๗ เกิดเรื่องจนพานพบ (๕)
“หนูกำลังจะเดินเข้าไปในห้องก็ถูกเขาปิดปากจากข้างหลัง แล้วผลักลงบนพื้น...ก่อน ก่อนจะขึ้น...พยายามข่มเหงค่ะ” เธอปากสั่นมือสั่นจนต้องกุมมือตัวเองเอาไว้ ไม่อยากคิดถึงภาพทั้งหมดยามถูกขึ้นคร่อมแล้วตรึงแขนไว้กับพื้น ทั้งยังพยายามจะปลดกระดุมกางเกงของหล่อนออกอีก น้ำตาไหลเป็นสายพร้อมหัวใจที่ปวดหนึบ ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของณพล
แล้วหล่อนจะมีชีวิตต่อไปอย่างไร...
“แล้วทำไมไม่ร้องให้คนช่วย!” คุณผู้ชายตะโกนถามเสียงดังอย่างหงุดหงิดกับอาการของหญิงสาว ประโยคนั้นทำเธอช็อคจนต้องเงยหน้ามองท่าน สายตาพร่ามัวเพราะมีน้ำตาบดบัง แต่เห็นแววตาของคุณบุริศร์ชัดเจนว่ากำลังโทษหล่อน
นภานรีก็รีบผสมโรงโดยมีเพื่อนสนิทนั่งข้างกัน ปากบอกว่าเชื่อถึงความจริงจะรู้ว่าคนที่เข้าหาคือชายหนุ่ม แต่เพราะรักบดบังตาจึงต้องรักษาคนข้างกายเอาไว้ก่อน
“เพราะมันเป็นเรื่องแต่งไงคะคุณพ่อ มันอ่อนเพื่อนของนรีก่อนแล้วพยายามจะจับณพล มันเก่งอยู่แล้วเรื่องจับผู้ชาย พี่คีเลยตกหลุมพรางตื้นๆ ที่มันขุดหลุมเอาไว้ มันเลวสันดานเสียเหมือนแม่ของมัน!” ตะโกนเสียงดังใส่เธอจนหญิงสาวต้องส่ายหน้า ไม่อยากเชื่อว่าทุกคนจะกลับดำให้เป็นขาวได้
เข้าข้างคนผิดแล้วโยนเรื่องเลวทรามมาให้เธอ หญิงสาวอยากแก้ตัวแต่เหมือนว่าเสียงจะหายไปแล้ว เธอทำได้เพียงเผยอปากค้างแล้วมองณพลที่แสยะยิ้มให้อย่างชั่วร้าย โลกทั้งใบของเธอคล้ายจะพังทลายลงมาต่อหน้า
เธอไม่เคยหาเรื่องใครก่อน อยู่ในพื้นที่ของตัวเองมาโดยตลอด แล้วทำไม...มันจึงเป็นเช่นนี้
“ทำเรื่องงามหน้าในบ้านฉัน...” คุณผู้ชายของบ้านไม่สนใจถูกผิด เลือกจะโยนทุกอย่างไปให้หญิงสาวรับไว้คนเดียว กลับต้องชะงักเมื่อคุณวราลีไม่อาจทนฟังต่อไปได้อีก จึงเป็นคนตะโกนขึ้นขัดจนทุกคนในห้องต้องหันไปมอง
“หยุด! แล้วยังไงต่อ” ท่านจ้องมายังเพชรแพรวาที่นั่งอย่างเจียมตน
“คุณแม่ยังจะฟังมันอีกเหรอครับ พูดออกมามีแต่คำโกหกทั้งนั้น มักใหญ่ใฝ่สูงเหมือน...” หันไปบอกมารดากลับโดนท่านสั่งให้เงียบแทน แล้วสนใจเพียงแค่คำบอกเล่าของคนที่โดนกระทำเท่านั้น
“บุริศร์ ฉันอยากฟังจากปากของแพรไม่ได้ให้เธอมาตัดสิน เล่าต่อสิ” คล้ายกับมีแสงสว่างเปล่งประกายออกจากแววตาคู่ที่หล่อนคุ้นเคย หญิงสาวจึงรีบเช็ดน้ำตาออกพลางเล่าเรื่องทั้งหมดต่อจากนั้นแต่ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดลึกนัก เธอไม่อยากกลับไปคิดถึงมันอีก
