ตอนที่ 8 เมียเก่า
อชิรญาปิดมินิมาร์ทเร็วกว่าปกติ เพราะตั้งใจว่าจะเดินทางไปยังร้านกาแฟของเพื่อนสนิทที่เพิ่งลงทุนเปิดกิจการเมื่อปีที่แล้วและมีทีท่าว่าจะไปไปได้ดีเนื่องจากศิวาพรลงทุนลงแรงศึกษาสูตรทุกอย่างด้วยตนเอง
"อาย แกยังไม่ไปรับนายอีกเหรอ?" เจ้าของร้านวางมือจากภารกิจตรงหน้ามาหาเพื่อนที่มีสีหน้าซีดเซียวเหมือนคนอดหลับอดนอนมาทั้งคืน
"ฉันว่าจะมาคุยกับแกก่อนน่ะ"
"มาหลังร้านดีกว่า" เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก็พอจะเดาได้ว่ากำลังมีเรื่องไม่สบายใจ ทันทีที่เดินเข้ามาข้างในจึงรีบเปิดปากถามออกไป
"มีอะไรหรือเปล่าอาย หน้าตาแกดูไม่ค่อยดีเลย" สิ้นคำถามดังกล่าวร่างบางก็โผเข้ามาสู่อ้อมกอดพร้อมๆ อาการสะอื้นไห้
"ร้องออกมาเถอะถ้ามันทำให้แกสบายใจ พร้อมเมื่อไหร่ค่อยเล่านะอาย" แรงโอบกอดที่แนบแน่นและมือเล็กสองข้างลูบลงไปบนแผ่นหลังบางเบาๆ เพื่อปลอบประโลม เป็นเวลานานหลายนาทีกว่าคนทุกข์ใจจะปรับอารมณ์เป็นปกติ
"เขากลับมาแล้วปริม ผู้ชายคนนั้นกลับมาทำร้ายฉันอีกแล้ว"
"พี่กานต์ใช่ไหม เขามาหาแกเหรออาย" ศิวาพรรู้ในทันทีชายคนดังกล่าวเป็นใคร
"ฮื่อ...เขาบุกมาที่บ้านแล้วได้เจอกับนายด้วย"
"แล้วพี่กานต์รู้หรือเปล่าว่านายเป็นลูกเขา" อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับการให้คนใจร้ายพรรคนั้นรับรู้ว่าหลานชายสุดที่รักคือเลือดเนื้อเชื้อไข
"ฉันคิดว่าน่าจะสงสัย แต่ต่อให้เขารู้ว่านายเป็นลูกฉันก็ไม่มีทางยอมให้เขามายุ่งกับพวกเราเด็ดขาด ที่สำคัญฉันพูดไปว่ากำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่" ลึกๆ แล้วอชิรญายังคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอเสียที่ถูกพ่อของลูกดูถูกน้ำใจและความรักที่มีให้ เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความใจร้ายใจดำของเขาก็ไม่เคยเปลี่ยน
"เฮอะ! ปล่อยให้รู้ว่าแกจะเริ่มต้นชีวิตใหม่น่ะดีแล้ว" หญิงสาวทำเสียงเยาะ ผู้ชายแบบนี้ไม่เหมาะสมกับคำว่า'พ่อ'นักหรอก
"ฉันจะทำไงดีปริม ฉันไม่อยากเจอเขาอีก" แม่เลี้ยงเดี่ยวมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
"ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นอาย แกไม่ผิด"
"ปริม..."
"ไม่ต้องคิดมาก รีบไปล้างหน้าล้างตาแล้วออกไปชิมบลูเบอรี่ชีสเค้กฝีมือฉันดีกว่า" ศิวาพรตัดบท ก่อนจะรุนหลังอีกฝ่ายให้ทำตามคำพูดของตน ยังไงซะเธอจะไม่มีทางให้เพื่อนรักถูกพ่อของลูกทำร้ายหัวใจเป็นครั้งที่สอง!
