บทที่ 4 กลับจากเผ่าเทพ
หญิงสาวในชุดสีเขียวอ่อน เดินถือผลไม้เชื่อมกินอย่างมีความสุข หาได้สนใจสายตาของมนุษย์ที่มองตรงมาเพราะความงดงามของนางเป็นที่ดึงดูด
“ธิดาหมิงเยว่เจ้าคะ ข้าไม่อยากให้ท่านใช้พลังวิญญาณรักษามนุษย์อีก หากรู้ไปถึงท่านประมุข จะโดนทำโทษเอาได้นะเจ้าคะ”
“ข้าไม่กลัวหรอก ท่านพ่อรักข้าจะตาย อย่างมากก็แค่กักบริเวณข้าไม่เกินสิบวันเท่านั้น เจ้าดูนี่สิ ผลไม้เชื่อมพวกนี้เลิศรสไร้ที่ติ ข้าแบ่งให้เจ้า เจ้าจะได้ไม่ต้องพูดมากอีก” ซิ่วอิงหน้างอด้วยไม่อาจเปลี่ยนใจธิดาได้ จึงจำใจเอื้อมไปหยิบผลไม้เชื่อมมากัด แล้วทำตามหมิงเยว่โดยไม่มีข้อโต้แย้ง
ท่ามกลางหุบเขาสีฟ้าอ่อน ปกคลุมด้วยดอกไม้พิษนานาพันธ์ุ ในเขตแดนเผ่ามาร ตำหนักใหญ่ไท่จู่เป็นที่อาศัยและบำเพ็ญตนของประมุขตงหยาง ชุดสีดำสนิทย่างเท้าเดินตรงไปยังสถานที่กักขังตงฟาง ร่างอันสง่างามเลื่อนสายตามองดูผลึกแล้วพูดออกมาบางเบาด้วยความรู้สึกผิด
“หากข้ารู้สักนิดว่าการกักขังท่านในเขตแดนมาร จะทำให้ท่านสามารถดูดรวมพลังวิญญาณได้มากมายเพียงนี้ ข้าจะไม่มีวันกักขังท่านในสถานที่แห่งนี้ ให้เป็นภัยต่อสรรพชีวิตอย่างเด็ดขาด” ก่อนเสียงคำรามดังกึกก้องตอบกลับมา พร้อมเสียงหัวเราะ
“รอข้าออกไป แล้วข้าจะกำจัดเจ้าเป็นคนแรก ไอ้คนทรยศ เจ้าทรยศต่อบรรพชน ทรยศต่อเผ่ามาร ยอมอยู่ใต้อาณัติเผ่าเทพไร้ศักดิ์ศรีสิ้นดี หากข้าหลุดไป ทั่วทั้งพิภพจักต้องสยบต่อแดนมาร ข้าจะกู้ศักดิ์ศรีของเผ่ามารกลับคืนจากเงื้อมมืออ่อนแอเช่นเจ้า” สายลมพัดโชยมาปะทะกาย ชุดสีดำทมิฬสยายไปตามแรงลม ดวงตาคมจับจ้องไปยังผลึกนั้นแล้วยิ้มบางเบา
“ตราบเท่าที่ข้ามีลมหายใจ ข้าจะไม่มีวันยอมให้ท่านทำลายสรรพชีวิต จะไม่มีชีวิตใด ต้องตายด้วยน้ำมือของท่านแม้เพียงคนเดียว” ตงหยางพูดด้วยความตั้งมั่น ก่อนเสียงหัวเราะของตงฟางจะดังขึ้นอีกครั้ง
“เช่นนั้นเจ้าก็ลองดูว่าจะสู้พลังวิญญาณขั้นเจ็ดของข้าได้หรือไม่” หลังจากฟังคำตอบโต้ของอีกฝ่าย ตงหยางเบี่ยงตัวเดินจากสถานที่กักขัง แล้วมุ่งตรงไปยังตำหนักไท่จู่ ก่อนบรรดาสาวใช้จะวิ่งเข้ามาต้อนรับ แล้วน้อมกายลงอย่างเป็นระเบียบ ทว่าท่าทางนิ่งเงียบของเขา ทำให้ไป่เอ๋อตัดสินใจเดินตามเข้าไปในห้องบำเพ็ญเพียรที่อยู่ติดลำธาร นางน้อมกายลงแล้วปล่อยยิ้มอ่อนโยนออกมา
“ท่านกลับมาจากเผ่าเทพแล้ว ข้าจะให้คนนำชาจากดอกมุ่ยเฉามาให้ท่านดื่มนะเจ้าคะ” นางรอคำตอบรับ ทว่าร่างอันสง่างามกลับหลับตานิ่งเฉยไม่โต้ตอบ ทำให้นางจำใจน้อมกายลงแล้วเบี่ยงตัวเดินออกจากห้องบำเพ็ญเพียรไป
