บทที่ 17 พี่ชายมาหาข้า
“หัวหน้า!” เหล่าลูกน้องตะโกนเรียกผู้นำของเขาที่พยายามทู่ซี้จะเอาคำตอบ นั้นให้ได้ นึกในใจว่าเพราะอย่างนี้จึงไม่ได้เลื่อนขั้นสักทีจนรุ่นน้องข้ามหน้าข้ามตาไปหมดแล้ว
เอรอสไม่มีเวลาเล่นเอาเถิด เพราะตะวันใกล้จะตกดินแล้ว อีกทั้งคารินยังรออยู่ในถ้ำคนเดียว เขากระโดดถีบตัวออกจากเจ้านกยักษ์ไปหาทหารที่อยู่ใกล้ที่สุดด้วยความเร็วที่พวกมันไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า แล้วเตะพวกมันลงไปทีละคนๆ
ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!
“โอ๊ย!!”
เสียงร้องดังระงมมาจากพื้นดินด้านล่าง เพราะอยู่สูงพอสมควรและต้นไม้ก็หนาทึบ กว่าที่ร่างจะตกกระทบถึงพื้นก็ต้องผ่านกิ่งไม้ใบไม้หลายด่าน อย่างมากก็คงกระดูกหักสักสองสามท่อน
นกยักษ์บินหนีไปแล้วเขาจึงกระโดดและปีนป่ายลงมาตามต้นไม้ กระทั่งเท้าสัมผัสพื้น จึงรีบวิ่งซอกแซกไปที่ปากถ้ำซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่พอสมควร
คารินตื่นแล้ว เขาเห็นเธอนั่งกอดผ้าห่มไว้แน่นเพราะอากาศในถ้ำเย็นชื้น กองไฟเล็กๆ นั้นเธอคงก่อขึ้นมาเองจากฟืนที่พอจะหาเก็บได้แถวๆ นี้
“อะ...เอ...เอ...” หญิงสาวหันมาร้องเรียกด้วยความดีใจ เมื่อเห็นเอรอสเดินเข้ามาในถ้ำ เสื้อผ้าของเขาดูมอมแมมเล็กน้อย เมื่อเขาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เธอก็ผลักใบไม้ใบใหญ่ที่ใส่อาหารแห้งไว้ด้วยมาตรงหน้า
“นี่ส่วนของข้าหรือ...เจ้าล่ะ...กินหรือยัง?” เขาถาม
หญิงสาวสั่นศีรษะ จากนั้นก็ดึงอาหารของตัวเองออกมาวางข้างๆ กัน
“รอข้าอยู่สินะ กินก่อนเถอะไม่ต้องห่วงข้าหรอก เอาส่วนของข้าไปด้วยเลย เดี๋ยวข้าจะหาฟืนมาเพิ่มอีกสักหน่อย” เขาทำท่าจะลุก แต่เธอก็ดึงชายเสื้อไว้เสียก่อน
“มี...ฟะ...ฟะ...” คารินชี้ไปข้างๆ แพไม้ไผ่ให้เขาดูฟืนที่เธอได้เดินหาเก็บไว้ระหว่างที่รอเขากลับมา และคิดว่ามีได้มากพอที่จะทำให้ไฟลุกโชติช่วงได้ทั้งคืน
“อ้อ! ถ้างั้นก็คงพอสำหรับคืนนี้แล้วล่ะ”
“กะ...กิน...นะ” เธอคะยั้นคะยอ เพราะไม่เห็นว่าเขาจะกินอะไรเลยในช่วงสองสามวันนี้
“เอางั้นก็ได้”
สองหนุ่มสาวนั่งกินอาหารด้วยกันเงียบๆ เมื่อคิดว่าได้เวลาต้องพักผ่อนเขาก็บอกให้เธอเข้านอน แต่หญิงสาวปฏิเสธ เธอเพิ่งตื่นได้ไม่นาน เขาต่างหากที่ยังไม่ได้นอนพักเลย ดังนั้นเธอจึงจัดแจงปูที่นอนให้เขาอย่างเรียบร้อย แล้วถอยออกไปนั่งอีกฝั่งหนึ่ง
“ของเจ้าล่ะ?” เขาถามเพราะเธอเล่นใช้เบาะและผ้าปูให้เขาจนหมด คืนนี้ลมแรงไม่ใช่เล่นเสียด้วย
“ฝะ...ฝะ...เฝ้า...” เธอยกมือทำท่าแข็งขันมองซ้ายมองขวาประกอบคำพูด
“จะเฝ้ายามงั้นเหรอ...ถ้าอย่างนั้นก็ฝากด้วยแล้วกัน” เขาล้มตัวลงนอนหันหน้าเข้ากองไฟ จ้องมองร่างบางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่วางตา คิดว่าสักพักเธอคงจะง่วงแล้วเขาก็จะต้องอุ้มเธอมานอนอีกจนได้