หลังเดินกลับออกมาบริเวณพื้นที่นั่งด้านนอกสำหรับลูกค้า สายตาไวปานจรวดของเจ้าของร้านสาวก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มท่าทางคุ้นตาตรงหน้าประตูกระจก ครั้นเพ่งมองดีๆ ก็พบว่าบุคคลดังกล่าวคือคนๆ เดียวกันกับที่เคยตีฝีปากในห้างสรรพสินค้าเมื่อสัปดาห์ก่อน
"เฮ้ย! ไอ้ปากปีจอ" คำอุทานและดวงตาที่เบิกกว้างของเพื่อนทำให้อชิรญาเบนสายตาตามไปบ้าง
"นั่นใช่แฟนของผู้หญิงที่เคยทะเลาะกับแกหรือเปล่าปริม?"
"อือ...ฉันสงสัยอยู่ว่ามาร้านฉันได้ไง" อารมณ์ของเธอเริ่มขุ่นมัวเมื่อเจอหน้าชายผู้ไม่ถูกชะตา
"แกพูดแบบนั้นไม่ถูกนะปริม ยังไงซะเขาก็คือลูกค้า" หญิงสาวเอ่ยเตือนสติเพื่อน
"ลูกค้าปากเสีย ฉันไม่อยากต้อนรับให้เสียเวลาหรอกอาย" จากอคติที่มีเป็นทุนเดิมทำให้ถ้อยคำเกลี้ยกล่อมดูไม่ค่อยจะได้ผลเท่าไหร่
"อย่าอารมณ์เสียน่า ไหนบอกจะให้ฉันลองชิมเค้กไง"
"สั่งกาแฟมารอก่อน เดี๋ยวฉันเข้าไปยกมาให้"
ศิวาพรเดินกลับเข้ามาด้านหลังร้านก่อนจะพบว่าตนเองยังตกแต่งหน้าเค้กไม่เรียบร้อยดี
อชิรญานั่งจิบกาแฟรอเพื่อนเพื่อฆ่าเวลา เสียงทักทายที่ดังขึ้นทำเอาร่างบางถึงกับสะดุ้งจากภวังค์ความคิด กระทั่งเงยหน้าขึ้นมาพบกับชายผู้ตกเป็นหัวข้อสนทนาเมื่อครู่
"ผมรบกวนคุณหรือเปล่าครับ?"
"เอ่อ...ไม่รบกวนหรอกค่ะ" เธอตอบกลับไปเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท
"จำผมได้ไหมครับ เราเคยเจอกัน ที่วันนั้น ผม...กับเพื่อนคุณ" พีรัทตั้งคำถามและแอบลุ้นในใจ
"จำได้ค่ะ"
"ดีใจนะครับที่คุณจำได้ ถ้าไม่รบกวนเกินไป ผมขออนุญาตนั่งด้วยคนนะครับ" ชายหนุ่มตัดสินใจจู่โจมออกไปแบบไม่มีอะไรจะเสีย
"เชิญค่ะ" คุณแม่ลูกหนึ่งพยักหน้ารับคำด้วยรอยยิ้ม
"ขอบคุณครับ"
"ทำงานอยู่แถวนี้หรือคะ?"
"พอดีผมเพิ่งคุยงานกับลูกค้าเสร็จเลยตั้งใจแวะมาหากาแฟดื่ม บังเอิญขับผ่านมาเจอร้านนี้เห็นว่าบรรยากาศน่านั่ง เจ้าของร้านรสนิยมดีนะครับ" ปากตอบคำถาม ทว่าสายตากลับจับจ้องอยู่ที่วงหน้าเรียวสวยจนคนถูกมองเริ่มทำหน้าไม่ถูก
"อ๋อ...ค่ะ"
"ขออนุญาตอีกครั้งนะครับ คุณ..."
