บทที่ 1: ท่านรองเจ้ากรม [2/2]
รองเจ้ากรมหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองถูกหักหน้าเล็กน้อย แต่ก็ระงับอารมณ์ไว้ ก้าวขาออกจากสถานที่แห่งนั้นไป ปล่อยให้มีนายืนกอดอกมองตามหลังคนที่เดินไปซ้ายทีขวาที หาทางออกจากอพาร์ตเมนต์แห่งนี้
เธออยู่ชั้นสาม...
อยากจะบอกให้ลงลิฟต์ไปง่ายกว่า หากจะลงบันไดก็ให้เดินไปข้างๆ ทว่าก็ไม่อยากจะเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายท่าทางประหลาดๆ คนนั้นอีกแล้วจึงรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว
หวังว่าเขาคงจะไม่ได้สูงและซับซ้อนมากจนถึงขนาดหาทางลงไปข้างล่างเองไม่ได้นะ
ชายหนุ่มแต่งตัวประหลาดแต่หน้าหล่อประหนึ่งพระเอกซีรีส์เกาหลีจากไปแล้ว แทนที่มีนาจะโล่งใจ แต่ไม่รู้ทำไมเธอไม่สบายใจเอาเสียเลย ไม่ใช่ไม่สบายใจเพราะจู่ๆ ก็มีผู้ชายเข้ามาในห้องพักของตัวเองโดยไม่รู้ที่มาที่ไปและไม่รู้ตัวด้วยนะ แต่ไม่สบายใจด้วยคิดว่าผู้ชายคนนั้นจะไปที่ไหน จะทำอย่างไรต่อไปถ้ารู้ว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่ฮันยางอย่างแต่ก่อน ทว่าเป็นกรุงโซล เมืองหลวงที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องสูงชะลูด
ถ้าหลุดออกมาจากนิยายจริงๆ แล้วเขาจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร มีหวังคงใช้ชีวิตลำบากแน่
ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของเธอเลยสักนิดทว่าก็อดเป็นห่วงไม่ได้ แต่เมื่อสำนึกได้ว่าเธอไม่สมควรจะไปกังวลเรื่องอะไรพรรค์นั้น มีนาถึงได้สลัดความคิดวุ่นวายออกจากหัว แค่เรื่องของตัวเองก็วุ่นวายพออยู่แล้ว แต่การคิดวกวนเรื่องของชายแปลกหน้าก็ดีอยู่อย่างตรงที่ทำให้เธอลืมความเจ็บปวดจากการถูกคนรักเก่าทอดทิ้งไปได้พักหนึ่ง รู้ตัวอีกทีก็ตอนเย็นย่ำ เธอยอมขยับตัวจากเตียงนอนหลังจากเอาแต่นอนแผ่หราก็เมื่อท้องไส้เริ่มส่งเสียงครวญครางเป็นสัญญาณบอกให้หาอะไรมาประทังชีวิต
มีนาดันตัวลุกขึ้นจากเตียงหลังจากนอนเป็นผักมาทั้งวัน ล้างหน้าล้างตา คว้ากระเป๋าเดินออกจากอพาร์ตเมนต์เพื่อไปหาอะไรมายาไส้
เปิดประตูออกมาได้ก็มองสำรวจตรงทางเดินซ้ายทีขวาที ไม่เห็นเงาของผู้ชายคนนั้นภายในอาคารที่พัก มีนาก็โล่งใจที่เขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้โง่เง่าพอที่จะไม่รู้ว่าควรเดินลงบันไดถ้าใช้ลิฟต์ไม่เป็น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกังวลอยู่เล็กน้อยด้วยคิดว่าเมื่อคังยูออกจากที่นี่ไปแล้ว เขาจะทำอย่างไรต่อไป
กระนั้นอีกความคิดก็แทรกเข้ามา ...มันไม่ใช่เรื่องของเธอ ถ้าหากผู้ชายคนนั้นเป็นมิจฉาชีพก็ถือว่าดีแล้วที่ไปจากเธอได้โดยที่เธอไม่ได้รับอันตรายใดๆ มีเพียงอย่างเดียวที่ต้องกังวลก็คือเธอควรจะเตรียมตัวหาที่พักใหม่เพราะถ้าอีกฝ่ายเป็นมิจฉาชีพจริง ครั้งหน้าคงจะต้องย้อนกลับมาทำอันตรายเธอแน่
รู้ช่องทางเข้าออก รู้ที่อยู่เธอหมดแล้ว จะอยู่ให้ผู้ชายคนนั้นกลับมาทำร้ายเธอหรือไง
เขาอาจจะไม่ได้เป็นมิจฉาชีพก็ได้แต่ยังไงต้องปลอดภัยไว้ก่อน มีนาหมายมั่นปั้นมือแล้วว่าคืนนี้จะใช้เวลาไปกับการท่องเว็บไซต์หาที่อยู่ใหม่ ใกล้มหาวิทยาลัยหน่อยก็ดีเพราะอพาร์ตเมนต์ที่เธอพักอยู่ในตอนนี้มันใกล้กับที่พักของอดีตคนรัก
ถือโอกาสย้ายเลยก็แล้วกัน
