๓ โจรปล้นใจ (๑)
๓
โจรปล้นใจ
การปรับตัวในรั้วโรงเรียนแห่งใหม่ไม่ได้ยากสำหรับเธอนักเมื่อมีหม่อมหลวงหยาดดารา บวรทัตเป็นเพื่อนสนิท เพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงหม่อมราชวงศ์ทำให้ตกใจพอสมควร รูปลักษณ์ภายนอกไม่เหมือนสักนิด จนได้ทราบว่าแยกตัวออกมาอยู่ลำพังกับบิดาและมารดาตั้งแต่จำความได้ ไม่ได้อยู่ในรั้วในวังอย่างที่เข้าใจ
บิดาประกอบอาชีพนักธุรกิจใช้ชีวิตรุ่งโรจน์ แต่ไม่นานมานี้ธุรกิจขาดทุนจนล้มละลาย ต้องขายทรัพย์สินทั้งหมดแล้วกลับเข้าไปอยู่ในวังอย่างเลี่ยงไมได้ เพื่อนสนิทที่เคยมีก็หนีหายเมื่อเธอไม่มีเงินทองเหมือนอย่างเคยเพราะถูกจำกัดการใช้จ่าย
ฟังอย่างนั้นก็เข้าใจเหตุใดเพื่อนถึงได้ไม่มีใครเข้ามาคุยด้วย สองสาวจึงกลายเป็นเพื่อนสนิทกันในทันที
“อย่าลืมส่งการบ้านที่สั่งไปครั้งก่อนด้วย...เพชรแพรวา คราวก่อนเธอไม่ได้ส่งงานครูนะ รีบทำให้เสร็จแล้วมาส่งก่อนเลิกเรียนวันนี้” ถึงเวลาพักเที่ยงคุณครูที่สอนคาบสุดท้ายในช่วงเช้าไม่ลืมสั่งงานแล้วทวงถามถึงการบ้านครั้งก่อน
ดวงตากลมฉายแววฉงนปนวิตก จำได้ว่าเธอส่งการบ้านพร้อมเพื่อนในห้องคนอื่นไปเรียบร้อยแล้ว จึงรีบลุกขึ้นเพื่อแจ้งข้อเท็จจริงให้ผู้สอนได้ทราบ
“หนูส่งไปแล้วนะคะคุณครู” แย้งเสียงสั่นคล้ายจะร้องไห้ จนเพื่อนที่นั่งข้างกันจ้องมองอย่างพินิจ เธอเห็นกับตาว่าเพชรแพรวาส่งการบ้านไปแล้ว เหตุใดจึงไม่ถึงมือของคุณครูล่ะ
“ส่งแล้วแต่มันไม่มี หมายความว่าครูเป็นคนทำหายอย่างนั้นเหรอ...ถ้ายังไม่เสร็จก็แค่รีบทำอย่าแก้ตัว” พูดจบก็เดินออกจากห้องทันทีไม่ถามอะไรอีก ปล่อยให้นักเรียนสาวทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้อย่างคนหมดแรง
นักเรียนในห้องต่างพากันเดินออกไปโรงอาหาร ยกเว้นเพียงกลุ่มที่มีเรื่องกับเธอตั้งแต่วันแรกที่เหยียบย่างเข้ามาในห้อง กลุ่มอิทธิพลซึ่งเป็นการรวมตัวของครอบครัวร่ำรวยไม่ว่าจะหลานสาวเจ้าของธนาคาร ลูกสาวท่านนายพล หลานเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง เป็นการรวมตัวที่ไม่มีใครในโรงเรียนเทียบได้
หัวหน้ากลุ่มคือคนที่ได้ฉายาด้วงสาคูจากหม่อมหลวงคนสวย ผิวขาวสว่างทั้งรูปร่างอวบอัดฐานะก็สูงส่งกลับมีนิสัยชอบเหยียดคนด้อยกว่า พ่นออกมาแต่ละคำนึกว่าขยะส่งกลิ่นเหม็นเน่า จึงกลายเป็นคู่ปรับกับหยาดดาราไปโดนปริยาย
“คนเราน่ะต้องรู้จักฐานะของตัวเอง ถ้าไม่ไหวก็แค่ออกไปอย่าฝืนอยู่ในที่ที่ไม่ใช่ของตัวเองสิ” เดินมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะของเพชรแพรวา โดยมีเพื่อนอีกสองคนขนาบข้าง เป็นเหมือนนางสนองพระโอษฐ์อย่างไรอย่างนั้น