"เรียกอายก็ได้ค่ะ"
"ครับคุณอาย ผมพีรัท แต่คุณอาย...เรียกผมว่าพีดีกว่า" พีรัทแนะนำตัวกลับไปด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มยินดี
"ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณพี"
"เช่นกันครับ ดีใจที่ได้รู้จักคุณอายครับ" เขายอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าท่าทีที่แสดงออกไปนั้นชัดเจนว่าอยากรู้จักกับอีกฝ่ายมากแค่ไหน
"ท่าทางกาแฟร้านนี้คงไม่ต้องเติมน้ำตาลแล้วมั้ง" จู่ๆ แขกที่ไม่ได้รับเชิญก็ตรงดิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
"พี่กานต์" อชิรญาเผลอเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความคุ้นเคยและตกตะลึง
กันต์ธรแอบตามเธอมาตั้งแต่ออกจากบ้าน ตอนแรกเขาเข้าใจว่าอีกฝ่ายตั้งใจแวะมาซื้อของที่นี่ ทว่าเวลาที่ล่วงเลยทำให้อดรนทนไม่ไหวต้องตามเข้ามาดู ความหึงหวงทำให้ชายหนุ่มทึกทักเอาเองว่าไอ้ผู้ชายที่นั่งส่งสายตาหวานฉ่ำมาให้คงเป็นคนเดียวกันกับที่แม่ของลูกเคยประกาศว่าจะเริ่มต้นใหม่ด้วย
"ไอ้หมอนี่ใคร?" กันต์ธรถามเสียงกร้าว
"ฉันเคยบอกไปแล้ว คุณพีคือคนที่ฉันกำลังศึกษาด้วยค่ะ" อชิรญาแอบส่งสายตาเป็นเชิงขอโทษไปให้เจ้าของชื่อ ทั้งที่ความจริงไม่อยากดึงใครเข้ามาเกี่ยว แค่ต้องการให้ผู้ชายมักมากคนนี้รู้ว่าเธอไม่ใช่ของตายของใคร
"อ๋อ...ไอ้เนี่ยเองเหรอผัวใหม่เรา สารรูปไม่ผ่านเลยนะอาย" น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้หญิงที่เคยผลักไสจะกระตุ้นต่อมหวงก้างของเขาได้ตลอดเวลา
"เลิกดูถูกคนอื่นซะที ภายนอกเขาอาจจะสู้คุณไม่ได้ แต่ฉันเชื่ออย่างหนึ่งว่าจิตใจเขาไม่มีทางต่ำและสกปรกเหมือนคุณแน่" หญิงสาวโต้กลับไปอย่างเหลืออด ทำไมเขาต้องมาตามราวีชีวิตเธอทั้งๆ ควรจบสิ้นกันไปนานแล้ว
"นี่เรากล้าเอาพี่ไปเปรียบกับมัน!"
"แล้วคุณมีสิทธิ์อะไร ผมจำได้ว่าเคยเห็นคุณผ่านๆ หน้าข่าวบันเทิงว่าจะแต่งงานเร็วๆ นี้ เกิดว่าที่ภรรยารู้เข้าว่ามาทำท่าหวงก้างผู้หญิงอื่นเธอจะรู้สึกยังไง" พีรัทโต้กลับหลังอดรนทนอยู่นาน เขามั่นใจว่าไม่เคยมีความบาดหมางกับอีกฝ่ายมาก่อนแน่นอน
"ไอ้อ่อน...ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่ามาเสือก"
"หยุดนะคุณกันต์ธร อย่ามาพูดจาหยาบคายแบบนี้" คนอะไรนิสัยแย่ไม่เคยเปลี่ยน
"นี่เป็นเรื่องระหว่างพี่กับมัน เราไม่เกี่ยว" กันต์ธรเริ่มมีอาการฉุนจัด ดวงตาคมเข้มวาวโรจน์จนน่ากลัว ทว่าพีรัทก็ไม่คิดหลบตาเช่นกัน
"ก็ลองดูค่ะ ถ้าไม่อายก็หัดเกรงใจคนอื่นบ้าง นี่ไม่ใช่สถานที่ที่คุณจะทำอะไรตามอำเภอใจ"
"หึ...ปกป้องมัน ลืมผัวเก่าคนนี้แล้วหรืออาย"
เพียะ! ฝ่ามือเรียวตวัดลงไปบนใบหน้าคร้ามคมทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ
"อาย...!" กันต์ธรใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มพร้อมกับจ้องไปยังผู้กระทำตาเขม็ง
เขากำลังถูก'เมียเก่า'ฉีกหน้าด้วยการกระทำที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าเลือกมันมากกว่าตนซึ่งเคยพร่ำแต่คำว่ารัก
"เดี๋ยวๆ...เกิดอะไรขึ้น แกถอยก่อนอาย" ศิวาพรรีบก้าวเข้ามายังที่เกิดเหตุตามคำบอกเล่าของลูกน้องสาวและพบว่าชายสองคนกำลังประกาศศึกสงครามกันผ่านสายตา ครั้นตั้งสติได้ก็รีบออกปากไล่
"ออกไปจากร้านฉัน"
"ผมเป็นลูกค้านะคุณ" พีรัทหันไปแย้ง ในเมื่อเขาไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อนทำไมต้องถูกไล่เหมือนหมูเหมือนหมา
"จะเป็นใครหน้าไหนฉันก็ไม่สน ถ้าทำให้เสียลูกค้า ฉันไล่ตะเพิดหมด" หญิงสาวไม่สนคำอุทธรณ์ มีเพียงมือที่ชี้ไปยังประตูกระจกหน้าร้านยืนยันคำพูด
"ปริม จำพี่ได้ใช่ไหม?" กันต์ธรแสดงท่าทางยินดีเพราะมั่นใจว่าอย่างไรเสียตนต้องมีภาษีดีกว่าไอ้ไก่อ่อนนี่
"จำได้ค่ะพี่กานต์" คำตอบดังกล่าวทำเอาคนถามยิ้มกว้างและไม่วายหันไปยักคิ้วกวนๆ ให้ศัตรูหัวใจอย่างเป็นต่อ ทว่ากลับต้องหุบยิ้มแทบไม่ทันกับคำพูดต่อมาของหญิงสาวอีกคน
"คุณด้วยค่ะ ที่นี่ไม่ต้อนรับคนอย่างคุณ"
"ทำไมล่ะอาย เรากลัวอะไร"
"ฉันไม่จำเป็นต้องกลัวคุณค่ะ คุณน่าจะเลิกวุ่นวายกับชีวิตฉันได้แล้ว ต่างคนต่างอยู่ คุณเองก็กำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่คุณรัก" เธอพรั่งพรูความรู้สึกในใจออกไปหวังให้เขาเลิกตอแยกันเสียที
"พี่รัก..." กันต์ธรชะงัก กลัวคำว่ารักของตนจะกลายเป็นคำหลอกลวง เนื่องจากตั้งแต่เจอกันเขาแทบไม่เคยพูดจาดีๆ กับเธอสักครั้งจึงได้แต่ทำเสียงจิ๊ะจ๊ะขัดใจ "ทำไมเราถึงเข้าใจอะไรยากแบบนี้"
"ผู้หญิงเขาไม่อยากยุ่งด้วย ก็เลิกตื้อสิวะ" พีรัทรีบออกตัวปกป้องเมื่อเห็นว่าไอ้คนหวงก้างยังไม่หยุดคุกคามหญิงสาวในดวงใจ
"ไม่ใช่เรื่องของมึง!" คนถูกกีดกันสบถถ้อยคำหยาบคาย
"หยุดเลยๆ เพื่อนคนเดียวฉันปกป้องได้ คุณน่ะรีบกลับไปหาแฟนคุณโน่น ส่วนพี่กานต์ ปริมขอเตือนค่ะว่าอย่ามายุ่งกับเพื่อนปริมอีก พี่ควรหยุดทำร้ายอายได้แล้ว" ประโยคที่ร่ายยาวจากปากหญิงสาวเจ้าของร้านทำเอาสองหนุ่มถึงกับหน้าจ๋อยไปตามๆ กัน
"พี่ไม่มีวันปล่อยเราไปแน่" กันต์ธรจำยอมล่าถอยแต่ก็ไม่ลืมย้ำจุดประสงค์ของตน
ศิวาพรส่งเสียงกระแอมเป็นเชิงเตือนเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มต้นเรื่องอีกคนยังทำนิ่งเฉยราวกับไม่ทุกข์ร้อนใดๆ
"ยังไม่กลับอีก ฉันพูดกับคนนะไม่ได้พูดกับ..." คำพูดถูกหยุดไว้แค่นั้นหวังให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร
"ผมไม่ได้เป็น..."
