บทที่ 24 ลงเรือลำเดียวกัน
เอรอสเลือกซื้อเสื้อผ้าและผ้าคลุมไหล่สีเขียวให้เธออีกผืนหนึ่งไว้ป้องกันลมหนาว เมื่อซื้อของครบแล้ว ชายหนุ่มก็พาหญิงสาวไปที่ท่าเรือซึ่งกะลาสีกำลังประกาศขายตั๋ว เรือสามลำที่จอดเรียงกันอยู่นี้ ลำแรกเป็นเรือที่มาจากเซก้าเพิ่งจะมาถึงและถ่ายสินค้าลง กว่าจะขนสินค้าแลกเปลี่ยนกลับไปที่นั่นอีกครั้งก็กินเวลาเป็นเดือน ลำที่สองเป็นเรือที่จะไปบูมัล ส่วนลำที่สาม เป็นเรือเล็กของมาทิลดา สำหรับให้ชาวประมงเช่าออกไปจับปลา
ชายหนุ่มไม่รอเรือของเซก้า เพราะมีผู้ประสงค์ชีวิตของคารินตามมาข้างหลัง เขาจะพาเธอไปที่บูมัลก่อน จากนั้นจึงจะเดินเท้าไปที่เซก้าอีกที
เรือลำนี้เป็นเรือใบขนาดกลาง ใต้ท้องเรือแบ่งเป็นห้องพักเพียงแค่สิบห้องเท่านั้น เพราะบูมัลเป็นประเทศที่แห้งแล้งจึงไม่ค่อยมีใครนำสินค้ามาขาย ต่างจากเซก้าที่กว้างใหญ่ไพศาลและเป็นมหาอำนาจทางทิศตะวันออก ทรัพยากรทางธรรมชาติอุดมสมบูรณ์มากก่วา มีเรือโดยสารและเรือสินค้าหลายร้อยลำ
“เจ้าเคยขึ้นเรือหรือเปล่า?” เขาเก็บสัมภาระใส่ตู้ หลังจากที่ได้ห้องพักแล้ว หากมาช้ากว่านี้อาจต้องนอนรวมกันอยู่ข้างนอกเหมือนผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้องพักหรือมาช้าจนห้องเต็ม
“ไม่” คารินส่ายหน้าหลังจากนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง เธออาจจะเคยขึ้นตอนเด็กๆ แต่ก็จำไม่ได้แล้ว
“งั้นก็กินยานี่ซะ จะได้ไม่เมาเรือ” เขาหยิบยาแก้เมาเม็ดเล็กๆ ยัดเข้าไปในปากของเธอแถมด้วยการป้อนน้ำอีกอึกใหญ่ แล้วก็หันไปง่วนกับการจัดข้าวของเครื่องใช้ต่อ
คารินปัดขี้ฝุ่นแล้วเอาผ้าห่มที่เคด้าและเบลล่าให้มาปูบนฟูกหนา สิ่งนี้อยู่เคียงข้างเธอกับเอรอสมาหลายวันจนรู้สึกผูกพันกับมันแล้ว ซึ่งไอ้ความรู้สึกนี้ล่ะที่เธอเกลียดนักหนา เพราะถูกเลโกลัสทอดทิ้งอยู่บ่อยๆ ทำให้เธอเกลียดและกลัวการพลัดพราก พออยู่กับอะไรนานๆ และรู้สึกว่ามันเริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ก็ไม่อยากจะให้มันหายไปไหน และเธอคิดว่าความรู้สึกนั้นเป็นความเห็นแก่ตัว เหมือนที่เธอกำลังรู้สึกกับเอรอสในตอนนี้ เพราะคิดถึงและต้องการพี่ชาย เธอจึงยึดเขาซึ่งเป็นแค่คนผ่านมาไว้เป็นที่พึ่งทางใจ ราวกับอยากจะให้เขาเป็นเลโกลัสจริงๆ
“ขอบ...ขอบ...คุณ...นะ...เอรอส” เธอลงมานั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ก้มศีรษะลงไปแล้วกล่าวคำขอบคุณเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ ดีใจที่สามารถเอ่ยคำๆ นี้ออกมาได้แล้ว แม้วันข้างหน้าจะต้องจากกันก็จะไม่เสียใจเลย
