บทที่ 22 พ่ายแพ้
ซูม!
พลังมหึมาจากทั้งสองฝ่ายกระทบกันกลางอากาศจนเกิดการระเบิดรุนแรง แผ่นดินที่พวกเขายืนอยู่เกิดรอยแยกเคลื่อนออกจากกันกลายเป็นหุบเหวขนาดใหญ่ ร่างของทั้งสองกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง
เมอร์เดสกลับสู่ร่างเดิม เขาตกลงมาในร่องหลุมขนาดยักษ์ของแผ่นดินที่เกิดจากการระเบิด กระดูกแขนขาหักนอนหมดสติอยู่ใต้กิ่งไม้ยักษ์ที่หักโค่นลงมาทับ เลือดไหลออกมานองเต็มพื้นไปหมด ส่วนเอรอสนั้นกระเด็นไปตกอยู่ในแม่น้ำ ร่างของเขาจมลงไปในนั้น ก่อนจะโผล่ขึ้นมาที่ผิวน้ำและแหวกว่ายเข้าฝั่ง
ชายหนุ่มเก็บดาบของเขาเข้าฝัก ชะโงกไปมองร่างของคู่ต่อสู้ที่ยังนอนนิ่งไม่ไหวติง รับรู้ได้ว่าคลื่นพลังนั้นดับไปแล้ว และผู้ชายคนนี้ยังไม่ตาย เขาจึงมุ่งหน้ากลับไปหาคาริน
หญิงสาวยังนั่งกอดถุงย่ามรอเขาอยู่ที่พุ่มไม้ตัวสั่นงันงก เพราะได้ยินเสียงระเบิดและแผ่นดินไหวเมื่อครู่นี้ทำให้กิ่งไม้ขนาดใหญ่หักลงมาเป็นว่าเล่น
“คาริน...ข้ากลับมาแล้ว”
หญิงสาวผุดลุกยืนขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของเอรอส เธอทิ้งถุงย่ามวิ่งเข้าไปหาเขา และตกใจที่เห็นชายหนุ่มอยู่ในสภาพเปียกโชก เสื้อผ้าขาดวิ่น
“คาริน...ข้า!” พูดยังไม่ทันขาดคำ ร่างสูงก็ล้มลงกับพื้น
“เอรอส!!” เธอตะโกนเรียกชื่อเอรอสออกมาได้เป็นครั้งแรก ผวาเข้าไปเขย่าตัวเขาแรงๆ เมื่อร่างนั้นนอนแน่นิ่งเหยียดยาวอยู่บนพื้นหญ้า ดวงตาปิดสนิทคล้ายคนกำลังหลับ
“เจ้า! เรียกชื่อข้าได้แล้วนี่” เสียงที่พูดออกมาจากริมฝีปากนั้นทำให้เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วก็ฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
“ข้า...พะ...พูด...พูดได้...แล้ว” หญิงสาวเพิ่งจะรู้ตัว พูดตะกุกตะกักออกมาด้วยประโยคที่ยาวกว่าเดิม แล้วก็ลุกขึ้นกระโดดตัวลอยเมื่อเสียงที่หายไปกลับคืนมาอีกครั้ง แม้จะยังไม่เหมือนเดิมแต่ก็พ้นจากสภาพคนเป็นใบ้ได้แล้ว
“เราต้องไปให้ถึงเมืองท่า เจ้าบังคับแพได้ไหม” เขาลืมตาขึ้นมาถาม เพราะรับคลื่นพลังจิตชั่วจากผู้ชายคนนั้น จึงทำให้ร่างกายต้องใช้เวลาปรับตัว
เธอพยักหน้า นำถุงย่ามลงแพก่อนเป็นอันดับแรก ตามด้วยการหักกิ่งไม้ไว้เป็นที่พาย แล้วพยุงร่างของชายหนุ่มไปที่แพอย่างทุลักทุเล
