Episode 03: Father or mother?【1】
แต่คิด ๆ ดูแล้ว ที่อาร์พูดก็ถูก ผมไม่ควรมากังวลเรื่องยังไม่ได้ตั้งชื่อลูก ตอนนี้ที่น่ากังวลควรเป็นเรื่องที่ว่าผมกับอาร์จะทำยังไงกับไข่ในตัวผมมากกว่า
ผมนิ่ง รอดูว่าอาร์ที่กำลังกระสับกระส่ายจะทำยังไงต่อไป แต่ครู่เดียวเขาก็ตั้งสติได้ ก่อนจะถามผมเสียงเครียด
“นี่พูดจริงใช่มั้ย? ไม่ได้ล้อเราเล่นนะ?”
ผมพยักหน้า คราวนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ อาจเป็นเพราะเขารู้ว่าผมไม่ใช่คนที่จะมาพูดเล่นอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยเป็นผู้พิทักษ์ และมีจูเลียนมายืนยันเมื่อครู่ด้วยก็ได้ อาร์เลยยื่นมือมาคว้าแขนผม แล้วลากออกจากโรงอาหารอย่างรวดเร็ว
ลากผมอย่างเดียวไม่พอ ยังลากจูเลียนที่กำลังจัดการอาหารกลางวันของตัวเองกลับมายังบ้านพักด้วย จูเลียนบ่นกระปอดกระแปดนิดหน่อยที่ยังไม่ทันจะได้กินอาหารสักคำก็โดนลากมาช่วยแก้ปัญหาแล้ว หากแต่อาร์ไม่สน ดันผมกับจูเลียนเข้ามาในห้องได้ ก็ล็อคประตู กอดอก ถามเสียงเครียด
“อธิบายมาซิคีตาว่าเมื่อไหร่ ยังไง”
“อะไรคือเมื่อไหร่ ยังไง”
“เราหมายถึงเราไปวางไข่ใส่นายเมื่อไหร่ แล้วก็วางไข่ได้ยังไง ทำไมถึงมาเข้าใจอะไรยากตอนนี้ฮะ” ปลายประโยคกระชากเล็กน้อยคล้ายหงุดหงิดที่ผมแสร้งโง่
ความจริงผมไม่ได้แกล้งโง่นะ ผมแค่อยากให้อาร์ใจเย็นลงก่อนจะคุยกันเฉย ๆ แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ควรจะมาใจเย็นแล้วก็เถอะ แต่ใจร้อนไปมันจะได้อะไรล่ะ ค่อย ๆ คุยกันแหละดีแล้ว พ่อคีธก็สอนผมมาอย่างนี้เพราะเวลามีเรื่องอะไร เขาก็เงียบสงบสยบความเคลื่อนไหวก่อนตลอด
ถ้าไม่ใจเย็น แล้วจะอยู่กับพ่อกวินทร์ที่ใจร้อนขนาดนั้นได้หรือไง
จูเลียนหัวเราะนิดหน่อย พลันกระทุ้งข้อศอกใส่ผมเป็นเชิงให้เปิดปากเล่าเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่มองหน้าอาร์
“ก็เมื่อคืนนี้นายท้าดวลดื่มวอดก้าจนเมา ฉันเลยพานายขึ้นมานอน จากนั้นนายก็ดึงฉันเข้าไปจูบ แล้วก็วางไข่”
อาร์ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อที่ผมพูดฉับพลัน
“จู่ ๆ ก็ดึงไปจูบเนี่ยนะ”
ผมพยักหน้า เขายิ่งทำหน้าไม่เชื่อเข้าไปใหญ่
“ไม่มีเหตุผลเลย ทำไมจู่ ๆ เราจะต้องดึงนายเข้าไปจูบด้วย”
ผมคิดว่าเขาคงจะจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็ไม่ได้ใส่ใจนักหรอก จะไปเอาอะไรมากกับคนเมาล่ะ ก็เลยพูดลอย ๆ
“ฉันก็ไม่รู้ ก่อนจูบ นายบอกว่าเพราะพ่อกวินทร์ นายเลยไม่ได้วางไข่ใส่ฉัน แล้วที่เหลือก็เป็นอย่างที่เห็น”
พูดไปอย่างนั้น จูเลียนก็ทำหน้าสงสัยขึ้นมาทันใด ขณะที่อาร์เริ่มหน้าแดงรื้นขึ้นมา
“หมายความว่ายังไงที่ว่าเป็นเพราะลุงกวินทร์เลยไม่ได้วางไข่น่ะ”
ผมกำลังจะบอกให้จูเลียนหันไปถามอาร์ แต่อาร์ก็โพล่งขึ้นมาก่อนแล้ว
“จะ...จะอะไรก็ช่าง! เอาเป็นว่าพวกเรารีบมาช่วยกันคิดกันก่อนว่าจะเอาไงต่อไปก่อน เรื่องอื่นช่างมัน!”