ใบหน้าหวานซีดเผือดไม่กล้าตอบโต้อะไร รู้ฐานะตัวเองดีว่าไร้ค่ายิ่งกว่าฝุ่นผง ทำได้เพียงนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเม้มปากแน่น ก้มหน้าไม่กล้าตอบโต้จนได้เพื่อนสนิทที่นั่งข้างกันออกโรงปกป้อง ตบโต๊ะเสียงดังแล้วยืนเต็มความสูง เดินออกมาเผชิญหน้ากับคู่อริของตัวเองพลางยกมือกอดอกแล้วเชิดปลายคาง
“ขอโทษนะ ที่โรงเรียนเราเป็นของเธอเหรอจ๊ะถึงสามารถไล่ใครออกไปก็ได้ เป็นแค่นักเรียนเหมือนกันอย่าทำตัวเป็นศาลเตี้ยเที่ยวตัดสินคนอื่นได้ไหม เรียนก็ไม่รู้จะจบหรือเปล่ายังทำวางท่าอยู่ได้ ต้องขอบคุณบุญจากชาติก่อนนะทำให้เธอเกิดในตระกูลร่ำรวย ไม่อย่างนั้นไปเกิดในครอบครัวตกทุกข์ได้ยากก็โงหัวไม่ขึ้นทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง” ร่ายยาวอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
คนที่ฟังถึงกับเม้มปากแน่น กระทืบเท้าอย่างขัดใจก้าวเท้าเข้ามาหาคนตัวสูงกว่า เงื้อมือขึ้นหมายจะตบหน้าด้วยความเคยชิน แล้วมีหรือที่คนอย่างหม่อมหลวงหยาดดาราจะเกรงกลัว ง้างมือจะตบกลับเช่นเดียวกันจนคนตรงหน้าชะงัก
แรงหยาดดารามากกว่า ตบไปตนก็ต้องพ่ายแพ้จึงลดมือลงแนบลำตัวเหมือนเดิม ใช้เสียงดังก้องตะคอกแทน
“หยาด! มันจะมากไปแล้วนะ”
“ทำไมล่ะ โกรธเหรอ โดนด่าแค่นี้ถึงกับโกรธ ทีเอาสมุดคนอื่นไปซ่อนเล่นเหมือนเด็กฉันยังไม่ว่าอะไรเลย” ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเบื้องหลังเรื่องทั้งหมดเป็นใคร เพชรแพรวาได้ยินอย่างนั้นก็หันขวับไปมองเพื่อนสนิททันที
“เธอมีหลักฐานหรือไง!” ยิ่งโดนไล่ต้อนก็ยิ่งใช้เสียงดังกว่าเดิม คนอะไรโกหกไม่เนียนเอาเสียเลย เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกสนุกเพิ่มสีสันให้ชีวิตแสนน่าเบื่อของตัวเอง
“ไม่มี จำเป็นต้องมีหลักฐานด้วยเหรอ คนที่คิดจะกลั่นแกล้งแพรก็มีแค่เธอกับกลุ่มพวกผู้ดีคอเชิดของเธอเท่านั้นแหละ คนอื่นเขามีวิจารณญาณพอที่จะไม่แกล้งคนอื่นเป็นเด็กไม่รู้จักโต...เอาล่ะ ฉันไม่อยากพูดอะไรมากแล้ว” หันไปคว้ามือเพชรแพรวาแล้วบังคับให้ลุกยืน หล่อนจึงรีบคว้ากระเป๋าถุงผ้าที่มีอาหารกลางวันอยู่ในนั้นมาถือไว้ก่อนยืนข้างเพื่อนสนิท
“ถ้าฉันกลับเข้ามาในห้องแล้วยังไม่เห็นการบ้านของแพรวางไว้บนโต๊ะ เธออยากรู้ไหมล่ะว่าฉันทำอะไรได้บ้าง เข้าห้องปกครองเรื่องทำร้ายร่างกายก็คงโดนโทษไม่หนักหรอก หักคะแนนความประพฤติ ทำความสะอาดโรงเรียนหนึ่งสัปดาห์ โอ๊ย สบาย!” แสยะยิ้มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ไม่มีอะไรจะเสียแล้วจึงคิดจะเอาอารมณ์นำไปเลย