หญิงสาวบังคับแพอย่างระมัดระวัง หันไปมองเอรอสที่นอนหลับตาอยู่แต่เธอรู้ว่าเขาไม่ได้หลับไปจริงๆ เห็นเสี้ยวหน้าคมนั้นแล้วก็อดดีใจไม่ได้ที่เธอยังมีประโยชน์ต่อเขาบ้าง
ระหว่างน้ำนิ่ง เธอก็ปล่อยให้แพลอยอยู่กับที่ก่อน แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าให้ชายหนุ่ม เธอดึงผ้าโพกศีรษะของเขาออกมาซักและตากไว้ รวมทั้งรองเท้าและถุงเท้าด้วย ในถุงย่ามนั้นไม่มีเสื้อผ้าหรือผ้าผืนใหม่เลยเพราะเพิ่งเปลี่ยนไปเมื่อเช้า โชคดีที่แสงแดดช่วยให้เสื้อผ้าของเขาแห้งเร็วขึ้น
เอรอสนอนพักไปครู่หนึ่ง เมื่อสามารถควบคุมตัวเองได้แล้วเขาก็ลุกขึ้นมาด้วยเรี่ยวแรงกำลังที่กลับมาเป็นปกติ ควันไฟลิบๆ เบื้องหน้าทำให้เดาได้ว่าคงไปถึงเมืองท่าก่อนค่ำ ซึ่งพวกเขาจะต้องหาที่พักแรมก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยหาเรือออกจากมาทิลดา ปัญหาคือเงินที่มีติดตัวนั้นอาจไม่พอสำหรับทั้งสองคนเพราะการโดยสารเรือข้ามฟากไปแผ่นดินใหญ่นั้นใช้เวลาหลายวัน จะต้องจ่ายค่าอาหารเพิ่ม เห็นทีจะต้องขายดาบเหล็กแลกเงินซะแล้ว
“ไปพักเถอะเดี๋ยวข้าพายเอง” เขาดึงไม้พายจากมือหญิงสาวมาถือไว้ แล้วจ้วงพายจนแพแล่นฉิว
คารินถอยกลับไปนั่ง และเริ่มเก็บผ้าที่แห้งกองไว้รวมกัน โดยเฉพาะผ้ารัดหน้าผากที่เขาคงจะรักมาก ไม่เคยถอดออกเลยกระทั่งวันนี้
เอรอสจอดแพไว้เมื่อเข้าใกล้เขตเมืองท่า ทุ่งหญ้าบริเวณนี้เหมาะที่จะใช้เป็นที่พักแรมเพราะไม่ไกลจากท่าเรือและไม่ใกล้ชุมชนจนเป็นที่สังเกต เขาดันตัวคารินให้ขึ้นฝั่งไปก่อน แล้วจัดการแยกแพไม้ไผ่ออกเป็นปล้องๆ เพื่อทำโครงหลังคา
“เราไม่มีเงินมากพอที่จะไปเช่าบ้านและขึ้นเรือ ข้าจึงเลือกอย่างหลัง ลำบากหน่อยนะที่ต้องนอนแบบนี้อีกคืน” ชายหนุ่มพูดกับหญิงสาวเมื่อเห็นเธอกำลังเอากิ่งไม้มาสุมทำเป็นเชื้อเพลิง ส่วนเขาผูกเถาวัลย์มัดไม้ไผ่มุงหลังคาเหมือนเช่นทุกคืน
“มะ...ไม่ เป็น เป็น...” เธอสั่นศีรษะ ไม่เคยคิดถึงเตียงนุ่ม ไม่เคยคิดว่าการที่ได้อยู่กับเขาจะเป็นการลำบากอะไรเลย
“พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปจับปลาที่แม่น้ำ เอาไว้เป็นเสบียงตอนขึ้นเรือ อาหารบนเรือแพงมากแม้จะเป็นอาหารทะเล แถวนี้ไม่มีใครปลูกผักหรือผลไม้เลย เจ้าคงต้องทนกินแต่ปลาไปก่อน จนกว่าเราจะขึ้นแผ่นดินใหญ่”
“เอ...รอส...เหนื่อย...”
