บทที่ 15 ขอพบเทพแห่งชะตา
“มีอะไร” ต้าเหรินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเมตตา
“ข้ารู้ว่าผู้ปกครองสูงสุดตอนนี้คือราชันเผ่าเทพ แต่ไม่ว่าจะเป็นเผ่าวิหค เผ่าจิ้งจอก เผ่ามาร ล้วนแล้วแต่มีฐานะเท่ากัน ในขณะที่ท่านพ่อท่านแม่มีอายุมากกว่า แต่เหตุใดท่านจึงดูเกรงใจประมุขตงหยางนัก” ชายกลางคนปล่อยยิ้มกว้าง แล้วอธิบายให้หมิงเยว่ฟังช้า ๆ
“สามเผ่าเรามีฐานะเท่ากันก็จริง แต่ในทางปฏิบัติ ประมุขตงหยางมีบุญคุณกับพิภพมากที่สุด ด้วยพลังวิญญาณสูงสุดของเขา นำหน้าราชันเผ่าเทพอยู่หลายระดับ เขาจึงได้รับการยกไม่ต่างจากราชันเผ่าเทพ จะพูดกันตรง ๆ หากประมุขเผ่ามารคิดขึ้นครองความเป็นใหญ่ ก็ไม่มีใครขัดขวางเขาได้” หมิงเยว่ค่อย ๆ ย่อตัวลงนั่งอย่างใช้ความคิด ก่อนต้าเหรินจะก้าวเท้าเดินข้ามาใช้มือตบบ่าลูกสาวเบา ๆ
“ต่อให้เจ้าจะหลีกหนี ไม่อยากไปฝึกฝนพลังวิญญาณที่เผ่าเทพสักเพียงใด เจ้าก็หลีกหนีประมุขตงหยางไม่พ้นหรอก ในความคิดของเขา ความสงบสุขของสรรพชีวิตคือสิ่งที่เขายึดมั่น เจ้ามีเวลาอีกหลายคืนที่จะทบทวน” พูดจบประมุขต้าเหรินจึงหันไปจูงมือภรรยาออกจากห้องไป ปล่อยให้ธิดาหมิงเยว่นั่งทบทวนสิ่งต่าง ๆ ภายในห้องเพียงคนเดียว
บนเผ่าเทพอันกว้างใหญ่ ขณะที่ราชันจางเหว่ยนั่งอ่านตำราในมืออย่างเงียบ ๆ เสียงฝีเท้าของจางซินก็เดินเข้ามาพร้อมเทพรับใช้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง
“ท่านพี่” หญิงสาวเอ่ยเรียกด้วยความร้อนใจ ก่อนจางเหว่ยละสายตาจากตำราแล้วเงยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“จางซิน เจ้ามีอะไรถึงได้รีบวิ่งเข้ามาเช่นนี้” หญิงสาวน้อมกายลงเคารพแล้วเดินเข้าไปหาพี่ชายพร้อมใบหน้างอเง้า
“ประมุขตงหยางกลับไปเผ่ามารแล้วเหรอ”
“ใช่” เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดิม
“เหตุใด ท่านพี่ไม่ยื้อเวลาเขาอีกสักหน่อย ข้าอุตส่าห์เตรียมขนมไว้มากมาย เลี้ยงต้อนรับ แต่พอกลับออกมา ก็พบว่าเขาจากไปแล้ว”
“จางซิน ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกเช่นไรกับตงหยาง แต่ข้ารู้จักเขาดีกว่าใคร หลายหมื่นปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีหญิงงามคนใดชนะใจเขาได้แม้เพียงคนเดียว บางครั้งข้าอยากให้เจ้าเผื่อใจไว้บ้าง ลองมองหาเทพองค์อื่น ก็ยังมีอีกมากมายที่คู่ควร” หญิงสาวได้ยินดังนั้นจึงย่อตัวลงนั่งด้านข้างด้วยสายตาละห้อย
“ไม่ หัวใจข้ามีเพียงประมุขตงหยางเท่านั้น ข้าไม่เคยรู้สึกกับคนอื่นเหมือนรู้สึกกับเขา แต่ทั้ง ๆ ที่ท่านพี่เป็นสหายรักของเขามาหลายหมื่นปี ท่านช่วยสนับสนุนข้าไม่ได้เหรอ” จางซินพยายามขอร้อง ก่อนราชันจางเหว่ยจะยกมือลูบศีรษะนางด้วยความรัก
“ใช่ว่าข้าจะไม่เคยสนับสนุนเจ้า แต่เพราะตงหยางไม่ได้คิดกับเจ้าเช่นนั้น จะให้ข้าบังคับใจเขาได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นตอนนี้พิภพของเราใช่ว่าจะสงบสุขเหมือนที่ผ่านมา ภัยพิบัติใหญ่รออยู่ด้านหน้า ตงหยางไม่มีเวลามาคิดเรื่องไร้สาระเช่นนี้” จางซินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“เช่นนั้นข้าหาทางใกล้ชิดเขาเองก็ได้” นางตอบกึ่งประชด ก่อนจะเบี่ยงตัวเดินจากไปอย่างไม่พอใจนัก