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก” เขาดึงไหล่เธอขึ้นแล้วดันตัวเธอให้ขึ้นไปนั่งบนฟูก ตัวเองนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างหน้า มองดวงตาใสซื่อที่สบมาแล้วก็คิดว่าน่าจะได้เวลาที่เขาควรจะถามเธอเกี่ยวกับเรื่องในวันนั้นเสียที
“เล่าเรื่องครอบครัวของเจ้าให้ข้าฟังบ้างสิ พ่อแม่ของเจ้า เลโกลัส คนอื่นๆ ที่เจ้ารู้จัก”
คารินยินดีที่จะเล่าเรื่องของเธอให้เขาฟัง ด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น แต่เอรอสก็ฟังอย่างตั้งใจ เธอกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เกิด มีเพียงพี่ชายที่เลี้ยงดูเธอมาตลอดสิบแปดปี เลโกลัสก็เหมือนพ่อค้าคนอื่นๆ ที่ต้องนำของออกไปขายที่เมืองท่า บางครั้งเขาก็ต้องทิ้งเธอไว้ตามลำพังเป็นเวลาหลายวัน เขาจะออกเดินทางกลางดึก ก่อนไปก็จะจุมพิตที่หน้าผากและให้สัญญาว่าจะกลับมา เธอชอบให้เขาทำแบบนั้นเพราะลมหายใจของเขาเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าเขาอยู่ใกล้ๆ ชีวิตของเธอราบเรียบและสงบสุข ภาระหน้าที่ประจำวันคือดูแลแปลงผักสวนครัวและสวนผลไม้ นั่งคุยกับเพื่อนบ้านยามเย็นและหัดเขียนหนังสือกับครูประจำหมู่บ้าน
จนกระทั่งวันที่โจรเข้ามาปล้นฆ่าผู้คน วันที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องร้ายๆ และทำให้ชะตาชีวิตของเธอและเขาต้องมาเกี่ยวพันกันโดยบังเอิญ
วันนั้น...ทุกคนต่างก็วิ่งกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง เธอวิ่งไปทางสวนหลังบ้าน ได้ยินแต่เสียงกรีดร้องของคนอื่นๆ และมีคนของพวกมันไล่ล่าตามมาอย่างกระชั้นชิด แม้จะร้องขอชีวิตแต่พวกมันก็ไม่ปราณีเลย เธอถูกทำร้าย ทุบตีอย่างโหดเหี้ยม ได้แต่ร่ำร้องตะโกนหาเลโกลัส แต่เขาก็ไม่มา
ฟื้นขึ้นมาอีกที...ก็เจอกับเอรอสแล้ว เธอคิดว่าตัวเองตายไปแล้วด้วยซ้ำ
เอรอสเดาว่าพี่ชายของเธอคงจะอายุมากกว่าเขาหลายปี อย่างน้อยตอนคารินเกิดมาก็ต้องมีวุฒิภาวะและความสามารถที่จะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งได้ และคงไม่ได้แต่งงานเพราะคารินบอกว่าพวกเธอมีกันอยู่เพียงสองคนและเป็นพี่น้องที่รักกันมาก
เธอไม่ได้พูดถึงเงาดำบนฟากฟ้า หรือปีศาจแห่งสงคราม แสดงว่าเธอไม่รู้เรื่องนั้นจริงๆ
ปี๊ด! ปี๊ด! ปี๊ด!