ไม่รู้ทำไมอาร์จะต้องโวยวายด้วย แต่ก็เอาเถอะ เขาคงไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้นสักเท่าไหร่ ดีนะที่ผมไม่เล่าว่านอกจากจูบแล้ว เขาก็พยายามจะปล้ำผมด้วย ไม่อย่างนั้นล่ะก็ คงได้โวยวายมากกว่านี้แน่
“งั้นอันดับแรกเลย นายต้องคิดให้ออกว่าไข่ที่นายวางใส่คีตาไป เป็นไข่สำหรับการสร้างร่างใหม่หรือไข่ผสมน้ำเชื้อ ถ้าเป็นไข่เปล่า ๆ นั่นก็ไม่น่ามีปัญหา แต่ถ้าเป็นไข่ผสมน้ำเชื้อล่ะก็ เรื่องใหญ่แน่” จูเลียนเสนอขึ้นมา
อาร์นิ่งคิดไป อย่างที่บอกว่าผมคิดว่าเขาจำไม่ได้ เขาเลยไม่ตอบในทันที ให้จูเลียนได้ถามย้ำอีกครั้ง
“ว่าไง ตกลงได้ผสมน้ำเชื้อหรือเปล่า”
“ระ...เราจำไม่ได้” อาร์ว่าออกมาตามตรง ใบหน้าเรื่อแดงก่อนหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด
จูเลียนถอนหายใจจนไหล่ยกน้อย ๆ
“งั้นก็ช่วยไม่ได้ คงต้องรอดูอาการของคีตาต่อไป เพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากลิ่นของไข่สำหรับการสร้างร่างใหม่ของพวกยูนิกมาต่างหรือเหมือนกับไข่สำหรับการสร้างทายาทยังไง จากนี้ก็คงต้องเสี่ยงดวงกันละ”
อาร์หน้าซีดไปทันตาเมื่อได้ยินอย่างนั้น ผมเองก็จนปัญญาจะช่วย ขนาดผมยังเอาตัวเองไม่รอด
บรรยากาศภายในห้องตกอยู่ใต้แรงกดดันมหาศาลอย่างไร้เหตุผลเพราะไม่มีใครพูดอะไร ทำเอาจูเลียนซึ่งเป็นคนกลางทำลายความเงียบขึ้นมาราวกับอดทนไม่ได้
“อย่าเพิ่งเครียดกันน่า มันอาจจะเป็นไข่เปล่า ๆ ก็ได้ แต่เตรียมตัวรับมือไว้ก่อนก็ดี เผื่อว่าจะเป็นลูกของพวกนายจริง ๆ แล้วนี่พวกนายตกลงกันหรือยังว่าใครจะเป็นพ่อเป็นแม่?”
