ตอนที่ 7 ลูกชายของเรา
เวลา 13.00 นาฬิกา ของอีกวัน
เจ้าของเรือนร่างกำยำที่เดินลงจากบันไดมาด้วยท่าทางเร่งรีบทำให้หญิงสูงวัยต้องละสายตาจากเครื่องเพชรชุดใหญ่ตรงหน้ามามองบุตรชายด้วยความสงสัย เสียงกระแอมของผู้ให้กำเนิดทำให้ชายหนุ่มต้องชะงักฝีเท้าลง
"จะไปไหนตากานต์?"
"ผมว่าจะเข้าไปที่บริษัทครับ"
"แล้วทำไมต้องทำท่าทางรีบร้อนขนาดนั้น เกิดอะไรขึ้น" คุณหญิงกันตาคาดคั้นเพราะเข้าใจว่าเกิดปัญหาใหญ่และยังอยากให้เจ้าตัวพักผ่อนมากกว่าเนื่องจากเห็นว่าเพิ่งกลับมาถึงเมื่อวาน
"ไม่มีอะไรร้ายแรงครับแม่ แล้วผมจะรีบกลับ"
จุดมุ่งหมายปลายทางของกันต์ธรคือบ้านของอดีตคู่ควงที่เขาเคยขับไล่ออกจากชีวิต ตอนนี้เขารู้ใจตัวเองแล้วว่าผู้หญิงที่มีความหมายกับชีวิตคือใคร ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มมีแต่ความขี้ขลาดและไม่กล้าพอ ขอแค่เธอยอมรับคำขอโทษและมองเห็นความจริงใจที่ตั้งใจมอบให้
สองเท้าหยุดยืนบริเวณหน้าบ้านกลางเก่ากลางใหม่ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม มีเพียงพื้นที่ด้านหน้าซึ่งถูกดัดแปลงเป็นมินิมาร์ทเล็กๆ ความอดทนบวกความเก่งทำให้เขาหวนนึกถึงวงหน้าเนียนสวยที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา แววตาตัดพ้อต่อว่า แต่เขาก็ยังทำลายหัวใจด้วยการเดินจากมาอย่างไร้คำปลอบโยน
กันต์ธรยอมรับอย่างไม่อายว่าช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้เขาตัดสินใจจ้างนับสืบติดตามเรื่องราวของเจ้าตัวจนได้รับรู้ความจริงที่น่าอดสูอีกอย่างว่ามารดาผู้ให้กำเนิดของหญิงสาวเสียชีวิตลงหลังจากถูกเขาบอกเลิกได้ไม่กี่วัน ท่านคือผู้หญิงที่สู้ชีวิตและอดทนจนชายหนุ่มยังอดชื่นชมไม่ได้
สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือเด็กชายหน้าตาน่ารักน่าชังวัยสามขวบที่เขามั่นใจว่าเป็นลูกที่เกิดจากตน ด้วยระยะเวลาบวกกับรูปร่างหน้าตาที่คล้ายคลึงกัน เวลานี้ชายหนุ่มมั่นใจเกินครึ่ง ส่วนเปอร์เซนต์ที่เหลือเขาจะพิสูจน์กับแม่ของลูกด้วยตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้นตลอดระยะเวลาที่จากกันเธอไม่เคยมีใครมาแทนที่เขา นั่นคือข้อพิสูจน์ที่ทำให้กันต์ธรมั่นใจและมั่นหน้าว่าเจ้าหล่อนไม่เคยลืมผู้ชายใจร้ายเฉกเช่นเขาแม้แต่วินาทีเดียว
วันนี้ความตั้งใจของคนรู้ตัวช้าคือขอแค่ได้เห็นบรรยากาศเดิมๆ ที่เคยสัมผัส ดังเช่นคำเปรียบเปรย'ไม่ได้เห็นหน้า ขอเห็นหลังคาบ้านก็ยังดี' ทว่าพอกำลังจะเตรียมตัวออกรถสายตาก็เหลือบไปเห็นสองแม่ลูกกำลังเดินจูงมือกันมาพอดี
"เดี๋ยววันนี้แม่ทำข้าวต้มกุ้งให้นายดีไหมเอ่ย" อชิรญาถามบุตรชายที่ตนเพิ่งเดินทางไปรับมาจากเนอสเซอรี่หน้าปากซอยบ้าน
"เย้! กุ้งตัวหญ่ายย" หนูน้อยทำเสียงตื่นเต้นยินดี
ภาพความสุขระหว่างแม่ลูกทำให้คนเป็นพ่อเผลอยิ้มตาม สุดท้ายกันต์ธรก็ตัดสินใจก้าวลงมาจากรถอีกครั้ง
