บทที่ 16 ตัดไฟแต่ต้นลม
“พวกแกเคยเห็นปีศาจหรือไง?” ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีน้ำตาลย้อนถาม
“จะกลัวทำไม! เราต้องเอาตัวน้องสาวมันมา นังเด็กนั่นต้องรู้แน่ว่าใครคือร่างทรง เร็วๆ เข้า!!”
เลโกลัสโบกมือขึ้นบนอากาศ ฉับพลันนั้นลมก็พัดมาอย่างรวดเร็วและรุนแรงดังพายุ ต้นไม้ในบริเวณนั้นไหวเอน แม้แต่คนก็แทบจะยืนไม่อยู่ ก่อนที่ลำต้นของมันจะหักโค่นลงมาทับพวกทหารที่หนีไม่ทัน
ตึง! กึง!
โอ๊ย!! อ๊าก!!
เสียงร้องของพวกมันดังระงมและต่างก็พยายามวิ่งหนีเอาชีวิตรอด เห็นดังนั้นแล้ว หัวหน้าทหารก็กระตุกเชือกเจ้านกยักษ์ บังคับให้มันฝ่ากระแสลมบินขึ้นทันที
เลโกลัสกระโดดลอยตัวขึ้นบนอากาศ จับขาเจ้าหัวหน้าขี้ขลาดไว้ได้ ก่อนจะโหนตัวขึ้นไปยืนบนปีกนกยักษ์แล้วเตะคนที่บังคับมันอยู่ลงไป
“อ๊าก!”
ร่างของหัวหน้าทหารลอยละลิ่วลงมาตกกระทบพื้นดินคอหักตายคาที่อยู่กับกองกำลังของเขา ส่วนคนที่หนีเข้าไปในป่าต่างก็ประสบพบเจอกับเงาดำทะมึนที่แผ่ปกคลุมบริเวณนั้นอยู่ ก่อนที่ต้นไม้ที่พวกมันใช้แฝงเร้นร่างกายจะมีชีวิตเคลื่อนไหวได้ขึ้นมา
กิ่งไม้ที่เคยให้ร่มเงาบัดนี้กลายเป็นเถาวัลย์ที่กำลังเลื้อยเข้ารัดตัวพวกมัน แม้จะพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการก็ไม่อาจทำได้ เสียงร้องดังขึ้นในป่าโหยหวนอย่างน่าขนลุก
กร๊อบ! กร๊อบ!
กระดูกและซี่โครงถูกบีบรัดจนหัก เลือดทะลักออกจากรูขุมขนและทวารทั้งห้า ดวงตาเหลือกถลนและสิ้นใจตายไปทีละคนจนไม่เหลือทหารของนครเทอร่าในบริเวณหมู่บ้านนี้แม้แต่คนเดียว!
เลโกลัสนำเจ้านกยักษ์ลงสู่พื้นดินอีกครั้ง ก่อนที่ตัวเขาจะปล่อยเงามืดให้คืบคลานเข้าไปในหมู่บ้านอย่างช้าๆ จนเคอร์เซอร์มืดสนิทราวกับเป็นเวลากลางคืน
เขายืนสงบนิ่งและรวบรวมสมาธิ ก่อนดวงจิตที่เหมือนลูกแก้วดวงใหญ่จะปรากฏขึ้นลอยอยู่ตรงหน้า แล้วควันสีดำจากศพของคนตายก็พวยพุ่งเข้ามาที่ดวงจิตนั้นราวกับน้ำที่ไหลบ่าจากมหาสมุทร และท้ายสุดคือภาพความทรงจำของชาวบ้านทุกคนที่ล่องลอยตามมาติดๆ ท้องฟ้าที่เคยมืดมนเริ่มมีแสงสว่าง ความมืดที่ปกคลุมอยู่ค่อยๆ เลือนหายไป พร้อมๆ กับที่ดวงจิตหายวับไปในฝ่ามือของเขา
ลมที่เคยกรรโชกแรงเหลือเพียงสายลมหนาวที่พัดมาแผ่วๆ เจ้ากิ่งไม้ที่เลื้อยเป็นเถาวัลย์คร่าชีวิตคนเมื่อสักครู่นี้กลับสู่สภาพเดิม
ชายหนุ่มเดินผ่านถนนใจกลางหมู่บ้าน ซึ่งขณะนี้ชาวบ้านเริ่มเปิดประตูออกมาทำมาหากิน พ่อค้านำม้าและเกวียนออกเดินทางเพื่อไปค้าขาย ลูกเล็กเด็กแดงออกมาวิ่งเล่นกันอยู่หน้าบ้านอย่างสนุกสนาน เคด้าและเบลล่าเริ่มต้อนรับและส่งลูกค้าที่แวะเวียนมาพักกันไม่หยุดหย่อน
ราวกับว่าไม่เคยมีทหารจากนครเทอร่าบุกเข้ามา...