ผมสัมผัสได้เลยว่าจูเลียนพยายามจะทำให้สถานการณ์มันดีขึ้น และผมก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พอสิ้นเสียง ผมก็ยกมือทันใด
“เป็นพ่อ”
อาร์ตวัดดวงตาเรียวมาทางผมฉับพลัน ก่อนจะตรงมาคว้ามือผมลง
“เป็นพ่ออะไร เราต่างหาก”
“แต่ฉันยกมือก่อน”
“นายเป็นคนตั้งท้องก็เป็นแม่สิ!”
อุตส่าห์ให้เหตุผลแล้ว แต่อาร์ก็ไม่ยินยอมจะรับตำแหน่งแม่ ซึ่งที่เขาพูดก็ถูก ผมเป็นคนตั้งท้องก็มีแนวโน้มที่จะเป็นฝ่ายแม่
ก็นะ ถ้าผมยอมรับบทบาทนั้น ก็เท่ากับว่าถ้าผมกับอาร์ต้องผูกพันกันขึ้นมาสักวัน ผมต้องเป็นฝ่ายรับรองความต้องการ แต่พ่อคีธเคยพูดไว้นี่ว่าผมจะต้องเป็นฝ่ายกดเท่านั้น แล้วมันเรื่องอะไรที่ผมจะต้องไปยอมล่ะ ถึงอีกฝ่ายจะเป็นเจ้าชายก็เถอะ ครั้งก่อนผมก็ยอมไปทีหนึ่งแล้วถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ คราวนี้ ผมไม่ยอมหรอก
ผมก็เลยหันไปมองหน้าอาร์ด้วยสายตาจริงจัง ทำให้อาร์ถามผมเสียงแข็ง
“อะไร ไม่พอใจหรือไง”
ผมพยักหน้า อาร์ถอนหายใจ แล้วยกมือขึ้นกอดอก
“แล้วนายจะเอายังไง”
ผมยกกำปั้นข้างหนึ่งขึ้นสูง อาร์เลิกคิ้วมองผมอย่างสงสัย พลันเปลี่ยนเป็นย่นคิ้วฉับพลันเมื่อผมว่าออกมา
“เป่ายิงฉุบ ใครชนะได้เป็นพ่อ”
“นี่นายอายุสิบขวบหรือไง เราไม่เป่าอะไรทั้งนั้น!”
โวยวายมางี้ ผมก็ชักขัดใจ ยิ่งอาร์พูดขึ้นมาอีก ผมก็เผลอถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว
“เราจะเป็นพ่อ”
โอเค อยากเป็นก็เป็น แต่พิจารณาจากรูปร่างที่ตัวสูงแค่ระดับสายตาผมแล้ว ผมก็อดคิดไม่ได้เลยว่าเขาจะเอาอะไรมาปกป้องลูกของเราถ้าเกิดมีเรื่องคอขาดบาดตายขึ้นมา
“แต่เราจะรับเป็นพ่อก็ต่อเมื่อนายมีลูกของเราในตัวนายจริง ๆ ตราบใดที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าไข่ของเราที่อยู่ในตัวนายเป็นไข่ผสมน้ำเชื้อ เราก็ยังไม่รับเป็นพ่อหรอกนะ”
อาร์สำทับปิดท้าย ทำเอาทั้งผม ทั้งจูเลียนหันไปมองขวับ ขณะที่อาร์เบือนหน้าหนีไปทางอื่นพร้อมกับทำสีหน้ารำคาญ