เมื่อเห็นเขายังไม่หลับและยังมองเธออยู่ คารินจึงคลานอ้อมกองไฟมาหาชายหนุ่ม และยื่นมือไปปิดเปลือกตาคู่นั้นให้หลุบลงเสีย เธอยังไม่ขยับไปไหนเพราะกลัวเขาจะลืมตาขึ้นมาอีก ตั้งใจแล้วว่าจะเฝ้ายามทั้งคืนเป็นการแบ่งเบาภาระของเขาบ้าง
เอรอสลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นเธอนั่งอยู่ใกล้ๆ และหันหน้าออกไปมองความมืดข้างนอก เขาก็ค่อยๆ หลับตาลงตามที่เธอต้องการ
เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจทอดยาวสม่ำเสมอของเขา หญิงสาวจึงค่อยๆ ดึงผ้าห่มที่ร่นอยู่ขึ้นมาคลุมให้เขาถึงต้นคอ ตัวเธอเองนั่งใกล้กองไฟจึงไม่ค่อยหนาวเท่าใดนัก
หญิงสาวซบหน้าลงกับหัวเข่า เหม่อมองกองไฟที่ปะทุขึ้นด้วยความหม่นหมอง เมื่อคิดถึงเคด้า เบลล่า และผู้คนที่เคอร์เซอร์ ป่านนี้พวกเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง จะมีใครได้รับอันตรายเพราะเธอหรือเปล่า...ขออย่าให้มีใครถูกทำร้ายเพราะคนที่พยายามจะมาตามหาตัวเธอเลย
ใครกันนะ? ใครกันที่ต้องการตัวเธอ พวกเขาพูดถึงร่างทรง พูดถึงปีศาจ สิ่งเหล่านี้เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยในชีวิต มันมีอะไรเกี่ยวข้องกับการรอดชีวิตของเธออย่างนั้นหรือ?
“เลโกลัส...ป่านนี้พี่จะเป็นอย่างไรบ้าง พี่จะยังมีชีวิตอยู่ไหม? ข้าคิดถึงพี่...อยากเจอพี่เหลือเกิน”
เธอนั่งจับเจ่าอยู่อย่างนั้น สลับกับการเดินไปเอาฟืนมาเติมเมื่อไฟใกล้จะดับลง ครั้นเมื่อคิดว่าการนอนเฝ้ายามก็ไม่เสียหายอะไร เธอจึงล้มตัวลงนอนบ้างแต่ก็ยังหันหน้าไปทางปากถ้ำอย่างระแวดระวัง พอเผลอสัปหงกก็สะดุ้งขึ้นมาใหม่ มองซ้ายมองขวาให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรต้องห่วง ก็ตั้งใจว่าจะพักสายตาสักครู่
ดวงตาของเธอปิดลง ความง่วงนั้นทำให้เธอเคลิ้มไปแล้วก็เผลอหลับไปจริงๆ
เอรอสลืมตาขึ้น เขาค่อยๆ ดึงผ้าห่มออกจากตัวแล้วขยับขยายที่นอน ก่อนจะลุกไปอุ้มร่างบางซึ่งนอนหลับไปโดยไม่ตั้งใจมานอนบนเบาะอย่างที่เขาคิดไว้แต่แรกว่าเธอจะนั่งถ่างตาได้ไม่นาน
เขาคลุมผ้าห่มให้เธออย่างแผ่วเบา ตัวเองนั้นขยับไปนั่งอยู่อีกฝั่ง มองใบหน้าอ่อนละมุนที่กำลังหลับใหลอย่างใช้ความคิด
เด็กสาวคนนี้เป็นคนเดียวที่รอดชีวิตที่เมืองท่า ไม่นับพี่ชายของเธอที่ยังไม่รู้ชะตากรรม สรุปว่าโจรเข้ามาปล้นในหมู่บ้าน พวกมันมาตามหาอะไรบางอย่าง ซึ่งนั่นอาจจะเป็นร่างทรง เมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการพวกมันจึงฆ่าทุกคนทิ้งเสีย ข้อนี้เขาไม่ติดใจอะไร แต่เรื่องปีศาจที่มันพูดถึงนี่สิ ที่ทำให้เขาสะดุดใจ
ปีศาจตนนั้นปรากฎตัวขึ้นจริงหรือ? เหตุใดเขาซึ่งสามารถเปิดดวงจิตรับคลื่นพลังจึงไม่สามารถจับการเคลื่อนไหวของมันได้เลย มันโผล่มาช่วยคาริน? หรือว่าเป็นความบังเอิญ? หรือว่าเธอไปรู้อะไรเข้าจึงถูกตามล่า?
