๘ เรื่องน่าอับอาย (๑)
๘
เรื่องน่าอับอาย
การตัดสินของคุณวราลีเมื่อคืนส่งผลให้หลานสาวคนเล็กมีท่าทีเปลี่ยนไปยามอยู่ต่อหน้าท่าน แต่ก็ไม่ทำให้ประมุขของบ้านสนใจ ยังคงยึดถือตามเดิมคือไม่ต้องการให้นภานรีติดต่อกับผู้ชายที่สร้างเรื่องราวเสื่อมเสีย ทั้งยังไม่อนุญาตให้ณพลเข้ามาในเขตรั้วบ้านภัทรเทวา สร้างความโล่งใจแก่เพชรแพรวาแต่กลับเป็นแรงแค้นเคืองของคนที่แอบรักมาโดยตลอดอย่างหล่อน
นอนไม่หลับจนวันนี้ที่ว่างต้องรีบเคาะห้องมาหาพี่สาวที่นั่งทำงานอยู่บ้าน เพื่อขอคำปรึกษาและระบายความอึดอัดในใจ
เธอเรียนจบปริญญาตรีเป็นที่เรียบร้อย เหลือแค่รอรับปริญญาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นภานรีเลือกจะเรียนบริหารและส่งใบสมัครเข้าทำงานบริษัทใหญ่แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับ จึงคิดผันตัวไปเป็นนางฟ้าบนเครื่องบินตามเพื่อนสนิทที่พากันตบเท้าเข้าสมัครสายการบินไทยและต่างประเทศกันเป็นแถว
ทว่าเธอไม่ชอบงานบริการ กระนั้นงานนี้ก็ค่อนข้างดูดีในสายตาผู้อื่น จึงตัดสินใจจะสมัครเหมือนเพื่อนคนอื่น
“คุณย่าไม่ยุติธรรม!” ปิดประตูห้องของพี่สาวแล้วก็ตะโกนเสียงดัง เดินลงส้นเท้าเข้ามานั่งที่โซฟาตัวยาวพลางหยิบหมอนขึ้นมากอด ใบหน้างอง้ำบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมากกับเรื่องเมื่อคืนที่เกิดขึ้น
โทษความผิดเป็นของเพชรแพรวาเพียงผู้เดียว คงอยากจับณพลจนต้องกุเรื่องขึ้นมา อาจจะมีความจริงบ้างก็คงไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์หรอก คิดก็แค้นมากกว่าเดิมหายใจเข้าออกอย่างแรงจนอกกระเพื่อม ไม่รู้จะแก้แค้นอย่างไรให้สมกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำไว้
“นรี ห้ามว่าคุณย่า” คนอายุมากกว่าหันมาปราม
เธออาบน้ำเสร็จเรียบร้อยกำลังจะแต่งตัว มีนัดประชุมทีมช่วงบ่ายจึงต้องรีบสักหน่อยกลัวรถติด แต่ยังมีเวลาคุยกับน้องสาวที่ดูท่าว่าจะอาการหนักพอสมควร ดวงตาแทบจะเป็นประกายเพลิงแผดเผาหมดทุกอย่าง
“ทำไมต้องห้ามไม่ให้ณพลมาบ้านเราด้วยล่ะ คนที่ผิดคือนังนั่นต่างหากไม่ใช่ณพลสักหน่อย ไม่ยุติธรรมเลย...” กอดหมอนแน่นกว่าเดิมแล้วนึกรังเกียจคนที่มาอาศัยอยู่บ้านคนอื่นแต่กลับสร้างเรื่องไม่หยุด เมื่อไหร่จะออกไปจากที่นี่สักทีก็ไม่รู้
เธอมั่นใจว่าณพลไม่มีทางทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน อาจจะหลงผิดไปชอบบ้างก็ตามประสาผู้ชายเจ้าชู้นั่นแหละ แต่ใครจะเอาคนไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาทำพันธุ์กันล่ะ
หญิงที่เกิดจากแม่ชั้นต่ำแบบนั้น...แค่คิดก็สะอิดสะเอียนแล้ว
เล็บจิกไปที่หมอน แววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นจนนภาลดาต้องพูดเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความโกรธ ทั้งเธอยังไม่เห็นข้อดีของคนที่น้องสาวชอบสักนิด มองอย่างไรก็มีแต่จะสร้างปัญหาให้มากกว่าเดิม ตัดขาดคือทางที่ดีแล้ว
“คุณย่าคิดดีแล้วก่อนจะตัดสินใจ...อย่าโวยวายให้มากนักเลย ผู้ชายคนนั้นใช่ว่าจะเป็นคนดีสักหน่อย ชอบคนอื่นยังจะดีซะกว่า” คนฟังถึงกับโวยวายด้วยดวงตาปริ่มน้ำ แอบชอบมาตั้งแต่มัธยมจนจะจบมหาวิทยาลัย ไม่มีทางที่จะลืมเขาได้ในเร็ววันนอกจากความต้องการต่อชายหนุ่มที่เพิ่มมากขึ้น
ทำไมถึงหลงใหลเพชรแพรวาแล้วไม่มองมาที่เธอบ้าง...