ใช้กำลังเพื่อความสะใจ บทลงโทษก็คงไม่หนักเท่าไหร่หรอก อย่างไรคุณป้าของเธอก็เป็นหนึ่งในผู้อุปถัมภ์โรงเรียน ถ้าหลานสาวเจอปัญหาก็ต้องเข้ามาช่วยอยู่แล้ว
ถึงเธอจะไม่ชอบกฎระเบียบในวังซึ่งกลายเป็นที่อาศัยในปัจจุบัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งนั้นทำให้ตนเหนือกว่าคนอื่นอยู่มากพอสมควร และเธอก็สามารถที่ได้มาแต่กำเนิดให้ความช่วยเหลือเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวได้
“เธอ เธอมันอันธพาล!” กล่าวเสียงดังอย่างคับแค้นใจ คนฟังถึงกับกลั้วหัวเราะ เอียงศีรษะกระพริบตาปริบ
“อ้าว เป็นเพื่อนกันตั้งแต่มอหนึ่งเพิ่งรู้เหรอว่าฉันมันอันธพาลตัวแม่เลยล่ะ อยากลองไหม...” ขยับเท้าเข้ามาใกล้ อีกฝ่ายกลับถอยหลังหนีก่อนตะโกนเสียงดัง
“ยัยบ้า!!”
“เอาไงดี” ไม่สนใจคำด่าทอ แต่จ้องอย่างเอาเรื่อง หากทั้งสามเข้ามารุมเธอก็ยินดีจะโต้กลับรวดเร็ว ยังดีที่อีกฝ่ายไม่ได้เข้ามาหาเรื่อง กลับตะโกนบอกเพื่อนสนิทที่ยืนขนาบหลังเสียงดัง ดูท่าจะกลัวเป็นอย่างมากว่าอาจโดนหยาดดาราเล่นงาน
“คืนสมุดมันไปสิ!” สุดท้ายสมุดที่หายไปก็อยู่ในมือเธออีกครั้ง สามสาวเดินกระฟัดกระเฟียดออกจากห้อง ดูแล้วก็ไม่เต็มใจคืนหรอกแต่ทำอะไรไม่ได้
หม่อมหลวงคนสวยยกมือกอดอกแล้วแสยะยิ้มสมเพช พวกที่ดีแต่เก่งลับหลังต้องเจอแบบนี้แหละ พอหันไปมองเพชรแพรวาก็เห็นยืนน้ำตาซึมมองตนตาเป็นประกาย เล่นเอาทำตัวไม่ถูกเหมือนกันจนต้องเหลียวมองไปทางอื่น
“ขอบคุณนะหยาด” เกาะแขนของผู้มีพระคุณเอาไว้ ไม่ค่อยอ้อนใครแต่หยาดดาราคือข้อยกเว้น รู้สึกสนิทใจกับเพื่อนคนนี้เป็นอย่างมาก
“แค่นี้สบาย อยากออกกำลังกายพอดี ไม่น่าคืนเร็วเลย” พูดแล้วก็ทำท่าคล้ายกำลังยืดเส้นยืดสาย หล่อนเห็นดังนั้นก็ส่ายหน้าระอาปนเอ็นดูคนเก่งของห้อง จึงได้ดึงหยาดดาราให้ออกจากห้องเพื่อรับประทานอาหารเที่ยง
“หึหึ ไปกินข้าวกันดีกว่า มื้อนี้ฉันเลี้ยงเธอเอง!”
“ไม่ต้องเลี้ยงข้าวหรอก ขอแค่มื้อต่อไปเอากับข้าวบ้านเธอมาเยอะหน่อย อยากบอกว่าป้าเธอทำอร่อยมาก! เดี๋ยวพรุ่งนี้ขอให้คนที่บ้านทำให้บ้างดีกว่า เอามาแชร์กันไง” ทั้งสองเดินเคียงกันไปยังโรงอาหาร ทิ้งเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานไว้เบื้องหลัง เพชรแพรวากลับมายิ้มสดใสได้อีกครั้ง
“ดีเลย!”
บางทีโลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคยก็ไม่แย่เสมอไป อย่างน้อยหม่อมหลวงหยาดดาราก็เป็นเรื่องดีในชีวิตของเธอ
