บทที่ 2: พระรองข้างถนน [2/1]
ออกวิ่งได้ก็วิ่งยาวมาจนถึงอพาร์ตเมนต์ตัวเอง กระโจนไปกดลิฟต์ ทันทีที่ลิฟต์หยุดที่ชั้นสาม ขาเรียวก็รีบพาร่างของหญิงสาวตรงรี่ไปยังห้องของตน มีนากดรหัสผ่านเข้าห้องอย่างรวดเร็ว ประตูเปิดปุ๊บ ก็วิ่งปรู๊ดเข้าไปข้างในปั๊บ ล็อกเรียบร้อยก็ยืนพิงบานประตูพลางหอบหนักๆ
ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะวิ่งหน้าตั้งมาทำไมทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะตามเธอกลับมาเลยแม้แต่น้อย และเธอก็ไม่มีอารมณ์มาครุ่นคิดหาคำตอบแล้วด้วย ในหัวมีแต่ความสับสนเรื่องที่ผู้ชายคนนั้นหลุดออกมาจากนิยายเท่านั้น
บ้าไปแล้ว นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ เลย!
มือบางตีเข้าที่ซีกแก้มตัวเองเป็นพัลวันเพื่อเรียกสติ เอาเถอะ ถึงจะหลุดออกมาจากนิยายอย่างที่เธอร้องขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ตอนที่เธอขอ เธอไม่ได้จริงจังสักหน่อยนี่นา
พระเจ้าประทานมาให้เองโดยที่เธอไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริงๆ ด้วยซ้ำ!
พอจะผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติได้ มีนาก็เดินเข้าไปข้างในห้อง วางข้าวของที่หยิบติดมือออกไปลงบนโต๊ะ ขณะที่หยิบกระเป๋าเงินซึ่งมีเพียงบัตรแต่ไร้เงินสักวอน พลันหัวสมองก็คิดวุ่นขึ้นมาอีกครั้ง
เงินที่เอาให้คังยูไปตีเป็นเงินไทยมูลค่าประมาณสองพันบาท ถ้าเขาซื้อข้าวห่อสาหร่ายที่เรียกว่าคิมบับกินทุกวันก็น่าจะพออยู่ได้สักระยะหนึ่ง
คิมบับอันละประมาณหนึ่งพันห้าร้อยวอน เงินไทยก็ราวๆ ห้าสิบบาท กินวันละสามมื้อ มื้อละอัน ตกหนึ่งร้อยห้าสิบบาท
น่าจะอยู่ได้ประมาณสองอาทิตย์...
หญิงสาวรำพันกับตัวเองในใจ คำนวณให้เสร็จสรรพ ดูแล้วไม่น่าเป็นห่วงสักนิด ทว่ามีนาก็อดคิดไม่ได้
แต่ผู้ชายคนนั้นจะรู้เหรอว่าเงินวอนใช้ยังไง ถึงจะมีเงินกิน แต่ก็ใช่ว่าจะมีที่ซุกหัวนอนสักหน่อย
เป็นห่วงขึ้นมาเสียอย่างนั้น รู้สึกตัวก็สะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป
เขาจะกินอยู่อย่างไรมันก็เรื่องของเขา ไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่เธอจะต้องรับผิดชอบเสียหน่อย
เข้าข้างตัวเองอย่างนี้แล้วก็เริ่มสบายใจขึ้นมาบ้างจึงพอจะไปทำกิจกรรมอย่างอื่นได้ มีนาเลือกอาบน้ำก่อนเป็นอันดับแรก แล้วตรงไปยังห้องครัวขนาดย่อมซึ่งอยู่ด้านนอกห้องนอน ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปประทังชีวิตสำหรับมื้อเย็นเพราะวันนี้เธอไม่คิดที่จะออกจากห้องเป็นหนที่สองอีกแล้ว
ทว่าในระหว่างที่ต้มบะหมี่อยู่ สายตาก็เหลือบไปมองยังนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์
สองทุ่มแล้ว จะเป็นยังไงบ้างนะ
อดคิดถึงขึ้นมาไม่ได้อีกแล้ว ไม่ควรคิดถึงเลยสักนิด ทว่าก็ยังละทิ้งความเป็นห่วงไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ถ้าเขาไม่ใช่ตัวละครที่หลุดออกมาจากนิยายสมัยโชซอนล่ะก็ มีนาคงจะไม่ไยดีแล้ว แต่เพราะเขาเป็นอย่างนั้น มันจึงทำให้เธอคิดไม่ตกเลยว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาหลุดออกมาจากโลกนั้น
ดวงตากลมสวยจับจ้องยังน้ำซุปบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เดือดปุดๆ ในหม้อไฟฟ้า ก่อนจะตัดสินใจหยุดการทำงานทั้งหมด ลุกขึ้นแต่งตัว คว้าเอากระเป๋าเงินและโทรศัพท์ออกไปข้างนอกอีกครั้ง
จุดมุ่งหมายไม่ใช่เพราะไปหาอะไรมากินเป็นมื้อเย็น แต่ไปตามหาผู้ชายคนนั้นต่างหาก
มีนาเดินไปตามเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังละแวกร้านอาหาร สอดส่ายสายตามองหาผู้ชายคนนั้นไปทั่ว เมื่อไม่เห็นจึงได้แวะไปถามป้าเจ้าของร้านอาหารทั่วไปที่คังยูไปสร้างเรื่องมาวันนี้ พอได้รับคำตอบว่าไม่เห็นกลับมา หญิงสาวก็เริ่มไปถามตามร้านรวงอื่นๆ
ถามไปถามมาก็แทบจะถามทุกร้านเลยทีเดียว ซ้ำยังเดินไปไกลจนถึงสี่แยกอีกถนนที่อยู่ทางด้านหลังอพาร์ตเมนต์ของเธออีกด้วย
สงสัยวันนี้คงจะต้องถอดใจแล้ว ได้รับแต่คำปฏิเสธอย่างนั้น คังยูคงจะไปไหนต่อไหนแล้วล่ะ
มีนาตั้งใจว่าจะกลับที่พักด้วยเห็นว่าเริ่มดึกมากขึ้นทุกที ทว่าเสียงเบรกดังเอี๊ยดของรถที่ลอยมาเข้าหูก็ทำให้เธอต้องหันไปมองยังต้นเสียง มันเป็นสัญชาตญาณโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องระมัดระวังภัยเมื่อได้ยินเสียงดัง ทว่าสำหรับมีนามันไม่ได้เป็นเพียงสัญชาตญาณตามธรรมชาติอย่างเดียว ยังมีลางสังหรณ์ประหลาดๆ ที่แผ่วาบเข้ามาในหัวอีกด้วย ได้สติอีกทีก็ต้อนได้ยินเจ้าของรถคันนั้นเปิดประตูลงมาตะโกนด่าหยาบคาย พร้อมกับรถคันอื่นๆ ที่พากันบีบแตรระงม
มีนาไม่รู้หรอกว่าตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น มองไกลๆ ก็เห็นแค่มีผู้ใช้ถนนหลายคนกำลังโวยวายใส่ใครบางคนอยู่
หรือว่า...