"นายเข้าบ้านไปก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่ไปเปิดร้านก่อน"
เด็กชายวัยสามขวบทำตามคำสั่งของมารดาอย่างว่าง่าย ร่างเล็กถอดรองเท้าวางไว้บนชั้นก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน
"อุ๊ย เดี๋ยวก่อนค่ะ ร้านยังเปิดไม่เรียบร้อยนะคะ" อชิรญาอุทานเสียงหลงเมื่อเห็นว่ามือปริศนากำลังจะผลักเข้าไปด้านในมินิมาร์ท
"รีบเปิดสิ พี่จะได้เข้าไปซื้อ" น้ำเสียงทุ้มที่แสนคุ้นเคยทำเอาคนฟังตัวแข็งไปชั่วขณะ พอเงยหน้าขึ้นมาชัดๆ ดวงตาคมก็เบิกกว้างราวกับเห็นผี ผู้ชายที่ไม่ต้องการพบเจออีกไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนกำลังยืนส่งยิ้มเผล่มาให้
"พี่กานต์"
"ดีใจนะที่ยังจำผัวเก่าได้ ไม่ใช่สิ...ผัวคนแรกและคนเดียวในชีวิต ความจำอายดีมาก" สุดท้ายกันต์ธรก็เผลอปากพล่อยออกไปทั้งที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะมาดีแท้ๆ
"พูดจาหยาบคายแบบนี้ก็มีแค่คุณคนเดียว พูดจบแล้วใช่ไหมคะ เชิญค่ะ" สรรพนามที่ใช้เรียกเปลี่ยนไปจากเดิมหลังตั้งสติได้
"พูดจาห่างเหินเกินไปไหม เรายังไม่ได้คุยกันสักคำ"
"ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ!" เธอตอบเสียงแข็งและจ้องคนหน้าด้านเขม็ง
"พี่มีบางอย่างอยากถามเธอ" กันต์ธรทำเสียเครียดเมื่อถูกผลักไสกลับท่าเดียว
"มีอะไรก็รีบพูดมาค่ะ ฉันไม่ว่าง"
"พี่เป็นพ่อของลูกอายใช่หรือเปล่า?"
คำถามนั้นทำเอาคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวอึ้งไปชั่วขณะ จะให้เธอตอบได้อย่างไร ถึงบอกไปก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมา
"นายเป็นลูกฉันค่ะ คนอย่างคุณคงเป็นพ่อใครไม่ได้" คำตอบดังกล่าวทำเอาคนฟังเริ่มมีอารมณ์
"ตอบไม่ตรงคำถาม พี่ให้คนสืบเรื่องเรามาหมดแล้ว ตลอดเวลาเราไม่ได้มีใคร เด็กก็ต้องเป็นลูกพี่ อย่าคิดกีดกันลูกไม่ให้เจอพี่นะอาย พี่ไม่ยอมแน่"
วาจาร้ายกาจพ่นออกมาจากผู้ชายที่เธอไม่คิดอยากเจอตลอดชีวิต วันนี้เขากลับมาทำร้ายหัวใจเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือที่ผ่านมายังไม่สาแก่ใจ
"ถ้าคุณคิดว่าพิสูจน์ได้ ก็เชิญ" อชิรญาท้ากลับอย่างไม่เกรงกลัว แม้ข้างในจะรู้สึกตรงกันข้าม เธอจะไม่แสดงความอ่อนแอให้คนใจร้ายใจดำเห็นอีก
"อย่าปากเก่งกับพี่อาย"
"ออกไป ที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ" หญิงสาวชี้นิ้วไล่เป็นครั้งที่สอง ร่างบางถอยหนีเมื่อเห็นว่าอีกกำลังคิดคุกคามเธอ
"ปากไล่แต่เดินหนี พี่แค่อยากมารื้อฟื้นความทรงจำกับเมียเก่าบ้างจะเป็นไร" คนหน้าด้านแสยะยิ้มและเดินเข้าใกล้ว่าเดิม
"หยุดนะ ห้ามเข้าไปในบ้านฉัน" คุณแม่ลูกหนึ่งตะโกนห้ามเสียงดังเมื่อผู้บุกรุกเดินเลี่ยงไปที่ประตูทางเข้าบ้าน
"ทำไม เรามีความลับอะไร?"
