บทที่ 9 แรกพบ
ยังไม่ทันที่แสงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า เถ้าแก่โรงเตี๊ยมรีบตื่นมาจัดแจงให้ลูกน้องหาของมาตั้งรอ เตรียมแจกจ่ายแก่ชาวบ้าน ตามที่ได้รับปากไว้กับหญิงสาวด้วยท่าทีลนลาน
ไม่นานนักหลังจากฟ้าแจ้ง ผู้คนเริ่มตื่นออกมาจับจ่ายใช้สอย เถ้าแก่ร้านรีบจัดเตรียมข้าวของต่าง ๆ มาแจกให้กับชาวบ้านด้วยความหวาดหวั่น เพราะหญิงปริศนาที่มีฤทธิ์เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดา ยืนจับจ้องมองจากชั้นสองของโรงเตี๊ยม พร้อมความชุลมุนตรงหน้า ชายชราเผลอเหลือบมองขึ้นไปถึงกับผวาแล้วรีบหันไปแจกจ่ายของให้ชาวบ้านด้วยความเต็มใจ
ก่อนรอยยิ้มของหมิงเยว่จะคลี่ออกมาพร้อมเสียงถอนหายใจ
“เถ้าแก่โรงเตี๊ยมคล้ายจะเป็นคนหัวดื้อ แต่จะว่าไปเขาก็ว่านอนสอนง่ายเหมือนกัน เจ้าว่าไหมซิ่วอิง” เสียงเปรยเล็กเอ่ยถาม ก่อนสาวใช้จะทอดสายตาไปยังเบื้องล่าง มองดูผู้คนในเมืองเข้าแถวรับของบริจาค
“เขาทำเพราะกลัวตาย มิได้มาจากจิตใต้สำนึกจริง ๆ เสียหน่อย ความโลภยังมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงตอบ ก่อนหมิงเยว่จะส่ายศีรษะไปมา
“มนุษย์กับความโลภเป็นของคู่กัน ขนาดเผ่าเทพยังขจัดความโลภออกจากจิตใจไม่ได้ การที่เขายอมเสียสละทรัพย์ส่วนตัวเพื่อแบ่งให้ผู้อื่น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ข้าก็ยังชื่นชมเขาอยู่ดี” หมิงเยว่ทอดสายตามองลงไปพร้อมรอยยิ้มอ่อน หญิงสาวเติบโตมาท่ามกลางความรักและความอบอุ่นของครอบครัว ซึมซับคำสอนของต่าง ๆ ขจัดความเห็นผิดออกจากจิต หลงเหลือเพียงความบริสุทธิ์สู่เบื้องหน้า
ประมุขตงหยางใช้พลังวิญญาณออกตามหาผู้มีดวงจิตสีเพลิงตามเมืองต่าง ๆ ในแดนมนุษย์ ท่ามกลางป่าไผ่เขียวชอุ่ม วรกายในชุดสีดำของเขาค่อย ๆ ย่างเท้าไปเรื่อย ๆ ก่อนสายลมจะพัดโชยมาเป็นระยะให้เขาหยุดเดิน แล้วทอดสายตามองไปยังกลุ่มควันที่โชยขึ้นไกล ๆ บ่งบอกว่าเชิงเขาด้านหน้า มีหมู่บ้านตั้งอยู่ ซึ่งห่างจากที่เขายืนอยู่ไม่ไกลนัก พร้อมดวงตากลมสัดส่ายไปมาด้วยความหวัง
“ข้าต้องพยายามตามหาท่านให้เจอ หาไม่แล้วทุกสรรพชีวิตจะถึงการสิ้นสุด ตงฟางไม่มีวันปล่อยอำนาจหลุดมือไป เพราะความมืดดำ ได้ฝังรากลึกลงในจิตของเขาไม่อาจแก้ได้” เขาใช้ความคิด พร้อมสายลมพัดโชยมาปะทะให้ชายหนุ่มได้สติ แล้วมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านด้านหน้า
เมื่อชายหนุ่มเข้ามาในหมู่บ้าน เขาสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง จากฝูงชนทั้งชายหญิงที่พากันเร่งรีบ ไปยังจุดหมายเดียวกัน
“ด้านหน้ามีอะไรงั้นเหรอ” เขาหันไปคว้ากายชายหนุ่มที่เดินผ่านแล้วเอ่ยถามด้วยความน้ำเสียงราบเรียบ
“เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกำลังแจกอาหาร พวกข้าต้องรีบไป หากช้าจะไม่ทัน” อีกฝ่ายพูดจบจึงเบี่ยงตัวเดินจากไป ปล่อยให้ชายหนุ่มเก็บความสงสัย แล้วค่อย ๆ ก้าวเท้าตามฝูงชนไปด้วยความอยากรู้ ก่อนจะเดินมาถึงโรงเตี๊ยมสีแดงขนาดใหญ่ สายตาคมเลื่อนไปยังฝูงชนที่พากันเข้าแถวรอรับของอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตงหยางตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งในร้านด้วยท่าทางสุขุมตามนิสัยที่ติดตัวมา
“ไม่ทราบว่าคุณชายจะรับอะไรดีขอรับ วันนี้ที่ร้านของเราเปิดให้ทุกคนกินอาหารได้โดยไม่คิดเงิน คุณชายสั่งมาได้เลย” ตงหยางได้ยินดังนั้น จึงเลื่อนสายตามองผู้คนที่กำลังนั่งกินอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย แล้วหันไปสั่งชากับหมั่นโถวมาหนึ่งชิ้น
ผู้คนมากมายเช่นนี้ทำให้ตงหยางตัดสินใจใช้พลังวิญญาณขั้นสาม ตรวจดูดวงจิตของคนเหล่านั้นเพื่อหาผู้มีดวงจิตสีเพลิง ทว่าไม่นานนักหมิงเยว่ที่ยืนอยู่ชั้นบนก็ได้กลิ่นอายพลังวิญญาณขึ้นในทันที
“มีอันใดหรือเจ้าคะ” ซิ่วอิงเห็นความผิดปกติจึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
“กลิ่นอายพลังวิญญาณ เจ้ามิได้กลิ่นเหรอ” ซิ่วอิงได้ยินดังนั้นจึงหลับตาลง แล้วใช้สัมผัสพิเศษจึงสามารถได้กลิ่นอายพลังวิญญาณลอยมาเป็นระยะ ก่อนนางจะลืมตาขึ้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“กลิ่นอายพลังวิญญาณจริง ๆ ด้วยเจ้าค่ะ ทว่าแดนมนุษย์นอกจากเราสองคนแล้ว จะมีใครใช้พลังวิญญาณได้อีก” ซิ่วอิงพูดพร้อมทบทวนอย่างเงียบ ๆ ก่อนหมิงเยว่เหมือนนึกบางอย่างได้ จึงรีบเบี่ยงตัววิ่งลงไปข้างล่างทันทีไม่รอช้า
“ธิดาเจ้าคะ จะไปไหนเจ้าคะ” ซิ่วอิงเอ่ยรั้งแล้วตัดสินใจวิ่งตามลงมา
เพียงสองเท้าของหญิงสาวก้าวลงจากบันไดขึ้นสุดท้ายลงมา นางเลื่อนสายตาหาผู้ใช้พลังวิญญาณด้วยความหวัง ก่อนสายตาสุดท้ายจะหันไปบรรจบกับชายหนุ่มรูปงามในชุดสีดำสนิท ผิวขาวละเอียด ใบหน้างดงามราวกับรูปปั้น ยากหาใครเทียบ หมิงเยว่รับรู้ในทันทีว่าเขาคือประมุขมารตงหยางที่ตามหา สองเท้าของนางค่อย ๆ ก้าวเข้ามาหาชายหนุ่มพร้อมดวงตาไหวระริกอย่างชื่นชม เช่นเดียวกับพลังวิญญาณของตงหยางสามารถจับดวงจิตสีเพลิงจากนางได้ เขาขมวดคิ้วแล้วเพ่งมองดวงจิตสีเพลิงภายในกายของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแน่ใจ
“เหตุใดผู้มีดวงจิตสีเพลิงจึงเป็นหญิงบอบบางเช่นนี้” ความคิดของตงหยางผุดขึ้น พร้อมคำถามมากมายที่เก็บซ่อนไว้ภายใน ชายหนุ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนพลันทอดสายตาไปยังหญิงสาวที่งดงามดังบุปผาสวรรค์ เนื้อตัวบอบบางจนเขาคิดไม่ออกว่าจะต่อสู้กับจอมมารตงฟางได้อย่างไร
ก่อนหมิงเยว่จะค้อมตัวลงเคารพเขาด้วยกิริยางดงาม พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
“ท่านคือประมุขมารตงหยางใช่หรือไม่” น้ำเสียงอ่อนหวานเอ่ยถามพร้อมแววตาเป็นประกายมีความหมาย