ไป่เอ๋อเป็นบุตรบุญธรรมที่บิดาชุบเลี้ยงตั้งแต่นางมีอายุได้เพียงสามร้อยปี ทว่าด้วยความเฉลียวฉลาดของนางทำให้ตงเหรินรักและเมตตานางไม่ต่างจากบุตรคนอื่น นางมีตำแหน่งเป็นธิดาของเผ่ามารนับจากนั้นเป็นต้นมา จวบจนตงหยางรับตำแหน่งเป็นประมุข ตำแหน่งของไป่เอ๋อก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ธิดาไป่เอ๋อเจ้าคะ เหตุใดท่านจึงทำหน้าเช่นนั้น” สาวใช้เดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง หลังจากเห็นนางเดินออกจากห้องบำเพ็ญเพียรของประมุขตงหยาง
“เจ้าช่วยไปนำชามุ่ยเฉามาให้ข้าที ข้าจะนำไปให้ท่านประมุขดื่ม”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่งแล้วเบี่ยงตัวเดินจากไปทำหน้าที่ ก่อนไป่เอ๋อจะหันกลับไปยังห้องบำเพ็ญเพียรด้วยสายตาเจ็บปวด ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายหมื่นปี นางมีใจปฏิพัทธ์ต่อตงหยางเสมอมาไม่เคยเปลี่ยน ทว่าความเย็นชาเก็บตัวเงียบของเขา ทำให้นางไม่เคยเข้าถึงตัวตนของตงหยางได้เลย
“สักวัน ข้าจะทำให้ท่านเปิดใจรับข้า” นางตั้งสัจจะกับตัวเองด้วยความตั้งมั่น
ตงหยางลืมตาขึ้น สัดส่ายดวงตาไปมาพร้อมความคิดมากมาย ด้วยใจไม่สงบเขาจึงออกจากการบำเพ็ญเพียร ลุกขึ้นเดินตรงไปยังระเบียงไม้ที่มีธารน้ำพาดผ่าน เสียงอันสงบของผืนป่าทำให้ชายหนุ่มจมดิ่งกับความคิด พร้อมสายลมพัดโชยมาให้อาภรณ์สีดำพัดไหวอย่างสง่างาม
“ข้าจะตามหาผู้มีดวงจิตสีเพลิงได้อย่างไร” ความคิดยังไม่ทันสิ้นสุด เสียงฝีเท้าของไป่เอ๋อก็เดินมาหยุดด้านหลัง พลันน้อมกายลงแล้วยื่นชามุ่ยเฉาให้เขาด้วยกิริยาอ่อนหวาน
“ท่านประมุขดื่มชาร้อน ๆ สักถ้วยนะเจ้าคะ” เสียงของนางทำให้เขาค่อย ๆ หันกลับมาในท่วงท่าสง่างามเช่นเดิม พร้อมสายลมพัดมาเป็นระยะ ก่อนหญิงสาวจะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาราวภาพวาด
“ตั้งแต่กลับจากเผ่าเทพ ข้าเห็นท่านมีเรื่องครุ่นคิดมากมาย บางทีท่านไม่ควรเก็บเรื่องราวทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว แม้ข้าเป็นหญิง ทว่าข้าอยากแบ่งเบาความทุกข์ใจของท่าน” สายตาเป็นประกายของหญิงสาวทำให้ตงหยาง เอื้อมมารับชาขึ้นดื่ม อย่างใช้ความคิด แล้วตัดสินใจระบายความทุกข์ใจออกมา
“อีกไม่นานตงฟางจะเป็นอิสระ ถึงเวลานั้น ทั่วทั้งพิภพจะประสบเคราะห์ภัยใหญ่หลวง” ดวงตากลมเบิกกว้างแล้วพูดขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ตงฟางจะหลุดออกมาได้อย่างไร ในเมื่อท่านประมุขผลึกเขาอย่างแน่นหนา อีกอย่างเพียงแค่พลังวิญญาณขั้นห้าของเขา ไม่สามารถเอาชนะพลังวิญญาณขั้นหก ที่ท่านผลึกเขาไว้ได้อย่างเด็ดขาด” ไป่เอ๋อส่ายศีรษะอย่างไม่เชื่อ ก่อนตงหยางจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
