บทที่ 6 อย่าส่งนางให้เผ่าเทพ
“หมิงเยว่ไปแดนมนุษย์ครั้งนี้ ทำให้ข้าสบายใจ ที่นางไม่ได้อยู่ในเผ่าวิหค แดนมนุษย์ใช้เป็นที่หลบซ่อนตัวอย่างดี จะไม่มีผู้ใดพบเห็นว่านางมีดวงจิตสีเพลิง” หยางซินขมวดคิ้วด้วยความตกใจ
“ท่านพี่ นับจากวันที่นางเกิด เราสัญญากันแล้วว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก” ท่าทางกังวลของภรรยาทำให้ต้าเหรินกำมือนางแน่นแล้วพ่นลมหายใจออกมาด้วยความหนักใจ
“ภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่มีทางหลีกพ้น สิ่งเดียวที่จะแก้ไขได้ มีเพียงหมิงเยว่ของเราเท่านั้น” สายตาคมจับจ้องมองภรรยาแล้วตอบตามความเป็นจริง
“ท่านพี่หมายความว่าอย่างไร ข้าไม่เข้าใจ”
“ผู้มีดวงจิตสีเพลิงผลึกพลังวิญญาณกับประมุขเผ่ามาร จะสามารถขจัดมารร้ายอย่างตงฟางได้ และภัยพิบัติจะจบสิ้นลง ช่วยเหล่าสรรพชีวิตนับล้านให้พ้นเคราะห์กรรมในครั้งนี้”
“แต่ลูกของเรามีอายุได้เพียงหนึ่งพันปีเท่านั้น นางยังเด็กนัก จะให้ต่อสู้กับจอมมารยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้อย่างไร อีกทั้งพลังวิญญาณของนางเพียงแค่ขั้นหนึ่ง ข้าเกรงว่าลูกของเราจะเป็นอันตราย” หยางซินตอบพลางส่ายศีรษะไปมาอย่างไม่ยอม
“หยางซิน..เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ข้าทุกข์ใจสาหัส ดวงจิตสีเพลิงเป็นบารมีติดกายหมิงเยว่มาตั้งแต่เกิด ข้าคิดไว้แล้วว่าสักวันต้องมีเหตุให้นางได้รับเคราะห์ แต่คิดไม่ถึงว่ารวดเร็วเพียงนี้”
“ท่านพี่ อย่าส่งนางให้กับเผ่าเทพนะเจ้าคะ หากส่งนางไปเท่ากับเราส่งลูกไปตาย ข้ายอมไม่ได้” หยางซินอ้อนวอนสามีทั้งน้ำตา
“เจ้าวางใจเถิด ตอนนี้ข้ายังไม่คิดส่งนางไป ข้าจะให้เวลาพวกเราทำใจกันอีกหน่อย”
“หมายความว่า ท่านยังคิดที่จะส่งนางไปงั้นเหรอ” น้ำตาของหยางซินไหลอาบแก้ม ก่อนต้าเหรินจะเอื้อมมาเช็ดน้ำตาให้ภรรยาอย่างอ่อนโยน
“สรรพชีวิตนับล้านมีความหมายแค่ไหนเจ้าก็รู้ เราไม่อาจเห็นแก่ตัว แล้วปล่อยส่วนรวมรับเคราะห์กรรมหนักหนาเพียงนั้น หยางซินอย่างไรหมิงเยว่ก็ต้องขึ้นไปยังเผ่าเทพ ให้ราชันเทพตัดสินใจว่าจะฝึกฝนนางให้เคียงคู่กับประมุขมารอย่างไร ที่ข้าพูดใช่ว่าข้าจะทำใจยอมปล่อยนางไปได้ ข้าเองก็เจ็บปวดและคิดเห็นแก่ตัวอยู่ตลอดเวลา...จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังทำใจปล่อยนางไปไม่ได้เช่นกัน” เขาพูดพร้อมดึงกายของภรรยาเข้าสวมกอด
“ธิดาหมิงเยว่ พวกเรากลับเผ่าวิหคกันเถอะ ป่านนี้ท่านประมุขคงกลับจากเผ่าเทพแล้วล่ะ” ซิ่วอิงพูดพลางจับจ้องไปยังหญิงสาวที่เคี้ยวอาหารขมุบขมับ พลันหยิบชาขึ้นมาดื่มแล้วปล่อยยิ้มกว้างตรงมาอย่างไม่สะท้าน
