอร์นหรอกนะ
"ฉันมาหาแกเพราะเรื่องนี้แหละ"
เชอแตมเลิกคิ้วนิดหนึ่ง รอฟังป๊อบคอร์นพูดต่อ
"ฉันไปคิด ๆ ดูแล้ว ฉันไม่ควรเก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับแกอีกต่อไปแล้ว แกเป็นเพื่อนสนิทฉัน อีกอย่างหมอนั่นก็รังควานพวกเราเหลือเกิน ถ้าฉันเล่าให้แกฟังซะ มันคงไม่ทำให้ฉันปากเน่าขึ้นมาเวลาเอ่ยถึงเขาหรอก ที่สำคัญ มิตรภาพของเราน่ะ มันสำคัญกว่าความเสียใจของฉันซะอีก"
เชอแตมยิ้มภูมิใจให้กับเพื่อนรัก
"ว่ามาสิ" เชอแตมเอ่ย
ป๊อบคอร์นถอนหายใจนิดหนึ่ง ก่อนขึ้นต้นนิทานเรื่องนี้ว่า
"เขาชื่อหลุยส์"
"หลุยส์" เชอแตมทวนชื่อของหนุ่มเสื้อเปื้อนปากกาซ้ำในใจ หลังจากป๊อบคอร์นบอก
เพื่อนรักแปดหลอดก้มหน้าน้อย ๆ แสดงสีหน้าและแววตาคล้ายย้อนเวลากลับไปในอดีต เจ้าหล่อนค่อย ๆ ร่ายความจริงออกมาเรื่อย ๆ เหมือนสายน้ำที่ค่อย ๆ ไหลเชี่ยวไปตามลำธาร บางคราวก็ยิ้มน้อย ๆ เมื่อมันเป็นอดีตที่ทำให้รู้สึกมีความสุข บางคราวก็แสดงสีหน้าเจ็บปวดเหมือนเรื่องนั้นมันทำให้เธอทุกข์
"น่าแปลกนะ ที่ฉันสนิทกับแกขนาดนี้ แต่ฉันไม่เคยปริปากให้เธอได้รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่เท่าที่รู้จริง ๆ ในตอนนั้นคือ ฉันอาจจะอยากเก็บเขาไว้เป็นความสุขแค่ในใจฉันเอง"
ป๊อบคอร์นเงียบไปคล้ายกำลังรำลึกถึงวันวาน เชอแตมไม่เอ่ยคำพูดใด ๆ ขัดขึ้นมา เธอทำแค่เพียงตั้งใจรอและฟัง
"ตอนม.สี่ มีครั้งหนึ่งที่ฉันน้อยใจแกเรื่องเพื่อน แกจำได้มั้ย แรก ๆ ที่เราคบกัน แกเป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ฉันนี่แหละที่เป็นคนเข้ามาหาแกเอง ฉันรู้สึกว่าแกน่ะ มีอะไรที่มันไม่เหมือนใคร พูดง่าย ๆ ฉันถูกกึ๋นกับแกมาก พอเราเริ่มสนิทกันมาก ๆ แกก็เริ่มมีมุมที่น่ารักจนทำให้เพื่อน ๆ ค่อย ๆ เข้ามาคุยกับแก ช่วงเวลานั้นแหละ ที่ฉันเริ่มนอยด์เพราะแกหัวเราะ พูดคุยกับเพื่อนคนอื่น จนเหมือนจะลืมฉันไป"
ป๊อบคอร์นทำปากจู๋ สีหน้าเอียงอายนิด ๆ เชอแตมจำได้ดีช่วงเวลาตอนมัธยมศึกษาปีที่สี่เป็นช่วงแรกเริ่มที่เธอได้รู้จักเพื่อนรักแปดหลอดคนนี้ และจำได้ดีว่าเจ้าหล่อนเคยงอนเธอเรื่องเพื่อนจนไม่พูดคุยกันสองสามวัน ตอนนั้นเชอแตมไม่เข้าใจเลยว่าเจ้าหล่อนเป็นอะไร อยู่ ๆ ก็เงียบไปจนน่าตกใจ และยิ่งปล่อยเวลาให้นานเข้าไม่ถามไถ่ ป๊อบคอร์นก็ยิ่งไม่คุยกับเธอเลย และในที่สุดเธอต้องเป็นฝ่ายง้อจนได้รู้ว่าเจ้าหล่อนนอยด์เรื่องนี้นั่นเอง
เชอแตมยิ้มให้เพื่อนรักเมื่อทั้งคู่รำลึกถึงช่วงเวลาเดียวกันอยู่
