บทที่ 12 รายงานความจริงให้จางเหว่ย
“เวลานี้ประมุขตงหยางอยู่กับราชันจางเหว่ยที่สวนไผ่ขาว” ธิดาจางซินรีบเด้งตัวขึ้นแล้วทำตาแป๋วในทันที
“เจ้าว่าอะไรนะ”
“เมื่อครู่ข้าเห็นกับตาว่าประมุขตงหยางเดินหมากและพูดคุยอยู่กับราชันจางเหว่ยที่สวนไผ่ขาวเจ้าค่ะ หากธิดาจางซินอยากพบกับประมุขตงหยาง ข้าคิดว่าเวลานี้เหมาะสมที่สุด” หญิงสาวในชุดสีทองอร่ามคลี่ยิ้มอย่างมีความหมาย นางรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตรงไปยังสวนไผ่ขาวทันทีด้วยความดีใจ
ท่ามกลางสายลมและเสียงไผ่ขาวที่เสียดสีกัน คล้ายเสียงดนตรีดังเจื้อยแจ้ว ชายหนุ่มสองคนนั่งเดินหมากอย่างสงบ มือของจางเหว่ยหยิบหมากสีขาววางบนกระดานแล้วปล่อยยิ้มกว้างออกมา เมื่อเห็นแน่ชัดแล้วว่าหมากกระดานนี้เป็นผู้แพ้จึงหันไปรินชาแล้วยกขึ้นดื่ม
“แต่ไหนแต่ไร ข้ามักจะแพ้หมากให้เจ้าเสมอ กระดานนี้ก็เช่นเดียวกัน” ราชันเผ่าเทพเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อย ก่อนตงหยางจะยิ้มบางเบาออกมา
“ทำให้ข้านึกถึงเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ตอนที่ข้าเป็นโอรสมาร ออกเที่ยวเล่นในเมืองมนุษย์ ยามนั้นข้าคิดว่าข้าเก่งเรื่องการเดินหมากที่สุด ไม่มีผู้ใดสามารถชนะข้าได้ จนพบกับเจ้า...ที่สามารถชนะข้าได้สองครั้งในสี่กระดาน นั่นหมายความว่าฝีมือการเดินหมากของเราสองคน สูสีกันมาตลอด” ราชันเผ่าเทพได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะออกมาด้วยความพอใจ แล้วเลื่อนสายตามองไปยังไผ่สีขาว ก่อนหันไปยังตงหยางพร้อมความคิดมากมาย
“ตงหยาง เจ้ากับข้าสนิทกันมาหลายหมื่นปี ทุกความคิดของข้าย่อมหนีไม่พ้นเจ้า ทุกความคิดของเจ้าย่อมหนีไม่พ้นข้า เราต่างรู้ใจกันยิ่งกว่าพี่น้องแท้ ๆ เสียอีก แต่ข้าอดเป็นห่วงเรื่องภัยพิบัติใหญ่ที่จะเกิดขึ้นไม่ได้จริง ๆ ในอดีตพวกเราร่วมมือกันกำจัดตงฟางอย่างอยากลำบาก แต่เวลานี้เขามีพลังวิญญาณขั้นเจ็ดในมือ เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเราจะเอาชนะเขาได้ แม้ข้าอยู่ในฐานะผู้นำสูงสุด แต่ฝีมือยังอ่อนด้อยกว่าเจ้ามากนัก จะต่อสู้เคียงข้างเจ้าก็มีแต่จะเป็นภาระ จริง ๆ แล้ว ผู้นำสูงสุดควรเป็นเจ้ามิใช่ข้า” จางเหว่ยระบายความอัดอั้นออกมาผ่านแววตาคู่คม ก่อนตงหยางตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“จะเป็นเช่นไรหากเผ่ามารกลายเป็นผู้นำสูงสุด ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายแสนปี เผ่าเทพได้รับการเคารพจากทุกเผ่าเสมอมา อีกทั้งการก่อกบฏก็เกิดจากเผ่ามาร แม้ข้าจะเป็นผู้กอบกู้กลับคืนมา แต่ยังขึ้นชื่อว่าเป็นคนของเผ่ามารอยู่ดี ตำแหน่งผู้ปกครองสูงสุดเป็นของเจ้านั่นถูกต้องแล้ว ข้าไม่ต้องการให้เกิดข้อขัดแย้งใด ๆ และไม่เคยหวังการขึ้นเป็นใหญ่ ขอเพียงแค่พิภพสงบสุข ข้าไม่ต้องการสิ่งใดอีก” คำตอบของตงหยางทำให้จางเหว่ยนับถือเขามากขึ้นอีก ก่อนจะรินชาแล้วยื่นให้สหายพร้อมรอยยิ้มอ่อน