เออ ช่างเถอะ ไม่รับตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ผมเองก็ไม่อยากให้อาร์มายอมรับเป็นพ่อหรอก ผมอยากเป็นฝั่งพ่อเองมากกว่า ที่สำคัญ พวกเราก็ยังไม่รู้ชัดเจนว่าไข่ในตัวผมเป็นไข่ทายาทจริงหรือเปล่า เรื่องอื่นก็ยังไม่ต้องไปกังวลหรอก
อะไรไม่ว่า จู่ ๆ อาร์ก็พูดขึ้นมาอีกให้ผมได้ขมวดคิ้วด้วย
“แต่ถ้าในตัวนายมีลูกของเราจริง บอกไว้ก่อนนะว่าเราจะยอมรับลูกของเรามาดูแลเท่านั้น สำหรับนาย เป็นผู้พิทักษ์ยังไงก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น เราไม่รับมาเป็นพระชายาหรอกนะ เรากับนายมันคนละชนชั้นกัน”
ตามใจเถอะ ไม่ได้ผูกพันกันนี่ และผมก็ไม่อยากเป็นทั้งแม่พันธุ์ ทั้งพระชายาด้วย
อา... ผมเริ่มเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมพ่อกวินทร์ถึงไม่อยากให้ผมมารับหน้าที่ดูแลอาร์ในฐานะผู้พิทักษ์ กลัวถูกข่มอย่างนี้นี่เองสินะ
เพราะไม่รู้ว่าเป็นไข่สำหรับสร้างทายาทจริงหรือเปล่า จูเลียนเลยอาสาติดต่อไปยังลุงเจเนซิสให้เพื่อถามหาข้อมูล แต่ก็ไม่รู้ว่าสวรรค์แกล้งหรือยังไง ลุงเจเนซิสมีกิจธุระให้เดินทางไปยังดาวอื่นอีก เลยทำให้ติดต่อไม่ได้ ครั้นจะติดต่อไปยังลุงแอสตัน อาร์ก็ไม่อนุญาตด้วยเกรงว่าเรื่องที่เขาทำกับผมจะทำให้เกียรติของลุงแอสตันในฐานะกษัตริย์เสื่อมเสีย ส่วนพ่อกวินทร์...
ไม่ต้องให้อาร์สั่งห้าม ผมก็ไม่มีวันบอกเขาหรอก ไม่งั้นได้มีระเบิดลงมหาวิทยาลัยแน่
หลังจากที่แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ได้แต่รอดูอาการของผมเท่านั้น จูเลียนก็ขอตัวกลับไปพักผ่อนที่ห้อง ผมกับอาร์ก็ไม่คุยอะไรกันต่อจากนี้ ไม่ใช่ว่าผมไม่คุย ผมทำตัวตามปกติแหละ จะมีก็แต่อาร์เท่านั้นที่ไม่ยอมเปิดปากคุยกับผม
ไม่คุยไม่พอ ยังจะเป็นฝ่ายรู้สึกกดดันเองด้วยทั้งที่มีแต่เขาที่ทำให้บรรยากาศมันแย่ สุดท้ายเขาก็ย้ายไปนอนห้องจูเลียน ทิ้งให้ผมนอนอยู่ที่ห้องคนเดียว
ความจริงผมกะว่าจะหาจังหวะถามเขาสักหน่อยว่าที่เขาพูดก่อนจะวางไข่ใส่ผมว่า เป็นเพราะพ่อกวินทร์ เขาเลยไม่ได้วางไข่ใส่ผมอะไรนั่น มันหมายความว่ายังไง แต่ในเมื่อลงเอยอย่างนี้ ก็เอาไว้ก่อนแล้วกัน ไว้หาโอกาสถามคราวอื่นก็ได้