“ท่านพ่อยังไม่กลับหรอก เจ้าเชื่อข้าเถอะ”
“จะไม่กลับได้อย่างไร เรามายังแดนมนุษย์นานหลายเดือนแล้วนะเจ้าคะ ข้าเกรงว่าถ้าถูกจับได้ โทษจะร้ายแรงกว่าคราวก่อนเป็นแน่” หมิงเยว่ส่ายศีรษะไปมา
“หากท่านพ่อกลับมาแล้ว ป่านนี้คนของเผ่าวิหคคงเต็มแดนมนุษย์ แต่เจ้าดูสิ ไม่มีคนของเผ่าวิหคเลยสักคน นั่นหมายความว่าท่านพ่อยังไม่รู้ว่าข้าแอบมาแดนมนุษย์ ปกติแล้วท่านพ่อไปเผ่าเทพครั้งละนาน ๆ ครานี้ก็คงเช่นเดียวกัน เจ้าอย่าได้วิตกเลย ข้าขอเที่ยวเล่นที่นี่อีกสักหนึ่งเดือนก็แล้วกัน”
“หนึ่งเดือน!” ซิ่วอิงเบิกตากว้างทวนคำพูดของธิดาด้วยความตกใจ
“อื้ม” หมิงเยว่พยักหน้าแล้วสาละวนอยู่กับอาหารเลิศรส ก่อนซิ่วอิงจะพ่นลมหายใจออกมาแล้วเท้าคางนั่งมองธิดาของตนด้วยความเป็นห่วง
หลังจากกินอาหารเสร็จ ทั้งสองเดินหาโรงเตี๊ยมบริเวณใกล้ ๆ ก่อนหญิงสาวจะหยิบมุกหนึ่งเม็ดออกจากเสื้อแล้วก้มมองด้วยสายตาเป็นประกาย พลันหันไปยังพี่เลี้ยง
“เราจะพักกันที่เมืองนี้ก่อนสักหน่อย ถ้าข้าเบื่อแล้วเราค่อยย้ายไปเมืองอื่น” หมิงเยว่พูดจบจึงตัดสินใจเดินเข้าไปยังโรงเตี๊ยมด้านหน้า ก่อนจะมีเถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมเดินมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“พวกเราสองคนอยากจะค้างที่นี่สักสามคืน สิ่งนี้พอจะแลกเปลี่ยนได้หรือไม่ พวกข้าไม่มีเงินติดตัว” หมิงเยว่ยื่นมุกหนึ่งเม็ดให้อีกฝ่าย ก่อนดวงตากลมจะเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงอย่างถึงที่สุด มือหนาสั่นเทาค่อย ๆ เอื้อมไปหยิบเม็ดมุกจากมือนาง แล้วเลื่อนขึ้นมองด้วยดวงตาเป็นประกาย
“พวกเจ้าเข้าไปได้เลย อยากจะค้างที่นี่กี่คืนก็ได้ ตามสบาย” เถ้าแก่ร้านรีบเรียกลูกน้องเดินนำทั้งสองไปยังห้องพัก ขณะที่เขายังคงจับจ้องมองเม็ดมุกในมือด้วยความดีใจอย่างถึงที่สุด
“มุกเนื้องามเช่นนี้ คิดยังไงเอามาแลก ช่างโง่เขลาสิ้นดี” เถ้าแก่ร้านส่ายศีรษะไปมาแล้วยิ้ม พลางเก็บของมีค่านั้นแล้วเดินกลับเข้าร้านไปด้วยความปลื้มใจ
สายตาของหมิงเยว่และซิ่วอิงเลื่อนมองดูห้องพักขนาดไม่ใหญ่มาก ก่อนพี่เลี้ยงจะเดินไปนั่งยังเก้าอี้ รินชาร้อน ๆ ให้ธิดาด้วยท่างทางราบเรียบ
“เหตุใดท่านจึงยอมเสี่ยงที่จะอยู่แดนมนุษย์เช่นนี้เจ้าคะ ท่านก็รู้ว่าประมุขเคยยื่นคำขาดแล้วว่าไม่ให้ท่านมายังแดนมนุษย์ อีกหนึ่งเดือนข้าว่ายังไงท่านประมุขก็ต้องกลับมาก่อนแน่ ๆ ถึงตอนนั้นท่านจะโดนทำโทษอย่างหนัก เหตุใดจึงดื้อรั้นเช่นนี้เจ้าคะ” ซิ่วอิงพูดด้วยความหนักใจ ก่อนหญิงสาวจะปล่อยยิ้มกว้างแล้วยกชาขึ้นดื่ม ท่ามกลางแสงเทียนไหวระริก
