โศกาดูร

197.0K · จบแล้ว
ข้าวสีทอง
116
บท
2.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

"เพชรแพรวา" ใช้ชีวิตอย่างเจียมตัวในบ้านที่เห็นเธอเป็นเหมือนขยะ กระทั่งได้พบ "เพลิงรพี" คู่หมั้นของพี่สาวที่เข้ามาทำให้เธอรู้สึกตกต่ำมากกว่าเดิม เขาย่ำยีศักดิ์ศรีและความนับถือตัวเองในตัวของหญิงสาวจนหมดสิ้น เมื่อถึงเวลาหนีหล่อนจึงไม่ลังเลที่จะทิ้งเขา เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ของตัวเองได้สักที

นิยายปัจจุบันนิยายรักเศรษฐีคนธรรมดาแฮปปี้เอนดิ้งมีลูกดราม่าโรแมนติก

บทนำ

บทนำ

เด็กหญิงวัยสิบขวบสวมเสื้อยืดสีดำกับกระโปรงนักเรียนสีเข้ม เงยหน้ามองปล่องควันที่ลอยเหนือฟ้าด้วยแววตาเศร้าโศก น้ำตาที่คิดว่าเหือดแห้งกลับมาไหลอีกครั้งพร้อมสะอื้นตัวโยน เพียงแค่คิดว่าผู้หญิงที่อยู่กับตนมาโดยตลอดได้จากไปตลอดกาล

แม่ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์อย่างที่ใครหลายคนบอก...

เธอจะไม่ได้เจอหน้าแม่อีกแล้ว มีเพียงรูปให้ดูต่างหน้ากับความทรงจำที่มีร่วมกัน แม้มันจะมีทุกข์มากกว่าสุขเพราะแต่ละวันแม่มักจะอยู่ในอาการเมามายพร่ำเพ้อถึงอดีตที่เป็นห้วงแห่งความฝันก็ตาม อย่างน้อยก็รู้ว่าไมได้อยู่ตัวคนเดียว

ร่างน้อยถูกโอบอุ้มเอาไว้ด้วยคุณยายที่เพิ่งเคยพบหน้าเป็นครั้งแรก ท่านเช็ดน้ำตาเม็ดใหญ่ออกจากใบหน้าเล็กอย่างเบามือ พยายามกล่อมคนที่เสียใจให้รู้ว่าการสูญเสียไม่ใช่เรื่องใหญ่สักนิด เธอแค่ฟังแต่ก็ยังร้องไห้เสียงดังเหมือนเดิม ก่อนจะได้เดินออกจากวัดพร้อมการย้ายที่อยู่จากชุมชนแออัดมายังบ้านเช่าสองชั้นที่ดูจากสายตาเกรงว่าอีกนานมันอาจจะพังลง

หลังคามุงด้วยสังกะสีซึ่งมีสนิมเกาะเป็นจุด ผนังไม้ที่ผุพังแต่ก็ยังพอจะกันลมกันฝนได้เป็นอย่างดี หน้าบ้านเปิดร้านขายข้าวแกงที่มีลูกค้าสม่ำเสมอเพราะอยู่ใกล้ตลาด คนแวะเวียนมามักจะอุดหนุนเป็นประจำ

“มีเอ็งก็ดีเหมือนกัน ช่วยข้าได้เยอะเลย” นอกจากย้ายบ้านแล้วยังต้องย้ายโรงเรียนมาอยู่ใกล้บ้าน เริ่มทำความรู้จักเพื่อนใหม่ที่ไม่คุ้นเคย อีกทั้งต้องตื่นเช้าเพื่อช่วยยายเตรียมของสำหรับทำขาย แต่ไม่รู้สึกเหนื่อยสักนิดเมื่อเห็นเงินที่ได้ในแต่ละวัน

อยู่กับแม่ต้องอดมื้อกินมื้อ อยู่กับยายได้กินครบทุกมื้อแถมยังมีเงินไปโรงเรียนเยอะกว่าเดิมอีกต่างหาก

ความเสียใจที่แม่จากไปเริ่มทุเลาลง...

