บทที่ 18 รู้จักตัวตนเทพฉางจือมากขึ้น
“ตำหนักเมฆาเป็นตำหนักเก่าแก่ในเผ่าเทพ แม้แต่ข้ายังไม่มีโอกาสได้อาศัยในสถานที่แห่งนั้นเลย หึ! ดูท่าจะมีคนมาแย่งความสำคัญไปจากข้าแล้วสิ ข้าชักอยากเห็นหน้าธิดาเผ่าวิหคอยู่เหมือนกันว่าจะมีรูปโฉมเช่นใด ข้าคิดว่าควรไปเยี่ยมนางสักหน่อย” พูดจบเทพธิดาจางซินก็สะบัดตัวเดินออกจากตำหนักจิวหลงมุ่งหน้าไปยังตำหนักเมฆาทันที
ขณะที่เทพฉางจือกำลังฝึกฝนหมิงเยว่อยู่นั้น เทพธิดาจางซินทอดสายตามองตรงไปยังลานฝึกด้วยสายตายากจะคาดเดา
“ธิดาเผ่าวิหคผู้นี้ มีใบหน้างดงามหมดจดยิ่งนัก ทว่าพลังวิญญาณของนางกลับต่ำต้อยเพียงแค่ขั้นหนึ่งเท่านั้น ฝีมือเช่นนี้ ต่อให้มีเวลาฝึกฝนอีกหมื่นปีก็ไม่มีทางสำเร็จพลังวิญญาณขั้นห้าได้” เทพธิดาจางซิน ยังคงยืนมองการฝึกฝนของหมิงเยว่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปด้วยท่วงท่าสง่างาม เมื่อเทพฉางจือเห็นดังนั้น จึงหยุดการฝึกแล้วหันมาน้อมกายลงเคารพผู้มาเยือน
“เทพธิดาจางซิน” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ก่อนหมิงเยว่จะเลื่อนสายตามองอีกฝ่าย เมื่อเห็นอาภรณ์รวมถึงเครื่องประดับที่นางตบแต่ง ก็เดาได้ในทันทีว่าตำแหน่งของนางสูงส่งเพียงใด หมิงเยว่จำต้องน้อมกายลงเคารพด้วยเช่นกัน
“ไม่ทราบว่าเทพธิดาจางซินมาถึงตำหนักเมฆาด้วยตัวเอง มีเรื่องใดให้ข้าน้อยรับใช้ขอรับ” หญิงสาวยกยิ้มมุมปาก จับจ้องมองตรงมายังหมิงเยว่ด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก
“ข้าได้ยินมาว่า ท่านพี่อนุญาตให้ผู้มีดวงจิตสีเพลิงพำนักที่ตำหนักเมฆา ข้าจึงอยากรู้ว่าเป็นผู้ใดกัน ที่แท้ก็เป็นหญิงที่มีพลังวิญญาณขั้นหนึ่งเท่านั้นเอง คิดไม่ถึงว่าเป็นถึงธิดาเผ่าวิหคจะมีพลังวิญญาณน้อยนิดเช่นนี้ ข้าชักเริ่มหวั่นใจแล้วสิ ว่าสรรพชีวิตจะรอดพ้นภัยพิบัติไปได้อย่างไร” คำหมิ่นจากเทพธิดาจางซินทำให้หมิงเยว่ไม่อาจอยู่เฉย นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“แม้ข้าจะมีพลังวิญญาณเพียงแค่ขั้นหนึ่ง แต่ข้าจะพยายามตั้งใจฝึกฝน จะไม่ทำให้ประมุขตงหยาง หรือแม้แต่ราชันเผ่าเทพผิดหวัง” สิ้นเสียงของหมิงเยว่ เทพธิดาจางซินจึงยกยิ้มมุมปาก
“หึ!พยายามฝึกฝนงั้นเหรอ แต่เหตุใดที่ผ่านมาพลังวิญญาณของเจ้ายังอยู่เพียงแค่ขั้นหนึ่งเท่านั้นล่ะ ไม่สมกับที่มีดวงจิตสีเพลิงอยู่ในกายเลย” ฉางจือเห็นท่าไม่ดีจึงพูดขึ้น
“ขอเทพธิดาจางซินอย่าได้รีบร้อนไปเลยขอรับ ข้าจะพยายามฝึกฝนธิดาหมิงเยว่ ให้สำเร็จพลังวิญญาณขั้นสามโดยเร็วที่สุด ต่อจากนั้นประมุขตงหยางจะเป็นผู้ฝึกนางเองขอรับ”
“เจ้าว่าไงนะ ประมุขตงหยางจะฝึกนางด้วยตัวเองงั้นเหรอ” จางซินขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามด้วยความกังวลใจ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังหมิงเยว่ แล้วสะบัดตัวเดินจากไป พร้อมเทพฉางจือหันกลับมายังหญิงสาว ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนัก
“ขอท่านได้อย่าใส่ใจกับเทพธิดาจางซินเลย นางเป็นคนเอาแต่ใจและอารมณ์ร้อนเช่นนี้เสมอ ด้วยเพราะราชันจางเหว่ยตามใจนางมากเกินไป ยิ่งรู้ว่าประมุขตงหยางจะเป็นผู้ฝึกฝนท่านในภายหน้า นางต้องยิ่งไม่พอใจท่านมากขึ้นอีกเป็นแน่ ไม่ว่ายังไง ข้าอยากเตือนให้ท่านอยู่ห่างนางไว้เป็นดีที่สุด” เทพฉางจือพูดจบ รอยยิ้มของหมิงเยว่ก็เผยออกมาให้เขาประหลาดใจ
“ท่านยิ้มอะไร” หมิงเยว่ส่ายศีรษะปฏิเสธ ทว่ารอยยิ้มของนางมีประกายความสุขบางอย่างแฝงอยู่
“อยู่ ๆ ข้าก็รู้สึกอยากยิ้มขึ้นมาอย่างนั้น เรื่องของเทพธิดาจางซินข้าไม่สนใจ แต่ที่ท่านพูดกับนางเมื่อครู่ ว่าหากข้าสำเร็จพลังวิญญาณขั้นสามแล้ว ประมุขตงหยางจะเป็นผู้ฝึกฝนข้าต่อจากนี้ใช่หรือไม่” ฉางจือพยักหน้าตอบรับในทันที
“ออ..ข้ารู้แล้ว ว่าท่านยิ้มสิ่งใด ที่แท้เพราะเรื่องประมุขตงหยางนี่เอง” ฉางจือเข้าใจเหตุผลในทันที ก่อนจะก้าวเท้าเดินมายังริมสระบัวสีม่วง แล้วพูดขึ้นด้วยความเข้าใจ
“ประมุขตงหยางนอกจากมีคุณธรรมสูงส่งเป็นที่ยอมรับของเผ่าต่าง ๆ แล้ว เขายังมีรูปร่างหน้าตางดงามยากหาใครเปรียบ ทั่วทั้งพิภพมีใครบ้างไม่สนใจเขา ไม่เว้นแม้แต่ธิดาเผ่าวิหคด้วยเช่นกัน” หมิงเยว่ปล่อยยิ้มกว้างอย่างเปิดเผย พลางเดินตามฉางจือไปยังสระบัวสีม่วง ทอดสายตามองปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำด้วยหัวใจพองฟู
“เทพฉางจือ ท่านคงไม่รู้ว่าข้าชื่นชอบเขาตั้งแต่ยังไม่ทันได้พบหน้า” ฉางจือขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ ก่อนหมิงเยว่จะเล่าต่อด้วยสีหน้าชื่นชม
“ที่เผ่าวิหค มีบันทึกเล่มหนึ่งเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของประมุขตงหยาง นับจากข้าเป็นเด็กตัวน้อย ซิ่วอิงมักจะอ่านบันทึกเล่มนั้นให้ข้าฟังอยู่บ่อยครั้ง ข้าจินตนาการว่าเขาเป็นวีรบุรุษ ผู้เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ทำให้ข้าชื่นชมเขาตั้งแต่ข้าอายุได้เพียงห้าร้อยปี” ฉางจือได้ยินดังนั้นจึงอมยิ้ม แล้วหันใบหน้างดงามกลับมายังหญิงสาว
“พึ่งรู้ว่าธิดาเผ่าวิหคเป็นผู้ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม คิดเช่นไรก็พูดเช่นนั้นไม่ปิดบัง” หมิงเยว่ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น
“ท่านไม่คิดว่าข้าเป็นหญิงแก่แดด แอบชื่นชมบุรุษตั้งแต่อายุเพียงห้าร้อยปีหรอกเหรอ” ฉางจือส่ายศีรษะแล้วหัวเราะออกมาให้กับคำถามของอีกฝ่าย
“หากธิดาหมิงเยว่เป็นหญิงแก่แดด แล้วเทพธิดาจางซินจะเป็นเช่นไร” หญิงสาวเอียงศีรษะเล็กน้อย
“หมายความว่าอย่างไร” นางเอ่ยถาม ก่อนเทพฉางจือจะถอนหายใจแล้วพูดขึ้น
“ประมุขตงหยาง เป็นที่หมายปองของเทพธิดาจางซินมานานนับหมื่นปี ทั่วทั้งพิภพรู้ดีว่านางมีใจปฏิพัทธ์ต่อประมุขตงหยาง หากนางรู้ว่าท่านเองมีใจต่อประมุขตงหยางด้วยเช่นกัน ข้าเกรงว่าท่านจะอยู่เผ่าเทพอย่างยากลำบาก อย่างไรข้าอยากให้ท่านอยู่ห่างนางไว้เป็นดีที่สุด” หญิงสาวทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า แล้วเก็บคำเตือนของเทพฉางจือไว้พิจารณา