และแน่นอนว่าคืนนี้ผมก็นอนไม่หลับอีกเช่นกัน จากที่คิดว่าอ่อนเพลียแล้วน่าจะหลับได้ง่าย ๆ แต่เอาเข้าจริง ลึก ๆ ในใจผมก็เป็นกังวลจนข่มตาไม่ลง รุ่งเช้าผมเลยไปเรียนวันแรกด้วยท่าทางสะโหลสะเหล จูเลียนซึ่งออกจากห้องมาพร้อมอาร์ เห็นผมแล้วก็ร้องถามอย่างเป็นห่วงด้วยเขาเห็นว่าสีหน้าผมดูไม่ดี ผมก็ปฏิเสธไปตามเรื่องว่าไม่เป็นอะไร ส่วนอาร์ก็ไม่ต้องถามถึง ไม่แม้แต่ละแลตามองผมเลยเถอะ เดินพรวด ๆ ไปที่ตึกเรียนโดยไม่รอผมสักนิด
เห็นท่าทางอย่างนั้น ถึงจะเป็นผู้พิทักษ์ แต่ผมก็ไม่ได้มีจิตวิญญาณเสียสละอะไรขนาดนั้นเพราะไม่ได้เกิดและเติบโตที่ยูนิกมา การสั่งสอนเพื่อรับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ก็ล้วนผ่านทางพ่อคีธทั้งนั้น ไม่ได้รับการอบรมอย่างจริงจังเหมือนผู้พิทักษ์คนอื่น ๆ เลยทำให้ผมไม่อยากจะตามอาร์ไปสักเท่าไหร่นัก แต่มันเลี่ยงได้มั้ยล่ะ...ไม่
ก็ตอนที่ลงทะเบียนเรียน นอกจากจะเรียนคณะเดียวกันแล้ว พ่อคีธยังจัดการจับผมยัดลงวิชาเรียนเหมือนกับอาร์ทุกวิชาอีก เท่ากับว่าไม่ว่าจะตื่น จะนอน จะไปเรียน หรือจะทำอะไร ล้วนแล้วผมต้องตามติดอาร์ทั้งสิ้น
ถ้ารู้อย่างนี้นะ ผมคงไม่เออออไปกับพ่อคีธแต่แรกหรอก คิดผิดชะมัด
เดินเข้ามาในห้องเรียน ก็เห็นอาร์ไปยืนรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ร่วมชั้น ผมที่ตามเข้าไปทีหลังประหลาดใจนิดหน่อยที่เห็นว่าห้องเรียนนี้ไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง ก่อนจะฉุกใจคิดขึ้นมาได้ว่ามันเป็นคลาสเรียนการแสดงละครเวที เลยกระเถิบไปยืนหลบมุมด้วยเกรงว่ารูปร่างสูงใหญ่ของผมจะบดบังคนอื่น
ไม่นาน อาจารย์ประจำวิชาก็เข้ามาอธิบายวิธีการเรียนวิชานี้ รวมถึงสอนทักษะพื้นฐานการแสดงต่าง ๆ อย่างคร่าว ๆ ผมก็ฟังบ้าง ไม่ได้ฟังบ้างด้วยรู้สึกอ่อนเพลียขึ้นมา
ไม่ได้นอนมาสองคืนติดกันก็ต้องอ่อนเพลียอยู่แล้ว แต่ไม่ควรจะอ่อนเพลียถึงขนาดตาจะปิดขนาดนี้ ผมรู้ลิมิตร่างกายตัวเองดีว่าการไม่ได้นอนหลายคืนติดกัน ไม่ได้ทำให้ลูกครึ่งยูนิกมาที่ได้รับความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายมาสะทกสะท้านได้หรอก
แต่คราวนี้มันแปลก...
หรือจะเป็นเพราะผมท้อง?