“จริงสิ เจ้ามาหาข้าถึงเผ่าเทพ มีธุระใดสำคัญหรือไม่ หวังว่าไม่ใช่แค่เพียงมาเดินหมากเล่นกับข้าเฉย ๆ หรอกนะ” จางเหว่ยเอ่ยถามอย่างรู้ใจ พร้อมสายลมพัดโชยมาเป็นระยะให้ตงหยางจับจ้องไปยังราชันเผ่าเทพด้วยสายตาแน่นิ่ง
“มองหน้าข้าเช่นนี้ ต้องมีเรื่องแน่ ๆ” จางเหว่ยเอ่ยขึ้นอย่างรู้ทัน
“ไม่ผิด ที่ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ เพราะจะบอกว่า ตอนนี้ข้าหาผู้มีดวงจิตสีเพลิงพบแล้ว นางเป็นธิดาของประมุขต้าเหรินเผ่าวิหค” สิ้นเสียงของตงหยางเท่านั้น จางเหว่ยรีบวางถ้วยชาในมือลง แล้วถามกลับในทันด้วยความอยากรู้
“เจ้าว่ายังไงนะ ผู้มีดวงจิตสีเพลิงเป็นหญิงงั้นเหรอ”
“ใช่” ชายหนุ่มตอบสั้น ๆ
“เหตุใดประมุขต้าเหรินไม่บอกกับพวกเรา ในวันชุมนุมเหล่าเทพครั้งนั้น ว่าธิดาของเขาเป็นผู้มีดวงจิตสีเพลิง เหตุใดจึงคิดปิดบังทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ข้าต้องเอาเรื่องเขาให้ถึงที่สุด” เมื่อทบทวนแล้วราชันเผ่าเทพนึกโกรธ ก่อนมือของตงหยางจะยกขึ้นห้ามด้วยท่าทางสุขุม
“ความจริงตลอดเวลาที่ผ่านมา เผ่าวิหคให้ความร่วมมือกับเผ่าเทพไม่น้อย ความดีความชอบมีมากมายนัก การที่เขาปิดบังย่อมมีเหตุผล”
“จะเหตุผลใดข้าไม่สน ตอนนี้ชะตากรรมของสรรพชีวิตอยู่ระหว่างความเป็นความตาย เขาเจตนาปิดบังก็เท่ากับคิดกบฏ” จางเหว่ยพูดด้วยความไม่พอใจ ก่อนตงหยางจะส่ายศีรษะไม่เห็นด้วย
“ประมุขต้าเหรินมีลูกสาวเพียงคนเดียวซึ่งมีอายุราวหนึ่งพันปีเท่านั้น นับจากนางเกิดมา ประมุขต้าเหรินและภรรยาตั้งใจปิดบังฐานะของนางไว้ เพราะหวั่นเกรงในอันตราย แต่เวลานี้ทุกสรรพชีวิตอยู่ในมือของนาง อย่างไรข้าเชื่อว่า เผ่าวิหคไม่มีเจตนาปิดบังตลอดไปอย่างแน่นอน เพียงแต่ประมุขต้าเหรินให้เหตุผลกับข้าว่า ขอเวลาให้พวกเขาทำใจอีกหน่อย เมื่อถึงเวลาข้าจะไปรับนางมายังเผ่าเทพด้วยตัวเอง เจ้าไม่ต้องกังวลไป” เหตุผลของตงหยางทำให้จางเหว่ยค่อย ๆ สงบโทสะลงช้า ๆ ก่อนฝีเท้าของใครบางคนจะวิ่งเข้ามา
“ประมุขตงหยาง” น้ำเสียงอ่อนหวานของจางซินเอ่ยขึ้นท่ามกลางสายตาของนาง ที่ทอดมองด้วยความปลาบปลื้ม ก่อนชายหนุ่มจะลุกขึ้นแล้วน้อมกายเคารพตามธรรมเนียม
“เทพธิดาจางซิน” หญิงสาวปล่อยยิ้มกว้างแล้วค่อย ๆ ก้าวเท้ามาหาประมุขตงหยางด้วยสายตาพิศวาส ก่อนเสียงกระแอมของพี่ชายจะทำให้นางได้สติกลับมา