เมื่อออกจากเกาะนี้ไปสู่แผ่นดินใหญ่ เขาควรจะทำอย่างไรกับเธอ หากทิ้งเธอไว้ย่อมเสี่ยงต่อการถูกตามล่า แต่หากให้เธอติดสอยห้อยตามไปด้วยล่ะก็ เธอเองก็จะต้องเจอเรื่องอันตรายไม่แพ้กัน....
คารินขยับตัวแล้วก็ลืมตาตื่นขึ้นมา เธอตกใจที่ตัวเองมานอนอยู่บนเบาะทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะนั่งเฝ้ายามทั้งคืน เสียงประกายไฟแตกเปรี๊ยะๆ และท้องฟ้าที่มืดสนิทด้านนอกทำให้รู้ตัวว่าได้ผวาตื่นขึ้นมากลางดึกอีกแล้ว
“คาริน...”
เธอหันขวับเมื่อได้ยินเสียงเรียกอันอ่อนโยน ลุกเดินออกไปจากถ้ำสู่ความมืดและผืนป่าเบื้องหน้า ได้ยินเสียงหวีดหวิวของสายลมและเสียงร้องคำรามกึกก้องดังอยู่บนท้องฟ้า
ฮึม....ฮึม....ครืน...
คล้ายเสียงสวดมนต์อ้อนวอน วิเวกวังเวงและแสนเศร้า น่าแปลกที่เธอคุ้นเคยกับเสียงอันน่าสะพรึงกลัวนี้ และไม่นึกกลัวเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางความมืดเพียงลำพัง
“คาริน...”
ใคร? ใครกำลังเรียกเธออยู่ เสียงนั้นเจือไปด้วยความรักและความทรมาน แต่ก็อบอุ่นอ่อนโยนราวกับกำลังห่อหุ้มโอบกอดเธอไว้
ท่ามกลางความมืดมิด เกิดแสงสว่างจุดเล็กๆ ลอยอยู่ ก่อนที่มันจะขยายออกเรื่อยๆ จนกระทั่งสว่างวาบขึ้นมาวูบหนึ่ง ทำให้เธอต้องยกมือขึ้นมาป้องตาเอาไว้
เมื่อแสงสว่างดับไป ปรากฏร่างสูงคุ้นตาก้าวเข้ามาหาเธอช้าๆ ผมสีน้ำตาลพลิ้วไหว ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความรัก ส่งยิ้มนั้นอ่อนโยนอย่างที่เคยยิ้มให้เธอเสมอ
“เลโกลัส!!” หญิงสาวผวาเข้าไปหาพี่ชายซึ่งอ้าแขนรับน้องสาวเข้ามาในอ้อมกอด ซบหน้ากับเรือนผมนุ่มของเธอแล้วจุมพิตเบาๆ ที่ขมับ
“คารินของพี่...ขอโทษนะที่ทำให้เจ้าร้องไห้”
“ข้านึกว่าพี่ตายไปแล้ว...ฮือๆๆ พี่จะตายไม่ได้นะ พี่ต้องอยู่กับข้านะ ข้าไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว” หญิงสาวร้องไห้คร่ำครวญกับอกของชายหนุ่ม กอดเอวเขาไว้แน่นกลัวว่าร่างนี้จะหายไปอีก
“พี่ก็อยู่กับคารินแล้วไง...ไม่รู้หรือว่าพี่อยู่กับเธอตลอดเวลา” เขากอดรัดร่างในอ้อมแขนแน่นขึ้นเพื่อยืนยันคำพูด