"นี่คุณ ฉันบอกให้หยุดไง" หญิงสาวรวบรวมกำลังที่มีผลักแผงอกหนาให้ออกห่าง แม้จะไม่แรงมากแต่ก็ทำเอาคนไม่ทันตั้งตัวถึงกับเซไป
"กล้าผลักพี่หรืออาย" มือหนาบีบไหล่กลมแน่น
"ปล่อยนะคุณกันต์ธร"
"ไม่ปล่อย" นอกจากไม่ยอมทำตามคำสั่งแล้วชายหนุ่มยังจ้องเข้าไปในดวงตากลมสดใสที่เคยใช้มองตนด้วยความรัก ทว่าตอนนี้ถูกความเกลียดชังเข้ามาแทนที่
"อ๊าวว!" คนหน้ามึนร้องเสียงหลงและสะดุ้งเบาๆ ก่อนจะพบว่าตนเองถูกเด็กชายตัวกลมใช้ฟันซี่เล็กกัดลงบนหัวเข่าตนเต็มแรง
"แกล้งๆ แม่"
"นาย เข้าไปในบ้านก่อนนะลูก" อชิรญาดึงบุตรชายเข้ามาในอ้อมกอด ไม่อยากให้ลูกมองเห็นความบาดหมางระหว่างผู้ใหญ่
"โป้งๆ ไม่รัก...ทำแม่อาย" หนูน้อยใช้นิ้วชี้ทำสัญลักษณ์ตามคำพูดอย่างไร้เดียงสาเพื่อปกป้องผู้ให้กำเนิด
"ลุงขอโทษนะครับ คนเก่งชื่ออะไร บอกลุงได้ไหม" คุณพ่อจอมโมเมก้มลงไปคุยกับบุตรชายด้วยรอยยิ้มท่ามกลางสีหน้าไม่พอใจของแม่ที่หวงลูกยิ่งกว่าไข่ในหิน
"นายฮับ" ถึงจะไม่พอใจคุณลุงตัวโตแต่หนูน้อยก็ยังทำตัวมีมารยาทกับผู้ใหญ่
"เลิกยุ่งกับเราสองคนสักที"
"พี่อยากคุยกับลูกของเราจะเป็นไรไป" ดวงตาคมเข้มหรี่มองอย่างผิด คำว่า'ลูกของเรา'ทวีความไม่พอใจให้เธออีกเท่าตัว
"โน่น! ประตู ออกไปจากที่นี่ ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก"
"พี่ถามจริงๆ อายลืมพี่แล้วหรือ" คนหลงตัวเองไม่ทำตามคำไล่ง่ายๆ ซ้ำร้ายยังพูดจายั่วอารมณ์
"คนอย่างคุณมีอะไรให้น่าจดจำ" เธอโต้กลับไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเย้ยหยัน
"แต่พี่ยังจำตอนที่เราอาลัยอาวรณ์พี่ได้อยู่นะ" ชายหนุ่มขุดอดีตขึ้นมาพูดอีกครั้ง
"หยุดพูดจาหยาบคายคุณกันต์ธร ฉันไม่มีวันโง่เหมือนตอนนั้น อีกอย่างฉันกำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่"
หญิงสาวโกหกคำโตว่าหัวใจของเธอไม่มีที่ว่างเหลือให้คนอย่างเขา ทุกอย่างจะได้จบ เนื่องจากมองไม่เห็นประโยชน์ที่ต้องพบเจอพูดคุย เธอและเขาเปรียบเสมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบกัน
"งั้นก็เรียกออกมา พี่จะได้ทำให้มันรู้ว่าใครที่มาก่อน" คำพูดดังกล่าวทำเอาหยาดน้ำใสรินไหลลงมา ไม่ว่าจะนานแค่ไหนเขาก็ยังคิดทำร้ายเธอไม่หยุดหย่อน