เสียงเป่านกหวีดเป็นสัญญาณว่าได้เวลาที่เรือจะออกจากท่าแล้ว ลูกเรือร้องบอกต่อกันเป็นทอดๆ ให้ถอนสมอได้ ก่อนที่เรือจะโคลงเคลงตามเกลียวคลื่นและเสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้โดยสารและคนที่มาส่งอยู่บนฝั่งตะโกนล่ำลากัน
คารินเดินไปเกาะขอบหน้าต่าง มองต้นไม้สีเขียวและผืนดินของมาทิลดาด้วยความอาลัยรัก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอต้องออกจากบ้าน ไปจากเกาะที่เคยอยู่อาศัยและไปอย่างไร้จุดหมาย เป็นครั้งแรกที่ต้องห่างจากพี่ชายเพียงคนเดียวที่เคยอยู่ด้วยกันมาสิบแปดปี สิ่งที่จะต้องทำในวันข้างหน้าคงไม่ใช่การร้องไห้คร่ำครวญ แต่จะต้องสู้และยอมรับในโชคชะตา ถ้าหากในภายภาคหน้าจะต้องกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง
“พี่จ๋า ข้าขอให้พี่ปลอดภัย...แล้วข้าจะกลับมาที่บ้านของเรา”
เห็นว่าเธอทอดสายตามองท้องทะเลหงอยๆ เอรอสก็เดินขึ้นไปข้างบนดาดฟ้าเรือเพื่อให้เธอได้อยู่กับตัวเอง ผู้โดยสารหลายคนที่ซื้อตั๋วไม่ทันหรือมีเงินไม่พอ จะถูกจัดที่นอนให้อย่างเป็นสัดส่วน ไม่ปะปนสำหรับคนอื่นๆ ที่ชอบหาลำไพ่พิเศษ เช่นการแข่งหมากรุก เล่นไพ่ งัดข้อ หรือกิจกรรมที่เจ้าของเรือจัดไว้สำหรับดูดเงินลูกค้า
โชคดีที่เสียงอึกทึกข้างบนไม่ดังลงไปถึงชั้นล่างเพราะเจ้าของเรือทำประตูกั้นตรงเชิงบันได ไม่อย่างนั้นคารินอาจจะนอนไม่หลับ
เขาล้วงเงินที่เหลือออกมานับดู ยังไงก็คงไม่พอสำหรับการเช่าเรือจาก บูมัลไปที่เซก้า จึงเดินเข้าวงงัดข้อซึ่งผู้โดยสารที่ชอบเสี่ยงโชคหลายคนกำลังส่งเสียงเชียร์และพนันขันต่อกันอย่างสนุกสนาน
“แน่ใจนะเจ้าหนุ่มว่าจะสู้น่ะ ไม่กลัวแขนหักเรอะ?” เจ้าของโต๊ะถามด้วยความไม่แน่ใจ เมื่อเขาแจ้งความประสงค์ว่าจะเข้าร่วมประลองด้วย
“ถ้าชนะข้าจะได้เงินเท่าไหร่?”
“ยกละสามร้อยออล และถ้าไม่แพ้ใครเลยจนกว่าจะหมดคู่ต่อสู้ เจ้าจะได้เพิ่มจากค่าต๋งอีกสามหมื่นออล ซึ่งที่ผ่านมามีคนทำได้แค่คนเดียว โน่น! เขายืนอยู่โน่น!”
เจ้าของโต๊ะพยักเพยิดไปทางชายหนุ่มผมหยักศกสีดำสนิทซึ่งยืนอยู่กับสตรีสาวสวยอีกคน
เอรอสหันไปมอง แล้วชายคนนั้นก็ยักคิ้วส่งยิ้มอันท้าทายมาให้
“อย่างน้อยก็ได้สามหมื่นออลต่อวันล่ะนะ” เอรอสพึมพำด้วยความพอใจ
“เฮ้! อย่าลำพองใจไป วันหนึ่งๆ คนเล่นเป็นร้อย ชนะให้ได้ถึงสิบคนก่อนเถอะ มันไม่หมูอย่างที่คิดหรอกนะ ถ้าจะเล่นก็วางเงินขั้นต่ำเลยสามร้อยออล”
“ตกลง ข้าขอเป็นคนต่อไปก็แล้วกัน”
กติกาที่เจ้าของโต๊ะอธิบายให้ฟังคือ การแข่งขันจะเป็นแบบแพ้คัดออก แข่งกันสามยก หากชนะได้สองในสามจะถือว่าชนะทันที ผู้ชนะประสงค์จะเล่นต่อไปหรือวางมือก็ได้ ผู้แพ้จะเป็นคนจ่ายเงิน ส่วนการพนันรอบวงนั้นเป็นเรื่องของผู้พนันต่างหาก ซึ่งคนที่ชนะรวดโดยไม่แพ้ใครเลยก่อนปิดโต๊ะจะได้รับเงินจากเจ้าของโต๊ะอีกต่างหากสามหมื่นออล
เมื่อถึงรอบที่ต้องเข้าประลอง เอรอสก็เข้าประจำที่นั่ง ยื่นแขนขวาออกไปไขว้ประสานกับผู้ชนะในเกมที่แล้วซึ่งมีรูปร่างและขนาดต่างกันมากจนผีพนันทั้งหลายหันไปเทข้างนั้นกันจนหมด