"ฉันจำได้ว่าวันแรกที่ฉันเจอเขาก็คือวันที่ 26 กันยายน เทอมแรกของม.สี่ เลยทำให้ฉันจำได้ด้วยว่าวันนั้นคือวันแรกที่ฉันนอยด์แกอย่างหนัก"
ป๊อบคอร์นหันมาหัวเราะเบา ๆ กับเชอแตม
"ฉันไปนั่งเงียบ ๆ คนเดียวที่สวนสาธารณะหลังโรงเรียนเรา" ซึ่งเป็นสวนเดียวกับที่ทั้งคู่เจอเฉาก๊วยและหลุยส์
"ฉันรู้สึกนอยด์แกนะ แต่ฉันไม่อยากยอมรับความรู้สึกนั้น กระทั่งรู้สึกอึดอัดจนน้ำตาไหล ฉันนั่งอยู่ที่ม้านั่งตัวเดียวกับที่เราชอบไปนั่งเล่นกับเฉาก๊วยบ่อย ๆ ตัวนั้น จู่ ๆ ก็มีมือใครบางคนถือผ้าเช็ดหน้าสีขาวบริสุทธิ์ยื่นมาให้ฉัน เขาส่งมาจากด้านหลังผ่านไหล่ของฉัน"
แววตาในตอนนี้ของป๊อบคอร์นทำให้เชอแตมรู้สึกได้ว่า ความทรงจำครั้งนั้นมันชัดเจนมากในความรู้สึกของเจ้าหล่อน
"ฉันตกใจนิด ๆ นะ แต่ก็หันไปมองในทันที คนแรกที่แวบเข้ามาในใจคิดว่าเป็นแก แม้ว่าลักษณะมือจะไม่ใช่ผู้หญิงก็ตาม"
ป๊อบคอร์นเงียบไป สายตามองไปไกลยังประตูระเบียงคล้ายล่องลอยสู่อดีตวันนั้นไปแล้ว
"วินาทีแรก ฉันรู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง โลกที่มีแต่ฉันกับเขา ฉันรู้สึกมองไม่เห็นคนอื่น รู้สึกเบาหวิวเหมือนตัวเองลอยได้ ฉันจำไม่ได้เลยว่าตัวเองมองเขานานเท่าไหร่ จนเขาเรียกสติฉันกลับมาถึงได้รู้ว่าใจตัวเองหลุดลอยไปไกลแล้ว"
"และเขาคือ หลุยส์ ชายหนุ่มเสื้อเปื้อนปากกาคนนั้นใช่มั้ย" เชอแตมถาม มั่นใจแน่นอน ซึ่งป๊อบคอร์นทำแค่เพียงพยักหน้าเป็นการยืนยัน
"แกเห็นหน้าเขาแล้ว แกก็คงรู้ดีว่าเขาหล่อมาก ผิวขาวแบบมีเลือดฝาด หน้าตาค่อนไปทางตี๋ ๆ นิด ๆ แต่เขากลับดูเท่ห์เหมือนหนุ่มหน้าตาเข้ม ๆ มากกว่า วินาทีแรกที่เห็นเขา เขาดึงดูดฉันได้หมดใจเลยทีเดียว มันไม่ใช่แค่เขาหล่อนะ แต่ฉันรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างในตัวเขาที่มากกว่าความหล่อ"
ป๊อบคอร์นถอนหายใจออกมานิดหนึ่งก่อนเอ่ยต่อ
"เขาเดินมานั่งลงบนม้านั่งตัวเดียวกับฉัน ตอนนั้นฉันแทบอยากให้ม้านั่งตัวนั้นแคบลงมาทันที เพราะเขานั่งอยู่อีกมุมของม้านั่งเว้นระยะห่างกับฉันมากเลยทีเดียว"
เชอแตมนึกภาพม้านั่งยาวตัวนั้นก็ยิ้มน้อย ๆ
"เขาไม่ได้มองหน้าฉัน สายตาเขามองไปข้างหน้าเหมือนกำลังคิดอะไร ตอนนั้นฉันรู้สึกได้ว่าเขาเองก็มีเรื่องกลุ้มใจจนต้องมาหาที่สงบ ๆ หลบพักพิงเงียบ ๆ คนเดียวเหมือนฉัน แล้วก็เป็นฉันฝ่ายเดียวที่นั่งมองเขาตลอดเวลาที่เราคุยกันแค่ไม่กี่คำ"
ป๊อบคอร์นไม่ได้เล่าบทสนทนาระหว่างเธอกับหลุยส์ให้เชอแตมฟัง เธอเพียงย้อนนึกถึงมันในใจ