พอเห็นน้ำตาแม่ของลูกก็ทำเอาคนปากไม่ดีชะงักไป เขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดแรงๆ ถ้าไม่เป็นเพราะถูกยั่วยุอารมณ์ รู้ทั้งรู้ว่าเธอไม่ได้มีใครดังที่ปากพูด
ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด
ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังจ้องตากันชนิดไม่มีใครยอมใคร เสียงสมาร์ตโฟนของกันต์ธรก็ดังขึ้น ชื่อบนหน้าจอทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจกดรับ
"ครับเคท"
"กานต์อยู่ไหนคะ เคทมาหาที่บ้านคุณแม่บอกว่ากานต์ออกไปที่บริษัท"
"ผมมาเคลียร์บางอย่างนิดหน่อยน่ะ" เขาตอบคนปลายสายและชำเลืองมองหญิงสาวตรงหน้า แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือสายตาเย็นชาราวกับไม่รู้สึกอะไร
"แล้วจะกลับเมื่อไหร่คะ เคทกับคุณแม่รอทานข้าวอยู่นะ"
"เดี๋ยวผมจะรีบกลับ" สิ้นเสียงเขาก็กดปุ่มวางสายลงทันทีพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหาสองแม่ลูกที่ตระกรองกันแนบแน่น
"คุณจะทำอะไร แฟนคุณโทรมาตามแล้ว รีบกลับไปหาเธอสิ"
"หึง...เหรอ" กันต์ธรลากเสียงยาวอย่างพึงพอใจในปฏิกิริยาดังกล่าว
"ไร้สาระ เราเข้าบ้านกันดีกว่าครับนาย" อชิรญาสวนกลับทันควัน สองมือเล็กรีบอุ้มลูกชายขึ้นแนบอกและสาวเท้าเข้าไปด้านในพร้อมกับกดล็อกประตูอย่างรวดเร็ว
"สักวันพี่จะพิสูจน์ให้ได้ว่าเด็กคนนี้เป็นลูกพี่"
กันต์ธรเดินทางกลับด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่ยังไม่จางหายทั้งๆ ที่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้ตนรู้สึกแบบนี้มาก่อน
"กลับมาแล้วเหรอตากานต์ แม่กำลังจะชวนหนูเคทเข้าไปช่วยกันทำกับข้าวในครัวพอดี" หญิงสูงวัยทักทายบุตรชายหลังกำลังสนทนากับว่าที่ลูกสะใภ้อย่างออกรสออกชาติ
"ครับ"
"งานยุ่งหรือคะกานต์ มีปัญหาก็ปรึกษาเคทได้นะ อย่าเก็บไว้คนเดียวสิ" ร่างระหงลุกขึ้นมาสวมกอดชายคนรักด้วยท่าทางปลอบประโลมเพราะคิดว่าอีกฝ่ายเครียดกับเรื่องงาน
"ไม่มีอะไรหรอกเคท ผมขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อน" ชายหนุ่มตัดบทเนื่องจากไม่อยากถูกซักไซ้ให้มากความ แม้เธอจะได้ชื่อว่าเป็นคนรักก็ตาม
"เคทไปด้วยนะคะ"
"เอ่อ...หนูเคทเข้าไปในครัวกับแม่ดีกว่านะลูก" คุณหญกันตาส่งเสียงเรียกเมื่อเห็นว่าที่ลูกสะใภ้ทำท่าจะก้าวตามบุตรชายขึ้นไปจนเจ้าตัวพึมพำออกมาด้วยความขัดใจ
"หนูว่าอะไรนะลูก?"