เดี๋ยว... อาจจะไม่ใช่ ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นไข่อะไรนี่ มันอาจจะเป็นเพราะความเครียดระคนความกังวลก็ได้ที่ทำให้ผมอ่อนเพลียมากกว่าปกติ ก็ผมแทบไม่เคยเครียดเลยนี่ มาเจอเรื่องใหญ่แบบนี้ อาจคิดมากจนร่างกายปรับสภาพรับความเครียดไม่ทันก็ได้
จากตอนแรกที่คิดว่าทนได้ ตอนนี้ผมเริ่มวิงเวียนขึ้นมาน้อย ๆ แล้ว ดีที่อาจารย์จบคลาสเร็วเพราะเป็นคาบแรก ผมเลยตั้งใจว่าจะรีบกลับไปพักผ่อน ทว่าผมก็กัดฟันทนต่อด้วยจู่ ๆ อาจารย์ก็ให้นักศึกษารุ่นพี่ที่เรียนวิชานี้ด้วยเข้ามาคัดเลือกตัวนักแสดงที่เป็นโครงการให้พวกปีหนึ่งทำร่วมกันเสียอย่างนั้น
ผมหลบไปยืนที่มุมห้อง ปล่อยให้บรรดารุ่นพี่เลือกนักแสดงไป เห็นแวบ ๆ ว่าอาร์ก็ถูกรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งทาบทามให้ไปรับบทเป็นตัวร้ายอย่างทิบอลท์ในเรื่อง ‘โรมิโอกับจูเลียต’ ด้วย
เหลือบไปมองก็เห็นสีหน้าของเรียบเฉย หากแต่แววตาส่อชัดเจนว่ารำคาญ ผมว่าเขาต้องไม่ตกปากรับคำแน่ แต่เอาจริง ๆ ผมว่าเขาก็เหมาะกับบทนี้ดีนะ หน้าตาดูร้ายกาจ ชวนให้น่าหมั่นไส้ใช่เล่น
นึกขำทั้งที่สังขารตัวเองก็ไม่ค่อยจะดี ผมเลยยกมือขึ้นคลึงขมับไปมาเพื่อบรรเทาอาการมึนหัว หากแต่ผมเองก็ไม่รอดจากสายตารุ่นที่เดินเข้ามาหาผม พร้อมกับพ่นคำถามเป็นการใหญ่
“นายชื่ออะไร” น้ำเสียงทุ้มดังขึ้น
ผมเหลือบมองก็เห็นว่าเป็นผู้ชายรูปร่างสันทัดพอกันกับอาร์ตรงหน้า หน้าตาเขาก็น่ารักดี ดูสำอาง แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะมาสนใจอะไรแล้ว ได้แต่ตอบส่ง ๆ
“คีตา”
“โอเคคีตา ฉันว่ารูปร่างนายดีมากเลยนะ บุคลิกก็ได้ หน้าตาก็ดี สนใจมาออดิชันรับบทเป็นโรมิโอมั้ย”
“ไม่”
ผมตอบโดยไม่หยุดคิด ทำเอาคนถามชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเขาจะหัวเราะแล้วตีแขนผมเบา ๆ
“ไม่เอาน่า อย่าปฏิเสธไร้เยื่อใยแบบนี้สิ ลองดูหน่อยมั้ย ฉันว่านายน่าจะผ่านได้ง่าย ๆ เลยนะ หล่อขนาดนี้”
“ไม่เอา”
ผมปฏิเสธอีก แล้วเขาก็คะยั้นคะยออีก อ้างเหตุผลนี่นั่นมาพูดให้ผมรำคาญขึ้นมาตงิด ๆ พูดคนเดียวไม่พอ ลากเพื่อนมาช่วยกันเกลี้ยกล่อมผมด้วย
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รำคาญคนพวกนี้จนเกือบจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ พลันรีบตอบรับไปส่ง ๆ ก่อนที่ผมจะทนไม่ไหว
“ก็ได้ แล้วก็เงียบกันหน่อย ฉันปวดหัว”