"โอ๊ย! จะเป็นอะไรก็ไปคิดเอาเองเถอะค่า มานั่งตรงนี้กันดีกว่าอาย" ระเบิดลูกสุดท้ายถูกทิ้งเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจ หญิงสาวจูงมือเพื่อนให้ไปนั่งอีกฝั่ง ปล่อยให้คนถูกเปรียบเปรยทำเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอ
"ฝากไว้ก่อนแล้วกันยัยตัวแสบ"
ศิวาพรถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก โชคดีที่วันนี้และช่วงเวลาแบบนี้มีลูกค้าอยู่บริเวณสวนหย่อมเล็กๆ ด้านนอกร้านเพียงโต๊ะเดียว
"เพื่อนฉันฮอตไม่เบานะ มีผู้ชายตามตื้อตั้งสองคน"
"แกก็พูดเว่อร์ไปแล้วปริม ฉันไม่อยากยุ่งกับใครทั้งนั้นแหละ" อชิรญาถอนหายใจ เหนื่อยกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเผชิญ
"ล้อเล่นน่า ไม่อยากให้แกคิดมากอ่ะ ทำตัวปกติเลย อยากบ้าก็ปล่อยให้บ้ากันไป"
"ฉันไปรับนายก่อนนะ" หญิงสาวตัดบท ตอนนี้เธอแทบไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น
"อ้าว เค้กฝีมือฉันล่ะ" เจ้าของขนมเค้กอุทานเสียงหลงกับเค้กสูตรใหม่ที่กำลังจะถูกทิ้งร้างไร้ซึ่งการเหลียวแล
"ขอโทษนะปริม ฉันกินอะไรไม่ลงจริงๆ"
ไม่ๆ แกรอตรงนี้แป๊บเดียว ฉันจะเอาใส่กล่องไปให้หลานชายฉัน" ศิวาพรรีบจัดแจงเอาขนมเค้กใส่กล่องไปฝากหลานชายคนโปรดแทน
"ขอบใจมากนะปริม แกเป็นเพื่อนที่ดีของฉันจริงๆ" คุณแม่ลูกหนึ่งมองหน้าเพื่อนด้วยความรู้สึกเต็มตื้นในอก คำว่าขอบคุณจะน้อยไป
"ไม่เอาๆ อย่าดราม่าสิ แกรีบไปรับนายได้แล้ว"
อชิรญาเรียกใช้บริการรถแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชันเพื่อเดินทางไปยังรับบุตรชายที่เนอสเซอรี่ ระหว่างทางอชิรญานั่งคิดทบทวนเรื่องราวด้วยความสับสนและไม่เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ชายใจร้ายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของลูก
"เย้ๆ แม่อายมา" เด็กชายนนทวัฒน์แสดงอาการดีใจเมื่อเห็นหน้าผู้ให้กำเนิด
"แม่มารับแล้วครับ ดูนี่...ของใครเอ่ย" หญิงสาวย่อกายลงในระดับเดียวกับความสูงของหนูน้อยพร้อมชูถุงขนมในมือให้ดู
"ของปิม อร้อยที่ซู้ดด"
"กลับไปกินที่บ้านกันนะครับ เด็กดีต้องสวัสดีคุณครูก่อนกลับด้วยครับ" คุณแม่ยังสวยสอนบุตรชายซึ่งหนูน้อยก็ทำตามโดยไม่อิดออด
"คับผมครูแจง" มือป้อมเล็กกระพุ่มไหว้คุณครูพี่เลี้ยงประจำห้อง