"เปล่าค่ะคุณแม่ เคทไปช่วยคุณแม่เตรียมอาหารเย็นก็ได้ค่ะ" นางแบบสาวจำต้องเดินตามร่างของหญิงสูงวัยเข้าไปในครัวแม้ในใจจะคัดค้านแค่ไหน ตั้งแต่เกิดมาจานสักใบเธอยังแทบไม่อยากจะล้างให้มือสวยๆ ต้องหยาบกร้านสักครั้ง
ภายในห้องครัวกว้างที่มีร่างของหญิงต่างวัยกำลังช่วยกันตระเตรียมอาหารมื้อเย็น ท่าทางเก้ๆ กังๆ ของมัชฌิมาทำให้สุนีนึกตำหนิในใจ คนผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่าครึ่งชีวิตมองปราดเดียวก็รู้แล้วเจ้าหล่อนไม่มีความเป็นกุลสตรีเลยแม้แต่กระเบียดนิ้ว
"คิดถึงคุณท่านนะคะคุณหญิง ถ้าคุณท่านยังอยู่คงไม่เงียบเหงาแบบนี้" สุนีเอ่ยขึ้นหลังประมุขใหญ่ของบ้านเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน
"นั่นสิ ฉันก็คิดถึงคุณพี่เหมือนกัน" คุณหญิงกันตาพยักหน้าเห็นด้วย
ระหว่างนั้นสายตาของแม่บ้านสูงวัยก็เหลือบไปเห็นว่าที่สะใภ้ที่เจ้านายโปรดปรานกำลังเด็ดผักด้วยท่าทางกรีดกรายประหนึ่งว่านั่นคือสิ่งน่าขยะแขยง
"คุณเคทขา ทำแบบนั้นไม่ถูกนะคะ มาค่ะ...ป้าช่วยสอนให้"
"ไม่ต้อง!" นางแบบสาวตวาดกลับจนคนอาสาถึงกับสะดุ้ง ครั้นพอนึกขึ้นว่าเผลอแสดงอะไรออกไปก็รีบส่งยิ้มหวานทันที
"เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะป้านี"
"เอาเถอะนี ให้หนูเคทลองทำเอง" หญิงสูงวัยบอกพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้
"ขอบคุณค่ะคุณแม่" มัชฌิมากล่าวขอบคุณพร้อมกับตวัดสายตาแห่งความไม่พอใจไปให้แม่บ้านสูงวัยอีกครั้ง
'ยุ่งไม่เข้าเรื่อง เป็นแค่ขี้ข้าสะเออะคิดจะสั่งสอนเจ้านาย'
หญิงสาวแอบต่อว่าในใจอย่างถือตัว เธอรู้ดีว่ามารดาของชายคนรักเอ็นดูและเข้าข้างเสมอ
"คุณแม่ขา เคทเหงื่อแตกไปทั้งตัวเลยค่ะ เคทขอออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อยนะคะ" เจ้าของร่างระหงเดินเข้ามาออดอ้อนหลังจากเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งที่ทำ ความจริงหน้าที่นี้ควรจะเป็นของแม่บ้านมากกว่าไม่งั้นจะเสียเงินจ้างมาเพื่ออะไร
"ตามสบายเลยลูก ที่จริงหนูเป็นแขกแม่ไม่น่าชวนเข้ามาแต่แรก"
สุนีได้แต่มองด้วยท่าทางอ่อนใจ ทำไมคุณหญิงถึงได้มองก้อนกรวดเป็นเพชรไปได้
"ทำไมคุณหญิงดูอยากได้คุณเคทเป็นลูกสะใภ้นักล่ะคะ" ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่พูด แต่เพราะความหวังดีและรู้ว่าอนาคตข้างหน้าอีกฝ่ายต้องกลายมาเป็นสมาชิกครอบครัวและเป็นเจ้านายของนางด้วย