"ยิ่งโตขึ้น ก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น" หลุยส์พูดจบก็หันมามองเธอ "ว่ามะ"
ป๊อบคอร์นไม่เข้าใจว่าตอนนั้นเขาหมายถึงอะไร แม้กระทั่งตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้
"เรานั่งม้านั่งตัวเดียวกันแบบนั้นโดยไม่พูดอะไรกันอีกเลยนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เพราะสำหรับฉันตอนนั้นเหมือนเวลามันหยุดเดินไปเองโดยอัตโนมัติ รู้ตัวอีกที ก็โรงเรียนเลิกได้เวลากลับบ้านแล้ว"
ป๊อบคอร์นเม้มปากนิดหนึ่งก่อนเอ่ยต่อว่า
"หลังจากวันนั้น ฉันรู้สึกว่าตัวเองโง่มากที่ไม่ยอมถามชื่อเขาหรือรายละเอียดเกี่ยวกับเขา ฉันก็เลยพยายามสืบหาว่าเขาเรียนห้องไหน ชื่ออะไร จนได้รู้ว่าเขาชื่อหลุยส์ อยู่ม.สี่เหมือนกัน เขาอยู่ห้องคิง ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนไม่ค่อยขยันไม่ค่อยอ่านหนังสือเลย แต่เขากลับติดทอปเด็กเรียนเก่งของสายชั้นเลยนะ"
เชอแตมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าตัวเองไม่ค่อยสนใจคนรอบข้าง ไม่ใช่สิต้องเรียกว่าไม่สนใจเลยต่างหาก เธอแทบไม่รับรู้เลยว่าใครจะเก่งจะเรียนดี ใครจะเป็นที่หนึ่งของโรงเรียน ไม่ใช่เพราะเธอไม่ชอบแต่เพราะเธอมีเรื่องอื่นให้คิดเยอะกว่าจนไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้ เธอเลยนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าหลุยส์เป็นใคร ถึงตอนนี้เธอก็พอจะนึกออกลาง ๆ ว่าเขาเรียนโรงเรียนเดียวกับเธอ
"แต่เพราะสไตล์ที่เงียบ ๆ ของเขาเลยทำให้เขาไม่ป๊อบถึงขนาดดังทั่วโรงเรียนเท่าไหร่ แต่ถึงจะเงียบ ๆ แต่กลับมีสาว ๆ ติดเขาตรึมเหมือนกันนะ และเท่าที่ฉันสังเกตเห็นเพราะเที่ยวตามตูดเขาตลอดเวลาน่ะ เขากลับไม่สนใจผู้หญิงคนไหนเลยสักคนเดียว ฉันพยายามสืบจนรู้ว่า เขาไม่มีแฟนด้วยนะ จริง ๆ ก็มีผู้หญิงที่เขาสนิทนั่นแหละ แต่ผู้หญิงที่ชอบเขาเหมือนกันน่ะก็พูดกันว่าเขาไม่ได้เป็นแฟนกัน เป็นแค่เพื่อนกัน ซึ่งมันทำให้ฉันโล่งใจมาก"
"เขารู้มั้ยว่าเธอชอบเขา" เชอแตมเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
ป๊อบคอร์นยิ้มนิด ๆ ส่ายหน้าเบา ๆ
"ฉันไม่รู้หรอกว่าเขารู้มั้ย ไม่รู้แม้กระทั่งเขาจะจำฉันได้หรือเปล่า ว่าฉันคือคนที่เขายื่นผ้าเช็ดหน้าให้ จนวันหนึ่ง ฉันอยากเข้าไปคุยกับเขาโดยใช้ผ้าเช็ดหน้าเป็นข้ออ้างในการเข้าไปคุย วันนั้นเขาเดินออกมาจากสนามหลังจากเล่นฟุตซอลเสร็จ กำลังจะเดินกลับพอดี ฉันก็ใจกล้ามายืนดักหน้าแล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้"
