บทที่ 17 ผิดหวัง
“จริง ๆ ไม่ต้องต้อนรับข้าด้วยตำหนักใหญ่โตเช่นนั้นก็ได้” หมิงเยว่ตอบไปตามความรู้สึก เพราะเคยได้ยินว่าตำหนักเมฆาเป็นตำหนักสำคัญของเผ่าเทพ ราชันจางเหว่ยส่ายศีรษะแล้วย่างเท้าเข้ามาหาหญิงสาว จับจ้องมองนางครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเมตตา
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีพลังวิญญาณเพียงแค่ขั้นหนึ่งเท่านั้น ซึ่งพลังระดับนี้ไม่เพียงพอที่จะร่วมมือกับประมุขตงหยางต่อกรกับจอมมารได้ เจ้าจำเป็นต้องฝึกฝนเพื่อยกระดับพลังวิญญาณให้สูงขึ้นอีก และการมีตำหนักใหญ่โตกว้างขวางจะช่วยให้เจ้าผ่อนคลาย สามารถฝึกฝนได้ง่ายขึ้น” จางเหว่ยแสดงความเต็มใจ ทว่าหมิงเยว่เลื่อนมองท่าทางนิ่งเงียบของประมุขตงหยางแล้ว เขากลับมีท่าทีนิ่งเฉย ยากจะเดาว่าเขาคิดสิ่งใด
“ข้าต้องฝึกอีกนานเท่าใด” หมิงเย่วเอ่ยถามทั้งสองด้วยความอยากรู้
“อย่างต่ำขั้นห้า” หมิงเยว่ได้ยินดังนั้นจึงเบิกตากว้าง พลางส่ายศีรษะปฏิเสธในทันที
“อย่างข้า ไม่มีทางฝึกฝนให้พลังวิญญาณอยู่ในระดับที่สูงเพียงนั้นได้ อย่างไรก็ไม่มีทาง พวกเขาหวังผิดคนแล้วล่ะ” หมิงเยว่ลอบคิดในใจพลันกำมือแน่นด้วยความไม่มั่นใจ
“เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องการฝึกฝน ข้าจะส่งฉางจือไปช่วยฝึกฝนให้เจ้าก่อนสักสองสามเดือน ระหว่างนี้ก็ขอให้เจ้าค่อย ๆ เรียนรู้ธรรมเนียมในเผ่าเทพไปก่อน” ตงหยางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะหันไปยังราชันเผ่าเทพ
“ข้าพานางมาส่งให้เจ้าแล้ว ที่เหลือฝากเจ้าดูแลนางด้วย”
“ท่านจะไปไหน” หมิงเยว่หันมาเอ่ยถาม ก่อนเขาจะตอบกลับ
“หมดหน้าที่ข้าแล้ว ข้าต้องกลับเผ่ามาร” หมิงเยว่ทำท่าสับสนเล็กน้อย
“ท่านไม่อยู่กับข้าที่เผ่าเทพหรอกเหรอ”
“ไม่จำเป็น ในเมื่อเผ่าเทพมีคนคอยดูแลเจ้าแล้ว ก็หมดหน้าที่ของข้า” สิ้นเสียงของประมุขมาร ร่างของเขาก็หายวับไป หลงเหลือเพียงความว่างเปล่า ก่อนรอยยิ้มของราชันเผ่าเทพจะเผยออกมาอย่างเมตตา
“เจ้าไม่ต้องกลัวไปหรอก ในเมื่อประมุขเผ่าวิหคยอมมอบธิดาอันเป็นที่รักของเขามายังเผ่าเทพแล้ว ข้าสัญญาว่าจะดูแลเจ้าอย่างดี ไม่ให้มีขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย ระหว่างนี้เจ้าก็ไปพักผ่อนก่อน ถึงเวลาข้าจะส่งฉางจือคอยฝึกฝนเจ้าอีกที”
ท่ามกลางตำหนักเมฆา หมิงเยว่เดินออกมานั่งรับลมเพียงผู้เดียวยังแท่นหินสีขาว ที่รายล้อมด้วยดอกไม้สวรรค์ชูช่อออกดอกงดงาม พร้อมส่งกลิ่นหอมมาเป็นระยะ หลายวันแล้วที่นางก้าวเข้ามาอาศัยยังเผ่าเทพ แม้การต้อนรับจะแสดงถึงความจริงใจมีการส่งเทพรับใช้จำนวนหนึ่งมาดูแลอย่างใกล้ชิด ทว่าหมิงเยว่รู้สึกผิดหวังลึก ๆ ที่ประมุขตงหยางไม่ได้เป็นผู้ดูแลนางอย่างที่หวังไว้