“หนูเลยกำดินแล้วปาใส่เขา พยายามวิ่งมาหน้าบ้านแล้วแกะผ้าที่มัดปากออก ก่อนจะเจอกับพี่ลดาแล้วก็ผู้ชายอีกคนค่ะ” เธอพูดจบก็กลับมาเงียบ นภาลดาจึงรีบบอกคุณย่าถึงชายอีกคนที่น้องสาวเอ่ยถึง
“พี่เพลิงค่ะ เขาช่วยแพรเอาไว้” ท่านพยักหน้าเป็นการรับทราบ
สายตาของคนสูงวัยหันมองไปยังผู้ชายที่นั่งอยู่บนโซฟา ตามใบหน้ายังมีดินเปื้อนเต็มไปหมด เพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่าสิ่งที่เพชรแพรวาพูดมาเป็นจริงหรือเท็จ ฝ่ายชายเห็นอย่างนั้นก็รีบอธิบายปัดความผิดให้พ้นตัว
“ไม่จริงนะครับ...ผม ผมไม่ได้ทำแบบนั้นสักหน่อย”
“แต่ฉันดูจากเสื้อผ้าของเธอแล้ว น่าจะเป็นจริงอย่างที่แพรพูดมานะ หน้าก็มีดินเต็มไปหมด ถ้าเขายินยอมแล้วดินมาจากไหนล่ะ” ถามเสียงเนิบไม่ได้คาดคั้นต่างจากแววตาที่เอาเรื่องพอสมควร ชายหนุ่มมีท่าทีอึกอักพูดไม่ออก แต่ก็ยังจะหาเหตุผลมาเถียงข้างๆ คูๆ ที่ฟังไม่ขึ้นสักนิด
“ผม ผมล้มตอนวิ่งหน้าก็เลย...” คุณวราลีแสยะยิ้มแล้วส่ายศีรษะระอา ก่อนหันไปมองหลานสาวของตัวเองที่หลงผู้ชายหัวปักหัวปำ จึงได้เตือนด้วยความหวังดี
“นภานรี ต่อจากนี้ย่าไม่อนุญาตให้เราพาเพื่อนคนนี้เข้ามาในบ้าน เป็นไปได้ก็ควรเลิกคบไปซะ พวกหน้าไหว้หลังหลอกกะล่อนขนาดนี้คบไม่ได้หรอก” อาบน้ำร้อนมาก่อนจึงดูคนออก แต่ที่ไม่เข้าไปยุ่งในตอนแรกเพราะไม่มีเรื่องเสียหายเกิดขึ้น ทว่าตอนนี้คงปล่อยผ่านไม่ได้แล้ว
“คุณย่า!” นภานรีร้องเสียงดัง ไม่คิดว่าท่านจะเข้าข้างผู้หญิงชั้นต่ำที่นั่งทำหน้าใสซื่อ
“คุณแม่ครับ” คุณบุริศร์คิดจะช่วยลูกสาวอ้อนวอน กลับเป็นคนถูกดุแทน
“เราก็อย่าหูเบานัก เป็นถึงอดีตอัครราชทูตก็น่าจะฉลาดบ้างสิ ไม่ใช่เอาความเกลียดชังในอดีตมาบดบังตาไปซะหมด...เธอก็ไปพักผ่อนได้แล้ว คืนนี้ไปนอนกับใจน่าจะดีกว่า” เตือนลูกชายแล้วก็หันไปบอกคนที่นั่งร้องไห้สะอื้นตัวโยน เธอพนมมือไว้กลางอกแล้วขอคุณท่านน้ำตานองหน้า
ไม่เคยคิดว่าจะได้รับความเมตตาจากคุณวราลี แต่วันนี้ท่านกลับออกโรงปกป้องเธอเอง หญิงสาวซาบซึ้งเป็นอย่างมาก ขณะที่นภาลดาก็เดินมาลูบหลังน้องสาวพลางส่งยิ้มอ่อนโยนให้เหมือนทุกครั้ง
“ค่ะคุณท่าน ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ ฮึก” เธอกอดคนอายุมากกว่าเอาไว้ แล้วค่อยลุกยืนก่อนเดินไปห้องของป้าสมใจ นภาลดาบอกเรื่องทั้งหมดให้คนที่นอนป่วยทราบ แม่บ้านที่เพิ่งมาถึงก็ตกใจกันยกใหญ่ กอดปลอบหญิงสาวพลางร้องไห้ไปด้วย
เหมือนว่าในเรื่องเลวร้ายก็ยังมีเรื่องดีเกิดขึ้นบ้าง...
