๗ เกิดเรื่องจนพานพบ (๒)
สองหนุ่มสาวต่างเป็นที่จับจ้อง พวกเขาเคลื่อนตัวอย่างพลิ้วไหวตามเสียงเพลง ใบหน้าคมก็จ้องมองคู่ของตัวเองระหว่างคุยกับเธอ แววตาเรียบสนิทไร้ซึ่งความเสน่หาอย่างที่หล่อนคาดหวังเอาไว้ นภาลดารู้ดีว่าการแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไม่ใช่เพราะความรัก แต่คือความเหมาะสมและความต้องการของคุณเทวิกาต่างหาก
ลูกชายจึงได้ตามใจแม่ทุกอย่าง...
แต่เรื่องนั้นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ต่อให้เขาไม่รักเธอก็ยังจะแต่งงานกับชายหนุ่มอยู่ดี เพราะเขาคือคนที่คู่ควรอย่างไรล่ะ
“อีกไม่นานเราก็จะแต่งงานกันแล้ว...พี่คิดว่ายังไงคะ” เธอไม่สนใจคนที่อยู่รอบข้าง ใช้โอกาสนี้จ้องกรอบหน้าหล่อแล้วถามถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย แล้วดูเหมือนชายหนุ่มจะตอบรวดเร็ว แต่ไม่ตรงกับความต้องการของเธอ
“ก็ดีครับ” มุมปากอวบอิ่มเม้มเป็นเส้นตรงเมื่อได้ฟัง
“ความรู้สึกของพี่ล่ะคะ” หล่อนต้องการเพียงคำว่ารักแต่เหมือนอีกฝ่ายจะให้กันไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาทำเพียงแค่ยิ้มตามมารยาทแล้วตอบอย่างใจร้าย ทว่ามันก็เป็นความจริงที่พอจะทำให้เธอมีแรงก้าวต่อไป
“ความรู้สึก...มันสำคัญด้วยเหรอ ยังไงเราก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้วอย่าคิดมากเลย”
นั่นสินะ...สุดท้ายแล้วเราสองคนก็ต้องแต่งงานกันอยู่ดีนั่นแหละ
ไม่เห็นต้องคิดเรื่องความรักให้วุ่นวายเลย
เรื่องที่เพิ่งเกิดสดๆ ร้อนๆ ทำให้เธอต้องเร่งทำงานครัวแทบทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองลืม ถึงจะไม่มีการแตะเนื้อต้องตัว เพียงแค่สบตากลับทำให้ใจสั่นไหวทั้งดวงจนไม่อาจห้ามปรามความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นครั้งแรกได้
เธอไม่รู้ว่าทำไมจึงต้องเกิดเรื่องเช่นนี้กับพวกเราเสมอ คราวแรกก็กล่าวหาว่าชายหนุ่มเป็นขโมย มาคราวนี้ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ยังดีที่ไม่ได้ใช้ไม้ตีร่างหนาจนทำให้เกิดเหตุน่าสลด ไม่อย่างนั้นคงโดนคุณบุริศร์ลงไม้จนหลังลายแน่ แค่คิดก็ขนลุกชันด้วยความสยองแล้ว
ห้องครัวสะอาดเหมือนใหม่ ตู้เย็นก็จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงเพิ่งรู้ว่าตัวเองทำงานบ้านนานขนาดนี้ พรูลมหายใจก่อนนั่งลงที่เก้าอี้แล้วชันเข่าขึ้นมากอดเอาไว้ เหม่อมองไปทางพื้นหญ้าที่โล่งเตียน พลันถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้มกับความรู้สึกตอนนี้
ทำไมภาพของชายคนนั้นถึงได้ฉายชัดจนหล่อนไม่เป็นตัวเอง ตั้งแต่รู้ความก็ไม่เคยมีใจเสน่หาต่อชายผู้ใด อาจเพราะความกลัวที่คุณบุริศร์เคยลั่นวาจาเอาไว้ไม่ให้ทำเรื่องงามหน้าจนเสื่อมเสีย เธอจึงยึดมั่นแล้วไม่เคยมองเพื่อนต่างเพศเลยสักครั้ง
ช่วงเรียนมัธยมปลายก็มีเพียงเพื่อนผู้หญิง เข้ามหาวิทยาลัยผู้ชายในคณะก็น้อยแล้วตนก็ใช้เวลาอยู่คณะแค่เรียน พอเลิกก็กลับบ้านไม่ได้ไปเที่ยวเล่นที่ไหน จบมาทำงานยิ่งมีผู้ชายในบริษัทนับคนได้ ส่วนใหญ่ก็แต่งงานมีครอบครัวแล้ว อีกอย่างการครองตัวโสดก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเธอเท่าไหร่
แต่เพิ่งมาหนักใจก็วันนี้ที่ได้พบกับเขา ใบหน้าที่ร้อนผ่าวกับการไม่กล้าจะสบดวงตาคม หัวใจเต้นระส่ำเพียงแค่ถูกเขาจ้องมอง พร้อมกับความคิดแวบหนึ่งที่เธอไม่ชอบเอาเสียเลย
ความคิดที่อยากจะสวยในสายตาของเขา...