"อย่าคิดมากนักสินี ฉันว่าหนูเคทออกจะน่ารัก ทั้งฐานะและหน้าที่การงาน เหมาะสมกับตากานต์ทุกอย่าง ดีกว่าแม่เด็กนั่นก็แล้วกัน...มีแต่ตัว" หญิงสูงวัยเชื่อสายตาตนเองว่าไม่ผิดพลาด พานให้นึกถึงอดีตคู่ควงบุตรชายที่ไม่มีอะไรเทียบเทียม นางยังจำความรู้สึกดีใจได้ดีตอนรู้ว่าบุตรชายเลิกกับเด็กคนนั้น เพราะคงรับไม่ได้แน่หากเจ้าหล่อนจะมาเกาะบุตรชายเพียงคนเดียวไปตลอดชีวิต
"คุณหญิงยังไม่ทันรู้จักเธอเลยนะคะ ทำไมด่วนตัดสินใจแบบนั้น"
สุนีค้านอย่างไม่เห็นด้วย แม้นางจะไม่เคยพบกับหญิงสาวคนนั้น เชื่อว่าเจ้านายเองก็คงยังไม่ทันได้สัมผัสถึงอุปนิสัย เพียงแค่รับรู้ถึงฐานะที่ไม่ร่ำรวยก็ทำให้ผู้ดีเก่าอย่างคุณหญิงกันตาตั้งแง่รังเกียจโดยไม่คิดหาเหตุผล
"ฉันตัดสินใจทุกอย่างถูกต้องเสมอ เธอเองก็อย่าได้ขัดใจฉันนะนี ฉันรักใครเธอก็ต้องรักด้วยสิ เข้าใจไหม"
"ค่ะ" แม่บ้านสูงวัยรับคำอย่างเสียไม่ได้ เป็นแค่ผู้น้อยย่อมไม่มีสิทธิ์คัดค้านถนอกจากจำใจต้องเห็นดีเห็นงามไปด้วย
"รีบทำเถอะ ป่านนี้ลูกชายกับว่าที่ลูกสะใภ้ฉันคงหิวแย่แล้ว"
คุณหญิงกันตาตัดบท วันนี้ตั้งใจลงมือเข้าครัวเองเพื่อเป็นการต้อนรับการกลับมาของบุตรชาย เมื่อทุกอย่างเข้าที่ดีเจ้าตัวก็กลับมาทำหน้าที่ในแผ่นดินเกิดตามเดิม
อชิรญายังคงตกใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ การมาเยือนโดยไม่ตั้งตัวของผู้ชายใจร้ายทำให้หัวใจที่พยายามเข้มแข็งมาตลอดเริ่มสั่นไหวอีกครั้งชนิดที่ว่ใครก็ช่วยไม่ได้ นอกจากตัวเธอเอง
"เจ็บๆ" มือป้อมเล็กแตะไหล่มารดาอย่างไร้เดียงสา
"ไม่เจ็บแล้วครับ นายเป่าให้แม่อีกสิ" แม่จะเป็นแค่เด็กแต่คำพูดของบุตรชายก็ทำเอาเธอถึงกับน้ำตาซึม
"เป่าแย้ว" เด็กชายรีบทำตามคำขอของมารดาทันที
"นายรักแม่ไหมครับ" แค่นี้ก็ทำให้เธอยิ้มออกมาได้แล้ว
"ร้ากเท่าฟ้าเล้ยย" เจ้าตัวเล็กตอบพร้อมทำท่าประกอบไปด้วยราวกับกลัวว่าคุณแม่คนสวยจะไม่เชื่อ
หญิงสาวดึงร่างบุตรชายเข้ามาในอ้อมกอดด้วยอาการตื้นตัน ตัวแค่นี้ยังรู้จักคำว่า'รัก' ดีกว่าผู้ชายบางคนที่นอกจากจะไม่เคยรักแม่แล้วยังจะกลับมาเหยียบย่ำหัวใจกันอีก
"แม่ก็รักนายที่สุดในโลกเลยลูก" เธอก้มลงหอมพวงแก้มยุ้ยด้วยความรักใคร่
อชิรญาสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้คนใจร้ายเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของเธอและลูก ผู้ชายคนนั้นจะเป็นพ่อของลูกใครก็ช่าง แต่เขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นพ่อของลูกเธอ!