ไม่มีร่องรอยของกองฟางที่พวกมันจุดขึ้นหวังจะเผาพวกเด็กๆ ทั้งเป็น
ไม่มีเด็กผู้หญิงที่ถูกดึงทึ้งเสื้อผ้าและกระทำการอันหยามหมิ่น
ไม่มีเลือดหรือร่องรอยใดๆ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
“อ้าว! พ่อหนุ่ม...มาจากไหนล่ะไม่แวะเข้ามาพักก่อนเหรอ?” เคด้าตะโกนเรียกลูกค้าหนุ่มที่เดินมาหยุดอยู่หน้าโรงแรมของเขา
“ไม่ล่ะครับ! ขอบคุณ” เขาหันมายิ้มให้แล้วก้าวเท้าต่อไปทันที
“เออ...เจ้าหนุ่มคนเมื่อกี้หน้าคุ้นๆ นะเหมือนเคยเห็นที่ไหน อ้อ! รู้แล้ว! หน้าตาเหมือนนังหนูคารินเลย เฮ้อ! ป่านนี้จะหนีกันไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ดูสิ...เจ้าพ่อค้าคนนั้นต้องเพ้อเจ้อและแต่งเรื่องขึ้นเองแน่ๆ ว่าหมู่บ้านของเรากำลังจะถูกพวกทหารมาโจมตี ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย” เบลล่าพูดกับสามี คิดถึงสองพี่น้องนั้นขึ้นมาจับใจ
“บรรพบุรุษเราอยู่กันมาเป็นร้อยๆ ปีไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ไม่อย่างนั้นเขาไม่เรียกมาทิลดาว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรอก” เคด้าพูดตามความเชื่อของเขา ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารกลางวันไว้ต้อนรับแขกต่อไป
คารินสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ เมื่อคืนนี้เอรอสพาเธอขี่ม้าออกจากหมู่บ้านเคอร์เซอร์ ลัดเลาะตามป่าทึบจนถึงเช้า ได้หยุดพักเดี๋ยวเดียวก็ต้องออกเดินทางกันต่อ กระทั่งมาหยุดอยู่ที่ปากถ้ำเพราะม้าไม่สามารถไปต่อได้แล้ว เมื่อด้านล่างของถ้ำนี้เป็นน้ำตกและลำธารไหลลงสู่ทะเลทางฝั่งตะวันออก เขาจึงต้องทิ้งม้าไว้ในป่าและพาเธอมานั่งพัก เพราะความเหนื่อยจึงทำให้เผลอหลับไป
เธอคงจะหลับไปนานทีเดียว จึงมองเห็นแพไม้ไผ่ที่เขาจัดการต่อจนเสร็จพร้อมที่จะใช้งานได้ เพราะการเดินทางแบบทรหดทำให้ออกมาจากหมู่บ้านไกลพอสมควร
ไม่ไกลจากปากถ้ำ เอรอสยืนเกาะกิ่งไม้ของต้นที่สูงที่สุด มองออกไปยังท้องฟ้าอันไกลโพ้นที่เริ่มจะเห็นจุดดำๆ เล็กๆ ขยายขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นชัดว่ามันกำลังกระพือปีกบินพร้อมกับพวกทหารอีกหลายสิบชีวิตยืนอยู่บนนั้น ก็รู้ทันทีว่าคงมีประเทศใดประเทศหนึ่งส่งทหารออกมาตามล่าคารินแล้ว และพวกเขาก็เดินทางได้อย่างรวดเร็วเพราะอาศัยนกยักษ์เป็นพาหนะ
พับ! พับ! พับ! พับ!
นกยักษ์กระพือปีกจนยอดไม้โยกเอนไปตามๆ กัน ในขณะที่พวกมันยังไม่กระจายกันออกตามล่าเธอ เขาก็ควรจะตัดไฟแต่ต้นลม อีกทั้งบริเวณนี้เป็นป่าทึบไม่มีที่ว่างให้พวกมันเอานกยักษ์ลงไปได้ง่ายๆ
“ไม่มีที่ลงเลยครับหัวหน้า!”