“หนูจะช่วยยายทุกวันเลย!” ว่าจบก็ล้างหม้อและถาดที่แทบจะใหญ่เท่าขนาดตัวของเธอด้วยซ้ำ เด็กหญิงทำงานด้วยรอยยิ้ม ถึงจะเหน็ดเหนื่อยก็มีความสุขเพราะได้อยู่กับยายที่ทำอาหารอร่อย ไม่เคยดุด่าทุบตี ทั้งยังได้ดูละครเย็นอีกต่างหาก

เมื่อล้างทุกอย่างเรียบร้อยก็ถึงเวลากินข้าวเย็น เธอไม่ลืมจะเดินไปเปิดโทรทัศน์จอนูนเพื่อดูละครเรื่องโปรด ก่อนจะกลับมานั่งกินข้าวที่มีกับสองถึงสามอย่างซึ่งเหลือจากการขาย สิ่งแรกที่ทำคือตักอาหารใส่จานของยาย แล้วค่อยเริ่มกินของตัวเองบ้าง

คนเป็นยายถึงกับน้ำตาซึม ปาดน้ำตาเมื่อมองหลานสาวตัวเล็กซึ่งมีชะตากรรมน่าสงสาร ไม่เคยรู้ว่าพ่อเป็นใคร แม่ก็เมาเหล้าทุกวัน เติบโตมาได้ขนาดนี้โดยปลอดภัยครบสามสิบสองก็ดีแค่ไหนแล้ว นางโทษตัวเองที่ปล่อยให้ลูกสาวคนเล็กอย่างมาลีไปเผชิญชะตากรรมลำบากเพียงลำพัง

หนีจากแม่เพราะอยากก้าวหน้าในชีวิต ใช้หน้าตาหากินจนได้สามีเป็นเศรษฐีแต่ก็โดนเขี่ยทิ้งอย่างรวดเร็ว จนต้องมาอยู่ในสลัมเหมือนเดิม จะติดต่อแม่ก็ไม่กล้าเนื่องจากเคยประกาศกร้าวว่าจะไม่กลับมาเหยียบบ้านถ้าไม่ได้ดี

สุดท้ายต้องมาจบชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ทิ้งลูกสาวเอาไว้ลำพัง...

ยังดีที่ลูกชายคนโตมาบอกเรื่องนี้กับนาง จึงตัดสินใจรับหลานสาวมาเลี้ยง เพราะลูกคนอื่นก็ไม่มีใครอยากรับเด็กน้อยไปอยู่ด้วยสักคน

อยู่กับยายเนี่ยแหละดีแล้ว ยายจะเลี้ยงเอ็งไม่ให้น้อยหน้าใครเลย โตขึ้นเอ็งจะต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ดี...ยายเชื่ออย่างนั้น

ผ่านไปสองปีที่อยู่กับยาย เด็กหญิงยิ้มแย้มมีความสุขเสมอถึงจะต้องทำงานหนักก็ตาม ตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่ขันเพื่อช่วยยายเตรียมของทำอาหาร ยังต้องรีบไปโรงเรียนให้ทันเข้าแถว กลับบ้านก็ล้างจานชามทำความสะอาด ค่อยทบทวนบทเรียน

สิ่งที่ทำให้ยายภูมิใจคือความใฝ่ดีของหลานสาว เรียนเก่งจนคุณครูชม เกรดเฉลี่ยไม่เคยต่ำกว่า 3.80 เลยสักครั้ง อันดับในชั้นเรียนก็ไม่เกินที่สามถึงจะยังไม่เคยได้ที่หนึ่งก็ตาม ใครผ่านไปก็มักจะแวะชมหนูน้อยเสมอ คนเป็นยายยิ้มแก้มปริทุกครั้ง

“ชิงช้าสวรรค์! อยากขึ้นจังเลยยาย” วันนี้มีงานวัดซึ่งอยู่ใกล้บ้าน คุณยายที่แม้จะป่วยออดๆ แอดๆ ก็ฝืนร่างกายจูงมือหลานมาเที่ยวด้วยกัน ในมือน้อยถือไอศกรีมวานิลลาเอาไว้ กัดกินอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนมาอยู่กับยายตัวผอมแทบจะเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก บัดนี้เริ่มมีน้ำมีนวลขึ้นมาแล้ว กลายเป็นสาวสวยทั้งที่ยังไม่โตเต็มวัยด้วยซ้ำ

