บทที่ 14 ต้นจิตเดิมคือดวงจิตสีเพลิง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้น เหตุใดพวกท่านถึงได้...” ยังไม่ทันที่หมิงเยว่พูดจบ ชายกลางคนจึงตัดสินใจพูดบางอย่างออกมา
“เวลานี้พิภพของเรากำลังจะเกิดภัยพิบัติใหญ่ จอมมารตงฟางกำลังจะได้รับอิสระ ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน เขามาพร้อมพลังวิญญาณกล้าแกร่ง กับความโกรธแค้นในอดีต ย่อมสามารถทำลายทุกสรรพสัตว์ให้ย่อยยับได้ในพริบตา” หมิงเยว่สัดส่ายสายตาไปมาอย่างใช้ความคิด ก่อนนางจะเอ่ยขึ้น
“แต่พวกเรามีประมุขตงหยาง ไม่ว่ายังไงเขาจะต้องเขาชนะตงฟางได้แน่ ๆ” ต้าเหรินส่ายศีรษะไปมาด้วยความสายตาหวาดหวั่น
“ถ้าจอมมารตงฟางหล่อหลอมพลังวิญญาณจนสำเร็จขั้นเจ็ดเมื่อใด แม้แต่ประมุขตงหยางก็ไม่สามารถต่อกรกับเขาได้ ต่อให้พวกเราทั้งสี่เผ่ารวมกัน ก็ไม่มีทางต้านทานพลังมหาศาลขนาดนั้นได้ มีเพียงทางเดียว” หยางซินก้มหน้าร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด ท่ามกลางสายตาสับสนของหญิงสาว จับจ้องมองทุกคนด้วยความแปลกใจ
“ทางเดียวคืออะไรเหรอเจ้าคะ” หมิงเยว่เอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“ผู้มีดวงจิตสีเพลิงเท่านั้นที่จะช่วยได้ หากผู้มีดวงจิตสีเพลิงผลึกพลังวิญญาณรวมกับประมุขตงหยาง ก็อาจเป็นไปได้ที่จะเอาชนะจอมมารตงฟาง นี่คือหนทางเดียวที่จะทำให้สรรพชีวิตรอดพ้นจากเคราะห์กรรม” หมิงเยว่นิ่งเงียบ แล้วทอดสายตามองบิดามารดาด้วยความแปลกใจ
“เช่นนั้นเราจะหาผู้มีดวงจิตสีเพลิงได้ที่ใดเจ้าคะ ให้ข้าช่วยออกตามหาอีกแรงดีหรือไม่ ข้าหนีออกไปเที่ยวเล่นยังแดนมนุษย์บ่อยครั้ง ข้าคุ้นชินกับที่นั่นเป็นอย่างดี เพียงแค่ท่านพ่ออนุญาตข้าจะช่วยออกตามหาผู้มีดวงจิตสีเพลิงทันที ว่าแต่...ผู้มีดวงจิตสีเพลิงมีลักษณะเช่นไร” หญิงสาวถามด้วยสายตาเดียงสา ท่ามกลางเสียงสะอื้นไห้ของหยางซินที่พยายามเก็บซ่อนความเจ็บปวดไว้ ก่อนมือของต้าเหรินจะเอื้อมมาจับใบหน้าของลูกสาวด้วยความรัก
“หมิงเยว่...เจ้าไม่ต้องออกตามหาผู้มีดวงจิตสีเพลิงหรอก”
“ทำไมเจ้าคะ” หญิงสาวเลิกคิ้วด้วยความอยากรู้
“เพราะดวงจิตสีเพลิง คือต้นจิตเดิมของเจ้า เจ้าคือผู้มีดวงจิตสีเพลิง และเป็นผู้ถูกเลือกให้ขึ้นไปบำเพ็ญเพียรบนเผ่าเทพ เพื่อเคียงข้างต่อสู้กับประมุขตงหยางในการปราบจอมมารครั้งนี้” หมิงเยว่สัดส่ายดวงตาไปมาด้วยความสับสน ก่อนนางจะแย้มยิ้มออกมาอย่างไม่เชื่อ
“พวกท่านต้องล้อข้าเล่นแน่ ๆ อย่างข้าจะมีดวงจิตสีเพลิงได้อย่างไร อีกทั้งพลังวิญญาณของข้าก็แค่ปลายแถว จะต่อสู้กับมารตงฟางได้อย่างไร” นางพูดพร้อมลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความสับสน ก่อนประมุขต้าเหรินจะเดินตามไป