บนเผ่าเทพทางทิศตะวันตกตำหนักสีขาวเด่นตระหง่านบ่งบอกสถานะเทพชั้นสูงของเผ่าเทพได้เป็นอย่างดี สองเท้าของเทพธิดาจางซินเดินเข้าไปด้วยความรีบร้อน พร้อมเทพรับใช้ค้อมกายเคารพอย่างพร้อมเพรียง นางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างคนเอาแต่ใจ
“ไม่ทราบว่าเทพธิดาจางซิน มาพบกับเทพแห่งชะตาด้วยธุระใดหรือเจ้าคะ” เทพรับใช้นางหนึ่งเดินเข้ามาต้อนรับ พลันค้อมกายลงอย่างอ่อนน้อมแล้วเอ่ยถาม
“ข้าต้องรายงานเจ้าด้วยเหรอ ว่าข้ามาพบเทพแห่งชะตาด้วยเรื่องใด ในเมื่อข้าอยากพบ ข้าก็ต้องได้พบ ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด” เทพธิดาจางซินพูดด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจดังเดิม ก่อนอีกฝ่ายจะค้อมตัวแล้วอึกอักเล็กน้อย
“ตอนนี้เทพแห่งชะตานั่งตรวจตำราที่ห้องเทียน บอกข้าตั้งแต่เช้า ว่าไม่ประสงค์รับแขก” สายตาของจางซินเลื่อนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแน่นิ่งไม่พอใจ ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นด้วยท่าทางยโสตามนิสัยที่ติดตัวมา
“ข้า...เป็นถึงเทพธิดาเผ่าเทพ นอกจากราชันจางเหว่ยแล้ว ไม่มีใครเหนือกว่าข้า ต่อให้เป็นเทพแห่งชะตาเอง ก็ไม่อาจปฏิเสธความต้องการของข้าได้ เจ้ารีบพาข้าไปหาเขาเดี๋ยวนี้” ด้วยอำนาจของอีกฝ่ายทำให้เทพรับใช้ จำใจเดินนำจางซินไปพบกับเทพแห่งชะตาในห้องเทียนทันที
“เทพธิดาจางซินขอพบเจ้าค่ะ ข้าพยายามทำตามคำสั่งแล้ว แต่ว่า...” เทพรับใช้พยายามอธิบาย ก่อนเทพแห่งชะตาจะยกมือขึ้นห้าม
“ข้ารู้แล้วล่ะ เจ้าออกไปก่อน” สิ้นเสียงของเทพแห่งชะตา เทพรับใช้จึงน้อมกายเคารพแล้วเบี่ยงตัวเดินออกจากห้องไปตามคำสั่ง ก่อนเทพแห่งชะตาจะลุกขึ้น แล้วน้อมกายลงเคารพเทพธิดาจางซินด้วยกิริยานอบน้อม
“ไม่ทราบว่าเทพธิดามาหาข้าถึงตำหนัก มีเรื่องใดร้อนใจขอรับ” หญิงสาวปล่อยยิ้มกว้าง ค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้าไปหาเทพแห่งชะตาด้วยสายตาแน่นิ่ง
“สิ่งที่ข้าอยากรู้ ไม่เกินความสามารถท่านหรอก แค่ท่านบอกข้ามาคำเดียว ว่าคู่บารมีของประมุขตงหยางเป็นใคร” เทพแห่งชะตาน้อมกายลงอย่างนอบน้อมอีกครั้ง
“เกรงว่าสิ่งที่เทพธิดาอยากรู้นั้น ข้าไม่อาจบอกได้” จางซินได้ยินดังนั้นหันขวับกลับมาด้วยความไม่พอใจ
“เหตุใดจึงบอกไม่ได้ ในเมื่อท่านเป็นเทพแห่งชะตา ย่อมรู้ความเป็นไปของทุกสรรพชีวิต ขนาดภัยพิบัติใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น ท่านยังเตือนทุกคนได้ กับแค่คู่บารมีของประมุขตงหยางง่าย ๆ เหตุใดจึงบอกข้าไม่ได้” น้ำเสียงไม่พอใจของจางซินแสดงความไม่พอใจออกมา ก่อนเทพแห่งชะตาจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ข้าเป็นเทพแห่งชะตา สามารถรับรู้ทุกสิ่งได้ก็จริง แต่ใช่ว่าข้าจะรู้ทั้งหมดในใต้หล้า ภัยพิบัติใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ข้ารับรู้และจำเป็นต้องเตือน เพราะเกี่ยวข้องกับสรรพชีวิตหลายแสน หลายล้านชีวิต ทว่าข้าเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่า จุดจบจะเป็นเช่นไร เฉกเช่นเดียวกับคู่บารมีของประมุขตงหยาง ที่ข้าไม่อาจรับรู้ได้เช่นกัน”
“ไม่จริง ท่านกำลังโกหก” หญิงสาวดื้อดึง ก่อนเทพแห่งชะตาจะน้อมกายลง