เอะใจขึ้นมาฉับพลัน พาตัวเองตรงไปยังจุดหมายอย่างรวดเร็ว แล้วก็แทบจะต้องขยุ้มผมตัวเองอย่างบ้าคลั่งเมื่อเห็นว่าตัวต้นเหตุของความวุ่นวายคือผู้ชายคนเดิม
ประเมินจากสถานการณ์แล้ว การที่ชายหนุ่มไปยืนหัวโด่อยู่กลางถนนน่าจะเป็นเพราะต้องการข้ามถนนอย่างแน่นอน ทว่าพอเห็นรถยนต์แล้วก็เกิดอาการติดสตั๊นท์ ไปต่อไม่ถูกอะไรอย่างนั้น มีนาสังเกตจากสีหน้าตื่นตระหนกของคังยู แม้จะไม่ได้ออกอาการมาก แต่ก็สังเกตเห็นได้ชัดเจนดี
เท่านั้นหญิงสาวก็ก้าวฉับๆ ตรงไปยังท่านรองเจ้ากรมทันทีก่อนที่ใครสักคนจะเอาประแจทุบหัวเขาแบะเพราะเอาแต่ยืนนิ่งไม่รู้สึกรู้สาว่าตัวเองเดินข้ามถนนโดยไม่รอสัญญาณไฟ
“ขอโทษนะคะ เขาเป็นญาติฉันเองค่ะ”
ออกปากไปอย่างนั้น คังยูหันขวับมามองยังผู้มาใหม่อย่างรวดเร็ว พอเห็นว่าเป็นสตรีเจ้าของห้องที่เขาไปโผล่เมื่อเช้าก็ขมวดคิ้วทันควัน
“เจ้าอีกแล้วรึ”
ย่ะ!
มีนาตอบรับในใจ ขณะที่ชายคนหนึ่งซึ่งได้รับความเดือดร้อนจากคังยูจะออกปากต่อว่าเธอเสียงดัง
“อ้อ ญาติเธองั้นเหรอ รู้ไหมว่าญาติเธอสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นน่ะ ไม่เคารพกฎจราจรอย่างนี้ เดี๋ยวก็ได้ตายเป็นผีเฝ้าถนนหรอก!”
“ขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ พอดีเขาสติไม่ค่อยดี” มีนาก้มศีรษะ โค้งตัวนอบน้อมไปหลายต่อหลายครั้งโดยอัตโนมัติ
คังยูมองแล้วก็ขมวดคิ้วหนักมากขึ้นไปอีก
สติไม่ดี...หมายถึงข้าฟั่นเฟือนงั้นหรือ?
“ข้าสมประกอบดี” ออกปากเถียงทันทีที่สำนึกได้
มีนาค้อนขวับอย่างรวดเร็ว พลางส่งเสียงลอดไรฟัน
“เงียบไปเลยคุณน่ะ”
“จะให้ข้าเงียบได้อย่างไรในเมื่อเจ้าพูดเท็จใส่ร้ายข้า”
มีนาแทบจะเอาหัวโขกกับพื้นถนนเสียเดี๋ยวนี้
ก็เพราะจะช่วยน่ะสิยะถึงต้องบอกไปอย่างนั้น!
แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มแห้งๆ แล้วบอกกับคู่สนทนาที่จ้องเธอและเขาเขม็ง
“คนป่วยทางจิตก็แบบนี้แหละค่ะ ไม่ค่อยยอมรับความจริง”
ยิ่งฟังก็ยิ่งขัดใจ สติไม่ดีบ้างล่ะ แสร้งทำเหมือนกับว่าเขาฟั่นเฟือนจริงๆ บ้างล่ะ มันหมิ่นเกียรติกันชัดๆ ที่เขามายืนอยู่ตรงนี้ก็เพราะประหลาดใจกับรถม้าเหล็กมากมายพวกนี้ต่างหาก การที่เขาไม่เคยเห็นรถม้าเหล็กพวกนี้มาก่อน ไม่ได้หมายความว่าเขาด้อยปัญญาเสียหน่อย!
“ข้าไม่...”
คังยูตั้งท่าจะเถียงอีกครั้ง แต่ก็ถูกหญิงสาวแทรกขึ้นมาก่อนแล้ว
“อย่าไปถือสาเลยนะคะ พอดีช่วงนี้ขาดยาเลยจะมีอาการนิดหน่อย”