"สวัสดีครับผม พรุ่งนี้เจอกันนะครับ"
"คับ" เด็กชายตอบรับเสียงใสพร้อมกับรีบจูงมือมารดากลับบ้านดังเช่นทุกวัน
อชิรญาปล่อยให้บุตรชายเริ่มหัดช่วยเหลือตนเอง แต่เธอก็ยังคอยมองดูอยู่ไม่ห่าง ในขณะกำลังตัดขนมเค้กเข้าปากดวงตากลมเห็นหยดน้ำตาของผู้ให้กำเนิดรินไหลลงมาไม่ขาดสาย ด้วยสัญชาตญาณความรักร่างป้อมเล็กค่อยๆ ลุกเดินไปนั่งตักมารดาท่ามกลางเสียงสะอื้นที่หนักขึ้นกับการกระทำอันไร้เดียงสา
"แม่อาย โอ๋ๆ นะฮับ"
"ครับลูก...แม่ไม่ร้องแล้ว" อชิรญาตอบพร้อมกับดึงร่างเล็กเข้ามากอดไว้
ทุกครั้งยามรู้สึกอ่อนแอยังมีแก้วตาดวงใจคอยเป็นกำลังใจให้เสมอ
"แม่อาย นู่นนน" ใบหน้ากลมเกยอยู่บนไหล่ของมารดาพร้อมกับชี้ชวนให้มองแขกผู้มาเยือนผ่านหน้าต่างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายชะเง้อมองผ่านประตูด้านนอกเข้ามา
"อะไรครับลูก" หญิงสาวเข้าใจว่าเป็นลูกค้า กระทั่งได้มองหน้าชัดๆ ดวงตากลมก็เบิกกว้างราวกับเห็นผี
คนบ้าอะไรหน้าด้านหน้าทน
"นายรอแม่อยู่ในบ้านนะครับ เดี๋ยวแม่จะรีบกลับเข้ามา" อชิรญากำชับบุตรชายก่อนจะรีบสาวเท้าออกไปหน้าบ้าน
"มาทำไมอีก ฉันเคยบอกแล้วว่าไม่ต้อนรับคุณ" ผู้มาเยือนหาได้สะเทือนในคำไล่ มิหนำซ้ำยังผุดรอยยิ้มบริเวณมุมปาก
"พี่ตั้งใจมาซื้อของ เพิ่งรู้นะว่าเราพูดจากับลูกค้าแบบนี้"
"ที่นี่เป็นแค่มินิมาร์ทเล็กๆ คงไม่มีของที่คุณต้องการ" เจ้าบ้านกล่าวเสียงขุ่น
"เราจะพูดดีๆ กันสักครั้งไม่ได้เลยหรืออาย" คราวนี้กันต์ธรเริ่มแสดงท่าทางจริงจังเมื่อเห็นว่าแม่ของลูกยังคงตั้งแง่
"คงไม่จำเป็น สามปีก่อนคุณเคยพูดเคยทำอะไรไว้ฉันไม่ลืม และหวังว่าคุณคงไม่ได้ความจำเสื่อมเหมือนกัน" น้ำเสียงของหญิงสาวเริ่มสั่นเครือ ทำไมเธอต้องอ่อนแอให้ผู้ชายคนนี้เห็นทุกครั้ง นึกแล้วก็อดโมโหตัวเองไม่ได้
"พี่ขอโทษที่เคยดูถูกอาย แต่พี่ไม่ชอบที่เห็นอายทำตัวสนิทสนมกับไอ้หมอนั่น" ชายหนุ่มเริ่มมีท่าทีอ่อนลง
"ฉันไม่ต้องการคำขอโทษ อีกอย่างคุณพีก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้"
"มันไม่เกี่ยวยิ่งดี พี่จะได้ง้อเราง่ายขึ้น" คนมั่นหน้าสรุปเอาเองเสร็จสรรพ ไม่คิดจะถามความเห็นว่าเธอต้องการคืนดีด้วยหรือไม่
"หลงตัวเองไม่เคยเปลี่ยน ฉันเคยพูดตอนไหนว่าจะคืนดีกับคุณ เราไม่ควรเป็นแม้แต่คนรู้จักด้วยซ้ำ" คำพูดดังกล่าวเล่นเอาคนฟังสะอึก แต่ชายหนุ่มก็ไม่แปลกใจสักนิดที่เธอจะเกลียดเขาลึกถึงกระดูกขนาดนี้
