๔ ปัญหาเข้ามาไม่หยุด (๓)
เขาจงใจเธอรู้จากสายตาที่อีกฝ่ายจ้องมา จึงต้องรีบถอยห่างแล้วก้มหน้าต่ำซ่อนความไม่พอใจในดวงตาเอาไว้
อย่างน้อยคนตรงหน้าก็เป็นแขกของคุณหนูคนเล็ก...ถ้าเธอทำอะไรลงไปไม่ถูกใจกลัวนำภัยมาสู่ตัวเอง
“ผมเอาไปเองดีกว่า ขอบคุณนะครับ” รอยยิ้มที่ปั้นแต่งหล่อเหลา กลับถูกเมินจนกลายเป็นยิ้มค้าง เสียดายที่ได้จับมือเพียงครู่เดียว หล่อนก็เลือกจะกุมมือยืนนิ่งพลางก้มหน้ามองปลายเท้าอย่างเดียว เขาเห็นอย่างนั้นก็เสียดาย
“ค่ะ”
เสียงก็หวานหน้าตายังสะสวย ไม่ควรปิดบังมันเอาไว้เลย
เขารู้จักกับนภานรีผ่านทางเพื่อนกลายเป็นสนิทสนมอยู่กลุ่มเดียวกัน เธอเชิญให้มาอ่านหนังสือที่บ้านถึงตอนแรกจะไม่อยากมาก็ไม่อาจขัดความต้องการเพื่อนคนอื่นได้ ทว่าพอได้มาถึงบ้านหลังนี้กลับมีดอกไม้งามเร้นกายอย่างแนบเนียน
แค่เห็นครั้งแรก...ก็โดนศรปักอกเข้าจนอยากครอบครอง
“ใกล้สอบแล้วหนูขอตัวไปอ่านหนังสือเตรียมสอบก่อนนะคะ” เธอบอกกับแม่บ้านอีกคนหลังจากเขาเดินออกไป โดยไม่รู้ว่าชายหนุ่มยังแอบยืนฟังอยู่ตลอด
“ไปเลยน้องแพร ทางนี้พวกพี่จัดการเอง” ดวงตาคมมองตามทิศทางที่เธอเดินออกจากห้อง ก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายหายเข้าไปในบ้านหลังเล็ก พลันมุมปากก็ยกยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่เพื่อนสนิทกำลังนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาค
วางถาดน้ำหวานลงก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเอง เดินออกไปอีกเส้นทางโดยพยายามไม่ทำตัวเป็นจุดสังเกต ทว่าเจ้าของบ้านที่จ้องมองเพื่อนสนิทที่ตนคิดไม่ซื่อด้วยตลอดก็ถามเสียงดัง ทุกสายตาจึงหันไปจ้องเขาเป็นตาเดียว
“นั่นนายจะไปไหนณพล” ใบหน้าคมเหลียวมองหญิงสาวที่ช่วงนี้ตามติดเขาเหลือเกิน
เราอายุเท่ากันและอีกไม่นานก็จะขึ้นชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เธออยู่โรงเรียนหญิงล้วนขณะที่เขาก็อยู่ชายล้วน ไม่ใช่ว่าเดาความรู้สึกของหญิงสาวที่มีต่อกันไม่ออก เพียงแค่เขาไม่อยากรับไมตรีจากคนที่ตัวเองไม่ได้รักก็เท่านั้น
แต่การจะตัดสัมพันธ์ทันทีก็ไม่ได้ อย่างน้อยเธอก็ยังพอมีดีเรื่องฐานะอยู่บ้าง ถึงมันจะไม่ค่อยสำคัญกับเขาก็ตาม
“เดินเล่น อ่านหนังสือเครียดก็ออกไปคลายเครียดไม่ได้หรือไง” น้ำเสียงเรียบแต่แววตาที่แวววาวทำให้ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไหร่ กระนั้นเธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เลือกจะเลื่อนจานขนมไปทางที่เขากำลังยืน
“ไม่กินขนมเหรอ นายบอกว่าชอบ...” โดนตัดบทเป็นครั้งแรก ก่อนที่ร่างสูงจะร่ายยาวเหยียดพร้อมเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปโดยไม่เหลียวหลัง
“เอาไว้ก่อนน่า ฉันยังไม่อยากกินตอนนี้เธออย่าเซ้าซี้ได้ไหม อยากกินตอนไหนก็จะกินเองนั่นแหละ” คนถามหน้าเสีย เพื่อนคนอื่นก็มองหน้ากันเลิกลักไม่กล้าพูดอะไรมาก ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเมื่อคุณหนูคนเล็กของบ้านภัทรเทวาตกอยู่ในอาการเศร้าโศก
“หมอนั่นแปลกไปนะ” เธอพึมพำเสียงเบาแล้วนั่งนิ่งคล้ายรวบรวมสติหลังจากถูกเขาพูดตอกหน้าให้เจ็บปวด
ตั้งแต่เข้ามาในบ้านก็นิ่งเงียบ เพิ่งมีเมื่อครู่ที่แววตาเป็นประกาย มีอะไรที่เธอพลาดไปหรือเปล่า...