“เช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าดูต้นจิตเดิมของเจ้า” ว่าแล้วเขาจึงใช้พลังวิญญาณขั้นสามพุ่งใส่หมิงเยว่ทันที เผยให้เห็นต้นจิตแท้จริงเด่นชัด จนหญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด ต้นจิตของนางเป็นสีเพลิงแดงฉาน แตกต่างจากต้นจิตของผู้อื่นที่มีสีขาวบริสุทธิ์ นางนิ่งอึ้งทอดสายตามองต้นจิตตัวเองด้วยความแปลกใจ ก่อนต้าเหรินจะหยุดใช้พลังวิญญาณแล้วเดินเข้าไปจับกายนางหันมา
“นับจากวันที่เจ้าเกิดมา ข้ากับหยางซินจำต้องปกปิด ไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าต้นจิตของเจ้าเป็นสีเพลิง เพราะบารมีเช่นนี้จะนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเจ้า ทว่าเมื่อเวลานี้มาถึง ข้าไม่อาจเก็บเจ้าไว้กับตัว ทุกสรรพสัตว์ล้วนอยู่ในมือของเจ้า” คำพูดของต้าเหริน ทำให้หมิงเยว่รู้สึกถึงความกดดันที่ถาโถมเข้ามา
“จะเป็นไปได้ยังไง อย่างข้าไม่มีความสามารถเช่นนั้นหรอก ข้าถนัดเรื่องการทำอาหาร การผสมยา และเที่ยวเล่นแค่นั้น เรื่องจริงจังเช่นนี้ ข้าทำไม่ได้หรอกท่านพ่อ ทั่วทั้งพิภพจะฝากความหวังไว้ที่ข้าได้อย่างไร ข้าไม่เหมาะสมหรอก” หญิงสาวสัดส่ายสายตาไปมาอย่างหวาดหวั่น
“จะเหมาะสมหรือไม่ ประมุขตงหยางได้ตัดสินใจแล้ว ว่าเขาจะมารับเจ้าไปยังเผ่าเทพ” หมิงเยว่ได้ยินดังนั้น จึงทบทวนทุกอย่างเงียบ ๆ
“หมายความว่าประมุขตงหยางก็รู้ ว่าข้ามีดวงจิตสีเพลิง ที่เขามาส่งข้าที่เผ่าวิหคด้วยตัวเองก็เพราะเหตุนี้เหรอ” หมิงเยว่เอ่ยถามบิดาด้วยความผิดหวัง ก่อนชายกลางคนจะพยักหน้าขึ้นลง
“ข้าไม่อยากไปเผ่าเทพ ข้าไม่อยากจากท่านพ่อท่านแม่ไป” หญิงสาวหน้างอแล้วเดินไปหามารดา โอบกอดแล้วออดอ้อนเอาแต่ใจดังเดิม หยางซินปาดน้ำตาแล้วส่งยิ้มเมตตาให้ลูกสาว พลันจับมือแน่นแล้วพูดขึ้นอย่างเข้มแข็ง
“ตอนนี้เจ้ายังเด็ก ยังอยากเอาแต่ใจ อยากเที่ยวเล่น ทว่าเมื่อถึงเวลาแม่เชื่อว่าเจ้าต้องทำได้ ที่เผ่าเทพมีราชันจางเหว่ยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตา” หมิงเยว่นึกถึงบันทึกนั้นขึ้นมา และจำได้ราง ๆ ก่อนจะพูดขึ้น
“จางเหว่ย สหายรักของประมุขตงหยาง”
“ใช่แล้ว พวกเขาจะต้องอบรมและฝึกฝนเจ้า ให้เป็นผู้ที่เข้มแข็ง สามารถดึงพลังแห่งดวงจิตสีเพลิงของเจ้า ออกมารบเคียงคู่กับประมุขตงหยางได้อย่างแน่นอน” หมิงเยว่จากที่งอแง กลับนิ่งเฉย ทบทวนสิ่งต่าง ๆ
“หากข้าขึ้นไปยังเผ่าเทพ ข้าจะอยู่ภายใต้การดูแลของราชันจางเหว่ยและประมุขตงหยางงั้นเหรอ”
“ถูกต้อง” ต้าเหรินยืนยัน ทำให้หมิงเยว่เห็นข้อดีของการขึ้นไปเผ่าเทพ นางจะได้ใกล้ชิดประมุขตงหยางมากขึ้น
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามีเรื่องอยากจะถาม” หญิงสาวหันมองทั้งสองแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