"แกล้งแม่อาย ห้ามเข้าๆ" หนูน้อยเดินตามออกมาราวกับไม่ไว้ใจบุคคลที่ทำให้มารดาต้องร้องไห้เมื่อวันก่อน
"ลุงขอโทษนะครับ นายยกโทษให้ลุงได้หรือเปล่า ลุงผิดไปแล้ว" กันต์ธรย่อตัวลงในระดับเดียวกับบุตรชายพร้อมกล่าวคำโทษเสียงเว้าวอน เข้าทางแม่ไม่ได้ก็ขอเข้าทางลูกแล้วกัน
"ถามแม่อายก่อน"
"ถ้างั้นนายถามให้ลุงหน่อยสิครับ แม่ไม่ยอมคุยกับลุง" ผู้เป็นพ่อยังทำเสียงโอดครวญและแสดงท่าทางให้ดูน่าสงสาร อชิรญาแอบมองบนกับสิ่งที่เขาเสแสร้งแกล้งทำ เธออาจจะไม่เข้าใจเหตุผลของการกลับมาตามราวี แต่เธอจะไม่มีวันยอมอีก!
"ม่ายย ลุงตัวหย่ายๆ เป็นหมี" หนูน้อยมองผู้ขอความช่วยเหลือด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก และนั่นทำให้คนเป็นรู้สึกใจชื้นขึ้น
เธอยอมให้ตราบาปติดตัวที่กีดกันพ่อของลูกดีกว่าให้ลูกรับรู้ว่ามีพ่อใจร้ายแบบนี้
"ว้า...นายไม่ชอบหมีเหรอครับ" คุณลุงจอมเจ้าเล่ห์แสดงท่าทางสุดแสนเสียดายเรียกคะแนนจนร่างบางรีบอุ้มบุตรชายขึ้นมาไว้แนบอก
"อย่าได้คิดล่อลวงลูกชายฉัน"
"ทำไมชอบกีดกันลูกกับพี่นัก พี่อยากเล่นกับลูกเราบ้างจะเป็นไร" กันต์ธรเน้นคำว่า'ลูกเรา'ชัดเจนและหรี่ตามองอย่างจับผิด
"คุณไม่ได้สำคัญขนาดนั้น และนายเป็นลูกของฉัน" อชิรญาย้ำกลับไปเสียงแข็ง
"สำคัญแค่ไหนพี่ไม่รู้ แต่นายเป็นลูกพี่ใช่ไหม?"
"อย่ามโนเก่งนักสิคะ คุณจะเป็นพ่อของลูกฉันได้ยังไง" หญิงสาวเผลอโต้ตอบเสียงดังจนลืมไปว่ากำลังอุ้มลูกอยู่
"เราหนีความจริงไม่พ้นหรอกอาย เดี๋ยวพี่จะได้รู้แน่ว่าเด็กคนนี้ลูกใคร" ถึงแม้เขาจะยังง้อเธอไม่สำเร็จในเร็ววัน แต่กันต์ธรยังคงมั่นใจว่าอีกไม่นานต้องได้รู้ความจริงว่าเด็กชายที่อยู่ในอ้อมกอดมารดาคือเลือดเนื้อเชื้อไขของตน
"ต่อให้ฉันหนีความจริงไม่พ้น ฉันก็สามารถทำทุกอย่างให้ถูกต้องได้ คุณไม่สิทธิ์อะไรทั้งนั้น...จำเอาไว้" คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวตะโกนไล่หลังผู้ชายหน้าด้านที่เพิ่งยอมล่าถอยกลับไป
แววตาไร้เดียงสามองผู้ใหญ่ด้วยความไม่เข้าใจ ทว่าพอมองเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของผู้ให้กำเนิด ใบหน้ากลมๆ ก็ได้แต่ซบลงไปบนไหล่มนเป็นเครื่องยืนยันว่าพร้อมที่จะเคียงข้างและเป็นกำลังใจให้ตลอดเวลา