เท่านั้น เสียงจอแจเมื่อครู่ก็เงียบลง รุ่นพี่คนอื่น ๆ พากันแยกย้ายไปคุยกับรุ่นน้องที่ทาบทามไว้ต่อ จะมีก็แต่ผู้ชายคนนั้นที่หัวเราะน้อย ๆ ในลำคอ
“มนุษยสัมพันธ์ไม่ค่อยดีเลยนะคีตา โดนรุมแล้วเกร็งหรือไง”
ผมไม่ตอบ เอาแต่มองหน้าเขา เขาเลยพูดขึ้นมาอีก
“งั้นสุดสัปดาห์นี้เจอกันที่ห้องชมรมละครเวทีนะ เวลาก็ตามที่ระบุในกำหนดการ ถ้ามีอะไรสงสัยก็โทรหาฉันได้ ฉันเขียนเบอร์ลงไปให้แล้ว” ว่าแล้วก็ยัดแผ่นกระดาษขนาดเอสี่ลงมาในมือผม
ผมยกขึ้นปรายตาดูก็เลยรู้ว่าเขาชื่อโทนี่ ก่อนเขาจะยื่นมือมาให้ผมจับทักทาย
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคีตา”
“อืม”
ผมไม่จับมือ ขานรับแค่นั้น โทนี่ก็เลยดึงมือกลับไปอย่างเก้อ ๆ แล้วตัดบท
“งั้นฉันขอตัวก่อนแล้วกัน หวังว่านายจะมาตามนัดนะ”
ผมพยักหน้าน้อย ๆ พอรอดพ้นจากการถูกรุมแล้ว ผมก็ตัดสินใจจะกลับไปพักที่ห้องโดยไม่สนใจจะเข้าเรียนในคาบบ่ายแต่อย่างใด ไม่สนใจแม้แต่อาร์ที่ยังถูกรุ่นพี่รุมเหมือนกับผมก่อนหน้าด้วย เดินออกจากห้องไปทันที
ระหว่างทางที่เดินกลับ ผมไม่อาจเดินทรงตัวให้ตรงได้เลย เดินไปก็เซไปจนต้องหยุดพักเป็นระยะ ๆ ในใจคิดจะเรียกให้จูเลียนมาช่วยแล้ว แต่ก็เกรงใจด้วยจูเลียนเป็นถึงเจ้าชาย แม้จะเป็นเพื่อนกันแต่ผมก็ไม่อยากจะรบกวนเขาเท่าไหร่นัก แต่ร่างกายผมมันไม่ไหวจริง ๆ ผมเลยค่อย ๆ พาตัวเองเดินไปยังม้านั่งตัวหนึ่ง กะว่าจะพักก่อนแล้วค่อยออกเดินต่อ ตอนนี้มึนหัวมากจนทำอะไรไม่ไหวแล้ว
ทว่าในจังหวะที่ผมกำลังจะเดินไป จู่ ๆ ร่างของใครบางคนก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า ทำให้ผมต้องทอดสายตาไปมอง พอเห็นว่าเป็นอาร์ที่มองผมด้วยสีหน้านิ่งเฉย ผมก็กัดฟันเดินตรงไปเกาะเสาป้ายบอกทางที่อยู่ใกล้ ๆ แทน
“ไม่เข้าเรียนคาบบ่ายหรือไง” เขาเป็นฝ่ายชิงถามผมก่อน
ผมพยักหน้า ก่อนเขาจะว่าเสียงต่ำ
“ไร้ความรับผิดชอบ”
ครับ... จะว่าอะไรก็เอาเถอะ ผมไม่สนใจแล้ว อยากกลับไปพักจะแย่แล้วล่ะ
“ถ้าจะบ่นตอนนี้ล่ะก็ เอาไว้คราวหลังนะพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย” ผมแสร้งว่าด้วยรำคาญ
แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ขี้รำคาญง่ายขนาดนี้ทั้งที่ปกติไม่เคยเป็นเลย ซ้ำยังแสร้งเรียกอาร์ด้วยสรรพนามเป็นทางการราวกับประชดประชันอีก
อาร์ทำหน้าไม่พอใจ คงคิดอยากจะต่อว่าผมเหมือนกัน แต่เพราะจู่ ๆ ผมที่ยันตัวเองไว้ก็เกิดหน้ามืดขึ้นมาฉับพลัน ทำให้แข้งขาอ่อนขึ้นมาจนเกือบล้ม อาร์เลยร้องถามผมด้วยน้ำเสียงกึ่งตกใจขึ้นมาทันที