“ฮึ้ย! ถ้ามันไม่อยู่ในป่านี้ล่ะ ไอ้หัวหน้าตัวจริงมันคงไล่ให้พวกเรามาคว้าน้ำเหลว ข้าว่านังเด็กนั่นมันคงอยู่หลบอยู่ในหมู่บ้านแน่ๆ สงสัยพวกเราจะถูกแย่งผลงานซะแล้ว” หัวหน้ากองพูดอย่างฉุนเฉียว
“ทำยังไงล่ะครับ พ้นภูเขาลูกนี้ไปก็เป็นแม่น้ำที่ไหลลงทะเล ข้าเกรงว่าประเทศทางทวีปตะวันออกก็จะส่งกองกำลังมาเหมือนกัน โดยเฉพาะบูมัล ที่ตอนนี้ได้ข่าวว่าท่านไคน็อกกุมอำนาจอยู่”
“ท่านไคน็อกเรอะ! นึกว่าเป็นท่านซิมมอนซะอีก” หัวหน้ากองนิ่วหน้า
“ก็แค่ข่าวที่ยังไม่ได้กรอง แต่ตอนนี้เราต้องรีบหาตัวนังเด็กคนนั้นก่อนที่จอร์จิน่าจะส่งทหารเข้ามานะครับ กิตติศัพท์ของท่านเฮเซลนั้นก็รู้ๆ กันอยู่”
“เฮ้ย!!”
ไม่ทันที่หัวหน้ากองจะโต้ตอบ ลูกน้องคนสนิทก็ร้องออกมาเมื่อจู่ๆ ร่างสูงของใครคนหนึ่งก็กระโดดขึ้นมายืนบนนกยักษ์แล้วกระชากคอเสื้อเขาด้วยมือเพียงข้างเดียว แล้วโยนลงไปข้างล่าง
เอรอสยืนสง่าอยู่บนเจ้านกยักษ์ คำนวณด้วยสายตาแล้วว่าคงใช้เวลาจัดการกับพวกมันไม่นานนัก เขากระตุกเชือกเจ้านกยักษ์ให้เชิดหัวขึ้นแล้วบินโฉบเข้าไปหาฝ่ายตรงข้ามทันที
“อึ้งอยู่ได้ฆ่ามันสิวะ!!” หัวหน้ากองตะโกนบอกลูกน้อง ก่อนจะพากันชักดาบออกมา โฉบพาหนะของตัวเองเข้าไปหาหนุ่มนิรนามที่โผล่เข้ามาขัดขวางอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
เอรอสชักดาบขึ้น ใช้มือข้างหนึ่งจับเชือกไว้ กระโดดลอยตัวข้ามไปยังเจ้านกอีกตัวที่โฉบเข้ามาพอดี เขาใช้ขาเตะดาบของฝ่ายตรงข้ามจนกระเด็นตกลงไป แล้วดึงคอเสื้อมันเหวี่ยงกลางอากาศก่อนร่างนั้นจะเป็นไปตามกฏแรงโน้มถ่วงของโลกตกลงพื้นดินเป็นรายที่สอง
“แกเป็นใครมาจากไหนวะ? ถึงได้เก่งกาจถึงเพียงนี้!” หัวหน้าไร้น้ำยาตะโกนถามมือไม้สั่นเมื่อต้องสูญเสียลูกน้องไปสองคนในชั่วพริบตา
“หัวหน้าไปชมมันทำไม?” ลูกกระจ๊อกของเขาขัดขึ้น ลำพังแค่นี้ก็ตัวสั่นกันจะแย่แล้ว แทนที่จะปลุกขวัญกำลังใจของผู้ใต้บังคับบัญชา เจ้าหัวหน้ากองกลับไปชมศัตรูหน้าตาเฉย
“คนของเจ้าไม่ตายหรอก คงพอพากลับไปได้อยู่ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาข้าขอจัดการพวกเจ้าทีเดียวเลยนะ” เอรอสพูดหน้าตาย ทหารพวกนี้เป็นมนุษย์ธรรมดาและมันก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แค่ทำให้พวกมันเจ็บตัวเล็กๆ น้อยๆ ก็พอ เพราะอีกไม่นานเขากับคารินก็จะออกจากเกาะนี้แล้ว
“นี่แกยังไม่ตอบข้าเลยนะ!”