แล้วภาพในวันนั้นก็กลับเข้ามาในความทรงจำของป๊อบคอร์นอีกครั้ง
"ผ้าเช็ดหน้าของนาย" ป๊อบคอร์นยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวบริสุทธิ์ให้เขา หลุยส์มองผ้าในมือป๊อบคอร์นแล้วตวัดสายตาขึ้นมามองเธอ
"เก็บไว้เถอะ ให้เป็นความทรงจำถึงผม"
ป๊อบคอร์นจำได้ดีว่าแม้ตอนนั้นเธอจะรู้สึกงุนงงกับคำพูดนั้น แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจเหมือนอิงไฟอุ่น ๆ ในเวลาหนาว อีกใจหนึ่งก็รู้สึกตงิด ๆ ว่าเขาอาจจะรู้ว่าเธอแอบชอบเขา
"ทำไมหลุยส์พูดแบบนั้น เขาพูดเหมือนรู้ว่าเธอแอบรักเขา" เชอแตมต้องเอ่ยถามเพราะความสงสัย ป๊อบคอร์นส่ายหน้าเบา ๆ
"ฉันเองยังไม่รู้เลยว่าเขาหมายความว่าอะไร เพราะพูดจบเขาก็เดินหนีไปดื้อ ๆ เลย"
"แล้วหลังจากนั้น เธอได้พูดคุยกับเขาอีกมั้ย"
"ไอ้พูดน่ะก็ได้พูดหรอก แต่แค่สองสามคำทุกที ไม่เคยได้พูดกันยาว ๆ สักครั้ง แต่ก็นะ มันทำให้ฉันยิ่งรู้สึกได้ว่าตัวเองรักเขามาก มากถึงขนาดที่คิดว่า ชีวิตนี้รักใครไม่ได้อีกแล้ว เพราะทุกครั้งที่คุยกันแม้ว่าจะแค่สองสามคำแต่ฉันรู้สึกได้ว่าเขาแสนดีจริง ๆ"
ป๊อบคอร์นเงียบไปอีก คราวนี้เชอแตมสังเกตเห็นได้ถึงแววตาที่แสนทรมานคู่นั้นของเจ้าหล่อน เรื่องราวที่จะได้ฟังต่อไปนี้ เธอรู้สึกว่ามันคงเข้าสู่โหมดดราม่าแล้ว
"ฉันแอบรักเขาตั้งแต่ม.สี่ เนิ่นนานจนกระทั่ง ม.หก เทอมหนึ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันพยายามคิดทบทวนอยู่ตลอดว่าฉันจะบอกเขาดีมั้ย ถ้าบอกไปแล้วเขาปฏิเสธ ฉันจะรู้สึกยังไง ใช่ มันอาจจะเจ็บ แต่ฉันไม่รู้เลยว่า ฉันจะเจ็บมากแค่ไหน ลึก ๆ แล้วฉันกลัวมากเลยนะ กลัวว่าตัวเองจะเจ็บจนไม่เป็นผู้เป็นคน แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่า ถ้าบอกไปแล้วผิดหวัง อย่างน้อยฉันก็ได้บอกให้เขาได้รู้แล้ว ชีวิตคนเรามันสั้น รู้สึกอะไรกับใครก็ควรบอกดีกว่า ถ้าโชคดี เขาก็อาจจะรับรักฉันก็ได้"
ป๊อบคอร์นเงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยออกมาอีกว่า
"แล้ววันที่ฉันได้เห็นธาตุแท้ของเขาก็มาถึง"
แววตาที่แสนทรมานดวงนั้นเปลี่ยนเป็นดวงตาที่เย็นชา ไร้ความรู้สึกลงไปในทันใด
"ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะบอกความในใจกับเขา ก่อนที่ฉันจะไม่มีโอกาสได้บอกเขา หากเราจะแยกย้ายกันไปเรียนมหาวิทยาลัยหลังจากจบม.หก ซึ่งเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลย วันที่ 26 กันยายนของเทอมหนึ่ง ม.หกฉันไปดักรอเขาที่ห้องสอบ..."