“ช่วยไม่ได้นี่นะ”
เมื่อก่อไฟและจัดที่นอนเสร็จ หญิงสาวก็นั่งกอดเข่าอยู่หน้ากองไฟ มองชายหนุ่มอย่างครุ่นคิด ประโยคเมื่อครู่นี้กระทบใจเธออย่างจัง เขาคงต้องการกลับบ้านและต้องโดยสารเรือไปแผ่นดินใหญ่ซึ่งต้องใช้เงินมากพอสมควร ถ้ามีเธอไปด้วยเขาก็อาจจะเดินทางต่อไปไม่ได้
หญิงสาวเพิ่งจะคิดได้ว่า หากพ้นจากเกาะนี้แล้ว เขาจะไปไหน แล้วเธอล่ะ? เธอจะติดตามเขาไปได้ไกลแค่ไหน พี่ก็ไม่ใช่ น้องก็ไม่ใช่ ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกันเลย เอรอสอาจจะมีครอบครัวรออยู่ และถ้ายังหาเลโกลัสไม่เจอ เธอจะทำอย่างไรดี
“ทำไมไม่นอน?” เอรอสนั่งลงข้างๆ มองมือเล็กๆ ที่ประสานกันอยู่บนหัวเข่าของหญิงสาวซึ่งเต็มไปด้วยรอยแผลและคราบเขม่าควันไฟแล้วดึงกระบอกไม้ไผ่ออกมา พร้อมๆ กับที่ดึงมือเธอให้เหยียดออกมาด้วยแล้วเทราดน้ำลงไป ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดให้อย่างแผ่วเบา
คารินมองชายหนุ่มอย่างซึ้งใจ มองภายนอกผู้ชายคนนี้ดูเย็นชาไม่น่าเข้าใกล้เลยสักนิด ริมฝีปากเหยียดตรงของเขาไม่เคยยิ้ม ดวงตาของเขานิ่งสนิท หากแต่การกระทำของเขานั้น แสดงถึงความเอาใจใส่อย่างที่เธอไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน ยกเว้นเลโกลัส ซึ่งนั่นเพราะอีกคนเป็นพี่ชาย
“บางที...พี่ชายของเจ้าอาจจะอยู่ที่ท่าเรือ อย่าเพิ่งหมดหวังนะ ข้ายังอยู่...จนกว่าจะหาเขาเจอ เอาไว้ขึ้นแผ่นดินใหญ่แล้วค่อยคิดว่าจะเอายังไงต่อไป”
“แผ่...แผ่นดิน...ใหญ่?”
“อ้อ! เจ้าคงไม่เคยเห็นล่ะสิ” เอรอสใช้กิ่งไม้วาดรูปแผนที่ลวกๆ บนพื้นดิน ทำกากบาทตรงรูปร่างเล็กๆที่อยู่ใจกลางระหว่างแผ่นดินใหญ่สองฝั่ง “ตรงที่กากบาท คือมาทิลดา ที่นี่เป็นเกาะขนาดเล็ก ยังมีเกาะเล็กๆ แบบนี้อีกสองสามแห่งรายล้อมเราอยู่แต่ไม่มีที่ไหนอุดมสมบูรณ์เท่าที่นี่ ฝั่งขวาคือแผ่นดินใหญ่ของทวีปตะวันออก ประกอบด้วยประเทศบูมัลและประเทศเซก้า คั่นด้วยทะเล โลกของเราเป็นวงกลม ดังนั้นถัดจากทะเลจึงกลายเป็นทวีปตะวันตก ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของเราด้วย ที่เราเรียกชื่อทวีปเช่นนี้ เพราะมนุษย์ถือเอามาทิลดาเป็นศูนย์กลาง ตะวันตกมีจอร์จิน่ากับเทอร่า ส่วนดินแดนทางเหนือสุดคือเคอรัม ทางใต้คือชาลมัว ซึ่งมีคนอาศัยอยู่น้อยมากเพราะอากาศหนาวจัด”
“หนาว” คารินขมวดคิ้ว หน้าหนาวที่มาทิลดาก็หนาวจับจิตจับใจเหมือนกัน
“ใช่แล้วล่ะ...หนาวตลอดทั้งปี พื้นดินกลายเป็นน้ำแข็ง ทำการเกษตรไม่ได้เลย จึงไม่ค่อยมีคนอาศัยอยู่ นอกจากสัตว์ชั้นสูงบางจำพวก” เขาโยนฟืนเข้ากองไฟอีก เมื่อเห็นหญิงสาวเริ่มปากสั่นราวกับรับรู้ถึงความหนาวที่เขาเล่าถึงได้กระนั้น
“ส...ส...สัตว์...สู...สูง?”
“มังกรบินยังไงล่ะ เจ้าตัวหน้าตาประหลาดน่ากลัว มีปีกเหมือนนกผสมค้างคาว พ่นไฟได้ บินได้ไกลข้ามทวีป ถ้าใช้มันบินจากมาทิลดาไปแผ่นดินใหญ่ก็กินเวลาเพียงห้าวันเท่านั้นโดยที่ไม่ต้องหยุดพักเลย ถ้าเดินเรือต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบวัน”
“เอรอส...ยะ...อยาก...กลับ...บ้าน” เธอเดาว่าเขาน่าจะมาจากแผ่นดินใหญ่ และคงมีเจ้ามังกรบินที่ว่า พอมีเธอติดมาด้วยก็เลยทำให้เขาต้องล่าช้ากว่าเดิม