ก๊อก ก๊อก
ขณะกำลังนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบอย่างขะมักเขม้นก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู หญิงสาววางปากกาในมือลงแล้วเดินไปหมุนกลอนประตูพร้อมทักทายคนข้างนอก คิดว่าน่าจะเป็นแม่บ้านที่อาจไหว้วานให้ตนช่วยทำงานบางอย่าง
ทว่าเมื่อพบคนที่มาเคาะประตู ดวงตากลมก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพยายามดันประตูปิดเหมือนเดิมแต่ถูกเขาผลักออกโดยแรงที่มีมากกว่าอย่างน่าหงุดหงิด
เธอรู้สึกไม่ปลอดภัย...
“ค่ะ...คุณ! มีอะไรก็เชิญที่ห้องครัวค่ะ” ตัดสินใจออกมาเผชิญหน้า ปิดประตูห้องนอนแล้วยืนประสานมือไว้ที่หน้าขาก่อนสบตาเขาพร้อมพูดเสียงสุภาพ ถึงชายหนุ่มตรงหน้าจะอายุน้อยกว่าตน แต่เขาก็เป็นแขกคนสำคัญของนภานรี อย่างน้อยก็คงต้องให้เกียรติสักหน่อย
“ผมแค่อยากคุยด้วยเท่านั้นเองครับ ออกมาคุยกันหน่อยสักแปบได้หรือเปล่า” พูดจบก็ยื่นมือคล้ายจะจับมือหล่อน จนร่างบางต้องเบี่ยงหลบ คนตรงหน้าเป็นพวกปากว่ามือถึงที่เธอแสนเกลียด จนต้องเม้มปากแน่นข่มอารมณ์โกรธเอาไว้
“ฉันมีงานต้องทำค่ะ ไม่ว่างมาคุยเป็นเพื่อน เชิญคุณไปคุยกับเพื่อนดีกว่า ฉันอายุมากกว่าคงคุยไม่สนุกหรอก” เอาอายุมาข่มแต่เหมือนเขาจะไม่สะท้านสักนิด กลับยิ้มร่าแล้วจ้องหน้าเธออยู่อย่างนั้น จนเพชรแพรวาต้องผายมือไปยังเส้นทางที่เขาเพิ่งเดินมา
“เชิญค่ะ!” ข่มเสียงเข้มและบอกดังกว่าปกติ คนฟังกลับยิ้มแววตาเป็นประกาย ไม่ว่าหล่อนจะแสดงสีหน้าเช่นไรก็ยังสวยไม่เปลี่ยน
ดวงตากลมโต จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากรูปกระจับสีพีชอ่อน รวมทั้งหมดที่เป็นเธอสวยจนไม่อาจละสายตาไปทางอื่นได้
ชอบ...ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นหน้าแล้ว
“อย่าทำเสียงขึงขังนักสิครับ ผมมาดีนะ” เขาพยายามบอกเธออย่างนั้น
แต่สิ่งที่เห็นคือการคุกคามที่ร้ายกาจอย่างไม่เคยพบมาก่อน มือบางที่กุมกันไว้บีบแน่นพร้อมกับเม้มริมฝีปากไม่ให้เอ่ยวาจาไม่สมควรออกไป กระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะพูดตามสิ่งที่ตัวเองคิด
“ฉันไม่ชอบการกระทำของคุณค่ะ ถ้ามาดีก็ออกไปจากหน้าห้องฉัน รบกวนด้วยค่ะ!” บอกเสียงดังเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยายามจะเดินเข้ามาใกล้ เธอภาวนาให้พี่แม่บ้านเข้ามาช่วยเหลือแต่กลายเป็นว่ามีคนที่ไม่อยากให้เดินผ่านเอ่ยเสียงดังซะก่อน
เหมือนกับเสียงระฆังที่ช่วยชีวิต และพร้อมจะปลิดชีวิตของเธอเช่นเดียวกัน...
“ณพล! มาทำอะไรที่นี่” คนที่เธอไม่ต้องการให้มาเจอดันเดินมาถูกเวลาซะได้
นภานรีรีบเดินเข้ามาดึงแขนของเพื่อนต่างเพศให้ไปยืนข้างตัวเอง เธอจึงรีบก้มหน้าไม่กล้าสบตาที่จ้องกันอย่างหาเรื่อง แก้มแดงก่ำกับแววตาเป็นประกายกำลังทำให้หล่อนกลัวจนตัวสั่น นึกไม่ออกเลยว่าจากนี้จะโดนอะไรบ้าง