ป๊อบคอร์นยืนนิ่งเงียบ รู้สึกได้ว่าหน้าอกตัวเองสั่นสะเทือนเพราะอัตราการเต้นของหัวใจที่ค่อย ๆ มากขึ้น ๆ แปรผันตรงกับเวลาที่กำลังจะหมดคาบของการสอบวิชาคณิตศาสตร์ของเขา หญิงสาวยืนหลบมุมในมือถือช่อดอกกุหลาบสีแดงสดขนาดกำมือ เจ้าหล่อนแง้มมองถี่ ๆ ว่าเมื่อไหร่หลุยส์จะเดินออกมา จนในที่สุด เขาก็เดินออกมาจากห้องสอบเป็นคนแรก
ป๊อบคอร์นสูดหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกเอาความกล้าออกมา ช่วงเวลาที่ปล่อยลมหายใจออก เธอก็แวบออกมาจากมุมหลบแล้วยื่นมือส่งดอกไม้ให้เขาทันที หลุยส์ชะงักเท้ากึกเพราะโดนหญิงสาวขวางทางไว้ เขามองนิ่งไปที่ดอกไม้ในมือของเธอ
"ฉันชอบนาย" ป๊อบคอร์นพูดทันทีโดยไม่รอให้เวลาล่วงเลยจนหมดความกล้า หลุยส์มองหน้าเธอนิ่ง แววตาแทบอ่านไม่ออกว่าคิดอย่างไรอยู่ "ฉันชอบนายมานานแล้ว ชอบตั้งแต่ม.สี่ จนกระทั่งตอนนี้"
เมื่อคำว่า 'ชอบ' หลุดออกมาจากปากได้ ความโล่งใจก็ตามมา และคำพูดอื่นก็พรั่งพรูตามมาติด ๆ
"ฉันชอบนายมากจนรู้สึกได้ว่า ฉันคงจะไม่มีหัวใจให้ใครอีกแล้ว" นี่คือความรู้สึกแท้จริงที่เธอเก็บสะสมมานาน "ฉันอยากให้นายรับกุหลาบช่อนี้ไป ถ้านายไม่ได้รู้สึกตรงกับฉัน ก็เก็บดอกกุหลาบช่อนี้ไว้เพื่อระลึกถึงฉันก็พอ"
หลุยส์นิ่งเงียบไม่ตอบกลับเธอเลยสักคำ เขาค่อย ๆ ยื่นมือมารับดอกไม้ เอาไปนิ่งมองเงียบ ๆ ป๊อบคอร์นยืนยิ้มน้อย ๆ เพราะความรู้สึกโล่งและรู้สึกดีเหมือนได้ก้าวเข้ามาใกล้เขานิดหนึ่งแม้ว่าเขาไม่ปริปากบอกความรู้สึกใด ๆ กับเธอเลย
แต่ในวินาทีต่อมา เขาก็ทำบางอย่างที่ทำให้เธอต้องยืนนิ่งแข็งทื่อเป็นก้อนหิน ไร้ความรู้สึกไปหมดทั่วร่างกาย ก้าวขาไม่ออกซ้ำอ่อนแรงจนต้องล้มลงไปนั่งกับพื้น
หลุยส์เดินเอื่อย ๆ ไปที่ถังขยะใกล้ ๆ แล้วทิ้งดอกกุหลาบช่อนั้นลงไปดังตุ้บ ก่อนจะหันหน้ามามองเธอด้วยแววตาเย็นชา พร้อมคำพูดสั้น ๆ ว่า
"ไร้สาระ"
แล้วเขาก็เดินจากไป
ความรู้สึกในตอนนั้น มันยังชัดเจนจนถึงตอนนี้ที่หญิงสาวกำลังนั่งอยู่ในห้องของเชอแตม ขาที่ทรุดลงเพราะไม่สามารถรับน้ำหนักตัวได้ไหว หัวใจที่กระตุกนิ่งเหมือนตายแล้ว เธอไม่ได้ร้องไห้ ไร้เสียงสะอื้นโอดครวญใด ๆ ไร้ซึ่งความเศร้าโศกทางกายภาพ เวลาผ่านไปหลายนาทีจนนักเรียนคนอื่น ๆ ทยอยออกมาจากห้องสอบ เจ้าหล่อนก็แทบไม่รับรู้ว่าตัวเองนั่งขวางทางการจราจรของคนอื่น ๆ อยู่ เมื่อเสียงหนึ่งที่เธอไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดเอ่ยเตือนให้เธอลุกขึ้น หญิงสาวก็ลุกขึ้นราวกับหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนคำสั่ง แล้วเดินเอื่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จุดหมายราวกับคนไร้วิญญาณ จนกระทั่งมาหยุดที่สวนสาธารณะหลังโรงเรียน
วินาทีนั้น น้ำตาก็ไหลลงมาราวกับสายน้ำเชี่ยวกราด มือน้อย ๆ กุมหัวใจตัวเองเหมือนต้องการความมั่นใจว่ามันยังเต้นอยู่หรือไม่ แน่นอนว่ามันยังเต้น แต่ทำไมมันรู้สึกเจ็บเหมือนจะขาดใจตายลงเดี๋ยวนั้น
ความเงียบปกคลุมทั้งห้อง เชอแตมมองไปที่เพื่อนรักด้วยแววตาสลด เมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลลงมาเป็นสายของเจ้าหล่อน ไร้เสียงสะอื้น แต่รับรู้ได้ ว่าเจ็บกว่าการคร่ำครวญ เธอยื่นมือไปแตะไหล่เพื่อนรักเบา ๆ
ซึ่งขณะนั้นอีธานก็กำลังมองทั้งคู่อยู่ด้านนอกด้วยความรู้สึกสลดลงไปเช่นกัน