ทำให้นางนึกเป็นห่วงหลาน

ความสวยกับคนจน...ถือเป็นภัยมหันต์ไม่ใช่หรือ

จึงเลือกสอนให้หลานระวังตัวเอง อย่าเข้าใกล้ผู้ชายไม่ว่าจะอายุเท่าใดก็ตาม ห้ามให้เพศตรงข้ามแตะเนื้อต้องตัวได้ง่าย สร้างนิสัยระแวดระวังไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย

“มันสูง ยายกลัว...เล่นอะไรที่มันเบาๆ หน่อยลูก”

“เด้งดึ๋งได้ไหมยาย! หนูอยากเล่น” เมื่อโดนปฏิเสธก็ไม่ได้เสียใจอย่างใด รีบชี้ไปยังบ้านลมขนาดใหญ่ที่มีคนวัยใกล้เคียงเล่นอย่างสนุกสนาน ดวงตากลมเป็นประกายทันที ยายเห็นอย่างนั้นก็พยักหน้า ยอมทำตามความต้องการของหลาน

เด็กหญิงวิ่งไปซื้อบัตรแล้วเล่นในบ้านลมอย่างสนุกสนาน ปีนขึ้นไปบนสุดแล้วสไลด์ลงมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกับแววตาเปล่งประกายแม้ในยามค่ำคืน ลุกขึ้นโบกมือให้ยายที่เฝ้ามองอยู่ข้างนอก คนเป็นยายเห็นอย่างนั้นก็ยิ้มตามแล้วยกมือปิดปากเพื่อไอสองสามครั้ง ค่อยกลับมามองหลานเหมือนเดิม

ยังอยากเลี้ยงหลานสาวไปอย่างนี้อีกแสนนาน แต่ก็ไม่รู้ว่าวันสุดท้ายของตนจะมาถึงเมื่อไหร่ ได้แต่ภาวนาให้นับจากนี้ต่อไป ชีวิตของเพชรแพรวาจะมีเพียงความสุข อย่าได้พบเจอกับความทุกข์ใดอีกเลย

ทว่าคำอธิษฐานของท่านไม่เป็นความจริง คุณยายจากไปในเดือนต่อมาด้วยการหลับใหลไม่ยอมตื่น เด็กหญิงนอนกอดยายอยู่อย่างนั้นเกือบหนึ่งวันเต็ม กระทั่งข้างบ้านผิดสังเกตจึงได้มาดูแล้วพบว่าคุณยายได้จากไปแล้ว ทุกอย่างดูวุ่นวายผิดกับเด็กน้อยที่นั่งนิ่งด้วยหัวใจแตกสลาย

รับรู้ได้ในทันทีว่าความสุขของตนได้สิ้นสุดลงแล้ว...

เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายืนร้องไห้มองปล่องควันนานแค่ไหน ถูกลุงอุ้มออกจากวัดเมื่อไหร่ รู้เพียงกรีดร้องสุดเสียงไม่อยากจากยายไปไหน กระทั่งมาหยุดอยู่บ้านหลังใหญ่ที่เคยเห็นแค่ในละคร ร่างเล็กถูกจับจูงเข้ามาในห้องโถงโอ่อ่า นั่งลงบนพื้นโดยมีคนแปลกหน้าอีกสามคนและเด็กวัยไล่เลี่ยกันอีกสามคนจ้องมองตนเหมือนตัวประหลาด

“ผมรู้ว่าคุณไม่นับมันเป็นลูก แต่ยังไงก็ทำให้มันเกิดมาแล้วช่วยรับผิดชอบหน่อยแล้วกัน” คนเดียวที่เด็กหญิงรู้จักคือลุงของตัวเอง จึงได้กอดขาของลุงเอาไว้แน่น รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะถูกทิ้งให้อยู่ในสถานที่ไม่คุ้นเคย