มันเกิดขึ้นอย่างไม่น่าให้อภัย หล่อนรู้ดีว่าการที่เกิดความคิดเช่นนั้นคงไม่ดีกับตัวเองแน่ อาการทุกอย่างมันฟ้องจนต้องหลอกตัวเองว่าแค่ไม่เคยใกล้ชิดกับผู้ชายมาก่อนจึงเป็นเช่นนั้น
เธอจะรู้สึกกับใครก็ได้เพราะบรรลุนิติภาวะมาหลายปีแล้ว แต่ต้องไม่ใช่กับผู้ชายคนนั้นเป็นอันขาด!
“อย่า หยุดคิดถึงผู้ชายคนนั้นเดี๋ยวนี้ เขาเป็นคนที่พี่ลดากำลังจะแต่งงานด้วย เขาเป็นคนไม่น่าไว้วางใจ...” บอกตัวเองอย่างหนักแน่น
พี่สาวที่แสนดีกับเธอขนาดนี้จะทรยศได้อย่างไร หล่อนไม่มีทางยอมให้ตัวเองต้องเข้าไปอยู่ในวังวนแห่งความสับสนวุ่นวาย ความรู้สึกที่เกิดขึ้นใช่ว่าจะตัดไม่ได้เสียหน่อย
เธอเองก็มีศักดิ์ศรีไม่ต่างกัน จะไม่ยอมเอาตัวเองไปแทรกกลางระหว่างใคร ให้เกิดเรื่องน่าอับอาย...เหมือนแม่เป็นอันขาด
ไม่มีทางจะเดินตามรอยเท้านั้น!
“สวัสดีค่ะพี่คี สบายดีไหมคะ” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจึงต้องหยิบมารับ เห็นชื่อโทรเข้าก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนสูดลมหายใจเข้าปอดเลื่อนรับสายพลางทักทายอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงปกติ
‘สบายดีแต่เหนื่อยมาก คนไข้แต่ละวันเยอะจนพี่แทบไม่มีเวลาพักผ่อนเลย...คิดถึงแพรจัง’ ท้ายประโยคทำให้เธอกลับอึดอัดกับสิ่งที่ตัวเองต้องเผชิญ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนไม่ดี หล่อนทราบว่าคีรีภัทรเป็นคนดีมากแค่ไหน
เพียงแต่ความรักคือความรู้สึก...ไม่ใช่ความดี
เธอคงจะเป็นแฟนเขาเพราะเขาเป็นคนดีไม่ได้หรอก
“พี่คีต้องกินข้าวให้ตรงเวลานะ เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะหรอก เป็นหมอดูแลคนไข้แล้วก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะคะ” ร่างสูงไปใช้ทุนที่ต่างจังหวัดแล้วโทรหาเธอยามว่างซึ่งก็ไม่ค่อยบ่อยนัก แต่ละครั้งก็คุยกันไม่ค่อยนานเพราะชายหนุ่มมักจะมีเรื่องด่วนให้ต้องวางสายไปก่อน
เธอยอมรับว่าโล่งใจ...ไม่รู้จะคุยอะไรกับคีรีภัทร
ยิ่งพูดกับเขามากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ไม่อาจตอบรับความรักของชายหนุ่มได้ ทั้งที่เขาแสนดีกับเธอมากขนาดนี้ สำหรับหล่อนก็ยังต้องการเป็นแค่พี่น้องอยู่ดี
‘พี่ดีใจที่แพรเป็นห่วงพี่ แฟนพี่น่ารักที่สุด’ น้ำเสียงของเขาสดชื่นจนหล่อนไม่กล้าจะเอ่ยขัด ความสัมพันธ์ที่เป็นเรื่องโกหก แต่ดูเหมือนฝ่ายชายจะค่อนข้างจริงจังจนดูคล้ายกับหลอกตัวเองไปแล้ว
“พี่คี...แพรว่าเรา...” เธอคิดจะยับยั้งสถานะจอมปลอม แล้วเหมือนเขาจะทราบจึงมีข้ออ้างเพื่อตัดบท โดยเธอไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านั้น
‘พี่ต้องไปห้องฉุกเฉินไว้ช่วงไหนว่างพี่จะโทรหาอีกนะครับ’
“ค่ะ” วางสายแล้วทำได้แค่จ้องโทรศัพท์ด้วยแววตาว่างเปล่า นั่งกอดเข่าอยู่อย่างนั้นหลายนาที ก่อนจะคิดถึงช่วงที่คนอื่นทราบว่าคบกันใหม่ เขาเลือกจะพาเธอไปยังบ้านเพื่อแนะนำกับคนในครอบครัว แม้หญิงสาวจะคัดค้านก็ไม่เป็นผล
อีกฝ่ายให้เหตุผลว่าถึงจะเป็นแค่การคบกันหลอกๆ ก็อยากให้มารดารู้จักกับหล่อนไว้ เพชรแพรวาไม่อาจขัดเขาได้จึงยอมไปบ้านพฤกษ์ศักดากับคีรีภัทร แค่ก้าวเข้าไปแล้วเจอกับมารดาของเขาก็ทำให้ลำตัวแข็งทื่อ ยิ่งถูกโอบไหล่แล้วแนะนำว่าเราเป็นแฟนกันก็เหมือนว่าเธอจะลืมเลือนวิธีหายใจไปชั่วขณะ