นภานรีคิดอย่างเจ็บใจ ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นใช้เล่ห์กลใดถึงมัดใจผู้ชายของเธอได้อยู่หมัด คงได้เชื้อจากแม่มาเยอะจึงเก่งเรื่องมารยา
“แต่นรีรักไปแล้วนี่คะ คนเราจะเปลี่ยนความรู้สึกในชั่วข้ามคืนได้ยังไง” พี่สาวต้องนิ่งเงียบเมื่อเห็นน้องเป็นเช่นนั้น ไม่สามารถเอ่ยอะไรได้นอกจากสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วมานั่งแต่งหน้า ปล่อยให้ห้องตกอยู่ในความเงียบไปพักใหญ่
นภานรีตาแดงก่ำเจ็บใจปนแค้นเคือง ในอกร้อนรุ่มเพียงแค่เห็นหน้าของหญิงชั่วคนนั้นก็อยากจิกหัวแล้วดึงทึ้งผมให้สาแก่ใจ ต้องยับยั้งใจเอาใจเกรงคุณย่าจะลงโทษ นับวันท่านก็จะเอ็นดูหลานนอกคอกคนนั้นมาขึ้น
เมื่อก่อนไม่เคยเข้าข้างเพชรแพรวา แต่คราวนี้กลับออกตัวแทน มองอย่างไรก็ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม อยากทำให้ผู้หญิงคนนั้นได้รับความเจ็บช้ำเหมือนที่ตัวเองรู้สึกบ้าง จึงได้พูดกับพี่สาวไปตามที่ใจคิดก่อนเม้มปากคิดว่าจะโดนดุ
“อยากแก้แค้น อยากให้มันเจ็บเหมือนที่นรีเจ็บ!” หลุบตามองพื้นทันทีเมื่อเห็นว่าสายตาของพี่สาวมองตรงมาคล้ายจะเตือนในความคิดไม่เหมาะสม มือบางหยิบลิปสติกทาริมฝีปากเพิ่มความแวววาวให้ปากอวบอิ่มน่ามองมากกว่าเดิม ก่อนจัดผมให้เข้าทรงค่อยลุกยืนมาหยุดตรงหน้านภานรี
“แก้แค้นอะไรกัน...เราควรจะเลิกแล้วต่อกันไปสิ” ยกมือลูบศีรษะน้อง ก่อนจะวางมือแนบลำตัวเหมือนเดิม ค่อยเดินไปหยิบของสำคัญลงกระเป๋า เมื่อเห็นว่าห้องเงียบเกินไปจึงแสดงความคิดเห็นของตัวเอง แล้วเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ปลายเตียง
เป็นคำพูดที่ไม่นึกว่าจะออกมาจากปากของคนที่คอยถือหางเพชรแพรวาเสมอ ทว่านภานรีก็ไมได้คิดอะไรมากนอกจากนั่งฟังอย่างเดียว
“แต่พี่ก็เข้าใจนรีนะ ถ้าเป็นพี่คงแค้นเหมือนกัน อาจจะหาผู้ชายที่เข้ากับผู้หญิงคนนั้นสักคนแล้วส่งไปไว้ในห้องที่ติดกล้องวงจรปิดทุกทิศ...อย่างว่าแหละมันทำไม่ได้นี่น่า” นัยน์ตาเบิกกว้างเมื่อฟังจบ รีบหันไปมองพี่สาวที่แววตาว่างเปล่า เหมือนกับไม่ได้คิดสิ่งใดกับประโยคที่พูด แต่กลับจุดประกายแผนการบางอย่างให้คนฟัง
นภานรีนั่งตาปริบ ขณะที่คนอายุมากกว่าเตรียมของเสร็จแล้วจึงเงยหน้าขึ้นสบตากับน้อง เอียงศีรษะเล็กน้อยก่อนจะถาม “อยากระบายอะไรกับพี่อีกหรือเปล่า” น้ำเสียงเรียบไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้ แต่ตอนนี้นภานรีไม่มีกระจิตกระใจจะวิเคราะห์ความรู้สึกของอีกฝ่าย เพราะในหัวมีแต่แผนการที่ผุดขึ้นมาจากคำพูดเมื่อครู่ของคนอายุมากกว่า
“ไม่แล้วค่ะ ไม่มีแล้ว ขอบคุณนะคะพี่ลดา” ตรงเข้าไปกอดพร้อมพร่ำขอบคุณหลายครั้ง ทว่านภาลดากลับมีสีหน้าฉงน
“ขอบคุณอะไร พี่ยังไม่ได้ทำอะไรให้เราสักอย่าง”
“แค่นี้ก็ถือว่าช่วยได้มากแล้วค่ะ” พูดจบก็หายออกไปจากห้องนอนของหล่อนทันที มีเพียงนักบริหารสาวยืนในห้องลำพัง พร้อมกับมุมปากหนึ่งข้างที่ยกขึ้นจนมองแทบไม่ออกว่ากำลังแสยะยิ้ม ก่อนเธอจะถือสะพายกระเป๋าแล้วถือกระเป๋าเอกสารเดินออกจากห้อง
เหมือนว่า...กำลังจะมีเรื่องสนุกบางอย่างเกิดขึ้นแล้วสิ