“หรือถ้าไม่ยอมรับ...ผมก็จะพามันไปประกาศทั่วที่ทำงานว่าประธานบริษัทไข่ทิ้งไว้แล้วไม่ยอมรับ ให้รู้กันไปทั่วไอ้สังคมชั้นสูงเลยดีไหม” ใบหน้าเล็กรีบก้มลงอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นสายตาเคียดแค้นราวจะกินเลือดกินเนื้อของชายตัวใหญ่ซึ่งจ้องเธออย่างเอาเรื่อง

คล้ายจะจับเด็กน้อยฉีกออกเป็นชิ้น จึงทำได้เพียงกำขากางเกงของลุงที่ยืนประกาศเสียงก้องแน่นกว่าเดิม ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร รู้เพียงอยากออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

ไม่มีแววตาเป็นมิตรส่งมาเลย มีเพียงความชิงชังที่ทำให้หัวใจดวงน้อยนึกสั่นสะท้าน

อยากไปหายาย...

“ตกลง ฉันจะรับเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้” คนที่พูดไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็นหญิงมีอายุซึ่งยังคงความสง่างามเอาไว้ ด้วยใบหน้าเรียบเฉยกับแววตาดุทำให้เธอไม่กล้าจะเงยขึ้นสบตา ทำได้เพียงฟังในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้เรื่อง ทราบแค่ลุงกำลังจะพามาอยู่บ้านหลังใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม

แต่หนูน้อยไม่ได้ต้องการสักหน่อย อยากอยู่บ้านของยายมากกว่า จึงพยายามขยับเข้ากอดกางเกงของลุงเอาไว้ เพื่อแสดงเจตจำนงว่าตนจะไม่อยู่ที่นี่

“คุณแม่!” ผู้ชายคนนั้นเอ่ยเสียงดัง คล้ายจะคัดค้านแต่ก็โดนสายตาของคนอายุมากกว่าปรามเอาไว้ จำต้องเงียบเสียงลงแล้วจ้องมายังเด็กน้อยเหมือนจะเอาเรื่อง

“ดี ตกลงง่ายอย่างนี้ค่อยน่าฟัง แต่ก่อนที่ผมจะไปก็ขอค่าเลี้ยงดูเล็กๆ น้อยๆ หน่อยแล้วกัน อุตส่าห์เลี้ยงมันมาตั้งสิบสองปีจะให้ไปมือเปล่าได้ยังไง” คุณลุงโน้มตัวลงมาแกะมือเล็กออกจากกางเกง แล้วเดินเข้าไปหาผู้ชายที่นั่งกำหมัดแน่น

เด็กหญิงทำได้เพียงนั่งพับเพียบกุมมือตัวเองไว้บนหน้าตัก ไม่กล้าจะมองสิ่งรอบข้าง ขณะที่ดวงตากลมก็มีน้ำใสคลอเบ้า

เหมือนว่าจะถูกทิ้ง...อีกแล้ว

นั่งอยู่ตรงนั้นหลายนาทีก่อนจะผวาวิ่งตามลุงที่กำลังจะเดินออกไป “หนูไปด้วย ไปกับลุงได้ไหม” เด็กหญิงถามเสียงสะอื้น น้ำตาไหลอาบแก้มเป็นทางแต่ลุงก็เลือกจะแกะมือน้อยออกจากกางเกงของตน ค่อยโน้มลงมาปลอบ

“อยู่ที่นี่แหละ แล้วเอ็งจะสบายมีกินมีใช้ไปตลอด เชื่อข้านะนังเพชร เอ็งจะได้เป็นเพชรสมชื่อไง” คำพูดไม่ได้ทำให้รู้สึกดีใจสักนิด นอกจากมองลุงของตัวเองอย่างเว้าวอน ส่ายหน้าจนผมหางม้าปลิวไปตามแรง

“หนูอยากไปด้วย ไม่อยากอยู่ที่นี่” ยังคงขอร้องเหมือนเดิม แต่ผลที่ได้รับกลับเป็นถูกทิ้งไว้บ้านหลังใหญ่

พร้อมกับสายตาที่จ้องอย่างไม่เป็นมิตร...

ความอ้างว้างหนาวเหน็บเกาะกินหัวใจของเด็กหญิง ทำได้เพียงสะอื้นไห้ตัวโยน มองแผ่นหลังของลุงที่ไกลออกไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ลับสายตา