หญิงสาวยกมือเท้าคางแล้วเอื้อมไปหยิบผลไม้กัดกินพร้อมความคิดมากมายในสมองแล่นเข้ามาให้ขบคิด ไม่นานนักชายหนุ่มในชุดสีขาวก็ปรากฏตัวแล้วเดินตรงมาน้อมกายลงเคารพหมิงเยว่ด้วยใจบริสุทธิ์
“ท่านเป็นใคร” หมิงเยว่จับจ้องผู้มาเยือนพลางเอียงศีรษะเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ ก่อนวางผลไม้ในมือลง ท่ามกลางรอยยิ้มอ่อนของอีกฝ่าย
“ข้าได้รับคำสั่งจากราชันจางเหว่ย ให้มาฝึกฝนธิดาหมิงเยว่ขอรับ” หมิงเยว่เลื่อนสายตามองชายหนุ่มตรงหน้าที่สวมชุดสีขาวสะอาด ผิวพรรณผุดผ่อง คงไม่ใช่เทพรับใช้ธรรมดาทั่วไป ด้วยรัศมีวรกายเฉิดฉายเกินกว่าเทพรับใช้บริเวณนั้น
“ท่านคือเทพฉางจือใช่หรือไม่” ชายหนุ่มน้อมกายลงแล้วตอบรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ขอรับ” หญิงสาวเม้มปากแล้วลุกขึ้นเดินตรงมายังชายหนุ่ม จับจ้องมองเขาครู่หนึ่ง แล้วยิ้มกว้างออกมาอย่างสดใส
“โชคดีไป ดูท่าแล้วท่านไม่ใช่คนเข้มงวดเท่าใดนัก ข้าคิดว่าเทพฉางจือ จะเป็นผู้เฒ่าที่เคร่งครัดในกฎระเบียบเสียอีก เช่นนี้ข้าค่อยสบายใจหน่อย” ฉางจือได้ยินดังนั้นจึงหลุดยิ้ม แล้วพาหมิงเยว่เดินมายังลานฝึก แม้นางจะมีพลังวิญญาณเพียงแค่ขั้นหนึ่ง แต่ฐานะธิดาเผ่าวิหคยังนับว่า นางมีฐานะสูงว่าเทพฉางจืออยู่มาก อีกทั้งยังมีดวงจิตสีเพลิงที่เป็นพลังวิเศษแฝงในกายอีก
“เจ้าว่ายังไงนะ ประมุขตงหยางมาที่เผ่าเทพเหรอ” จางซินเอ่ยถามเทพรับใช้ที่น้อมกายอยู่เบื้องหน้า สายตาสั่นไหวแสดงความหวังขึ้นมาพลางรีบวางมือจากผ้าปัก แล้วลุกขึ้นในทันที
“ข้าจะไปหาประมุขตงหยาง”
“เดี๋ยวเจ้าค่ะ” เทพรับใช้เอ่ยห้าม ก่อนหญิงสาวจะขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“ทำไม ทำไมข้าจะไปหาประมุขตงหยางไม่ได้”
“ตอนนี้ประมุขตงหยางกลับเผ่ามารไปแล้ว เขาเพียงแค่มาส่งผู้มีดวงจิตสีเพลิงให้กับราชันจางเหว่ยเท่านั้น มิได้อยู่นานเหมือนคราวก่อน” หญิงสาวทบทวนช้า ๆ ครู่หนึ่งแล้วหันไปถามเทพรับใช้ข้างกายด้วยความอยากรู้
“หมายความว่า ท่านพี่พบผู้มีดวงจิตสีเพลิงแล้วงั้นเหรอ เขาเป็นผู้ใดกัน” จางซินหันมาให้ความสนใจกับผู้มีดวงจิตสีเพลิงที่จะช่วยกอบกู้ภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้น ก่อนเทพรับใช้จะน้อมกายลงแล้วรายงานตามความเป็นจริง
“นางเป็นธิดาเผ่าวิหค นามว่าหมิงเยว่เจ้าค่ะ” สายตากลมสั่นไหวไปมาด้วยความไม่เข้าใจ
“ผู้มีดวงจิตสีเพลิงเป็นหญิงงั้นเหรอ จะเป็นหญิงได้อย่างไร ในเมื่อต้นจิตของหญิงย่อมอ่อนแอกว่าชาย จะรองรับพลังแฝงมหาศาลเช่นนั้นได้อย่างไร เจ้าแน่ใจนะว่าที่ยินมาไม่คลาดเคลื่อน”
“ข้าน้อยแน่ใจเจ้าค่ะ ประมุขตงหยางพานางมายังเผ่าเทพด้วยตัวเอง ยังไงก็ไม่ผิดแน่ ตอนนี้ราชันจางเหว่ยก็ได้ประทานตำหนักเมฆาให้นางไว้ฝึกฝนพลังวิญญาณแล้วด้วย”