ขาพาตัวเองเดินไปยังร้านอาหารละแวกที่พักพลางคิดเรื่องย้ายที่อยู่ไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะเริ่มมาคิดเรื่องของกินเมื่อเดินมาถึงย่านค้าขาย วันนี้มีนาตั้งใจว่าจะซื้อไก่ทอดกลับไปกินเป็นมื้อเย็น ส่วนข้าวก็หุงเอา ที่อพาร์ตเมนต์มีเครื่องครัวอยู่แต่ไม่ค่อยได้ใช้
วางแผนไว้ในใจเสร็จสรรพว่าจะทำอะไรบ้าง หากแต่ยังไม่ทันจะได้เข้าร้านไก่ทอด สายตาก็เหลือบไปเห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งมุงดูอะไรบางอย่างอยู่ที่หน้าร้านข้างกันซึ่งเป็นร้านอาหารทั่วไป ยิ่งมีเสียงโวยวายของป้าเจ้าของร้านดังมาให้ได้ยินแว่วๆ ด้วยแล้ว เท่านั้นความสนใจของเธอก็ถูกดึงไปทันที
ความอยากรู้อยากเห็นทำให้หญิงสาวต้องเปลี่ยนใจจากร้านไก่ทอดเดินต่อไปอีกหน่อยเพื่อร่วมมุงดูด้วยว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น ชะโงกหน้ามองเข้าไปในร้านก็เห็นว่าหญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นเจ้าของร้านที่เธอคุ้นหน้าคุ้นตาดีกำลังโวยวายหน้าดำหน้าแดง จับคำพูดของหล่อนได้คร่าวๆ ว่าลูกค้าที่มานั่งรับประทานอาหารที่ร้านของหล่อนตั้งแต่เมื่อกลางวันทำท่าจะชักดาบ ตอนเรียกเก็บเงินก็จ่ายด้วยเหรียญโลหะบูดๆ เบี้ยวๆ พอแย้งก็ถูกอีกฝ่ายเถียงว่าสิ่งที่ส่งให้นั้นคือเงิน ทำให้เป็นเรื่องเป็นราวโต้เถียงกันใหญ่โตจนถึงตอนนี้ด้วยอีกฝ่ายยืนกรานว่าจะจ่ายเงินด้วยเหรียญเงินพวกนั้น
“หน้าตาก็ดี ทำไมถึงทำตัวอย่างนี้ คนสมัยนี้นี่ดูแค่หน้าไม่ได้เลยสินะ กล้าโกงกันซึ่งๆ หน้าอย่างนี้ได้ยังไงกันคุณ น่าไม่อายเอาซะเลย!”
หญิงเจ้าของร้านแผดเสียงลั่น นิ้วชี้ถูกส่งไปชี้หน้าอีกฝ่ายในขณะที่คนถูกปรามาสขมวดคิ้วมุ่น ไม่พอใจกับอากัปกิริยาของคนตรงหน้าเป็นอย่างยิ่ง ไม่พอใจมากกว่าคือการที่เขาถูกตีตราว่าเป็นคนขี้โกง
จะขี้โกงได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่เขาจ่ายให้กับหล่อนนั้นคือเงินตั้งหลายเนียง!
“ข้าให้ท่านป้ามากเสียกว่าค่าอาหารหลายเท่าตัวเยี่ยงนี้ ท่านป้าจะกล่าวหาข้าได้อย่างไรว่าคดโกง”
คนถูกกล่าวหายื่นพวกเหรียญเงินที่วางอยู่บนโต๊ะไปข้างหน้า นับดูแล้วมีตั้งห้าเนียง เงินห้าเนียงนี้สามารถซื้อทาสได้คนหนึ่งเลยทีเดียวนะ เขามีน้ำใจและพอใจที่อาหารรสชาติดีเยี่ยมถึงได้ตบรางวัลให้ขนาดนี้ ไม่สำนึกในความเมตตาแล้วยังจะมากล่าวหาเขาอีก!
หากแต่คนอาวุโสกว่าไม่ได้สนใจคำพูดของชายหนุ่มในชุดประหลาดนี่เลยแม้แต่น้อย การกระทำของลูกค้าคนนี้ทำให้หล่อนต้องหัวเสียมากขึ้นไปอีก
“ถ้าไม่จ่าย ฉันจะเรียกตำรวจมา กินแล้วคิดชักดาบแถมคุยไม่รู้เรื่องอย่างนี้ ไปคุยกันบนโรงพักเลยไป!”
เรื่องเริ่มบานปลายกว่าเดิมแล้ว คนฟังก็ย่นคิ้วหนักขึ้นไปอีก
ตำรวจอีกแล้ว...เขาได้ยินคนพูดอย่างนี้กับเขาถึงสองครั้งแล้วนะวันนี้
มือปราบย่อมไม่จับมือปราบด้วยกันเองถ้าหากไม่ได้กระทำผิดจริง ที่สำคัญ มือปราบย่อมไม่จับรองเจ้ากรมถ้าหากไม่มีคำสั่งจากท่านเจ้ากรมหรือไร้ซึ่งการตรวจสอบความผิด
...คังยูเชื่อว่าอย่างนั้น
ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมายัดเยียดข้อกล่าวหาอย่างอยุติธรรมเป็นอันขาด โดยเฉพาะพวกชาวบ้านตาสีตาสา
“หากท่านป้าเห็นว่าข้าผิดจริง ก็เชิญเรียกมือปราบมาได้” เขาไม่โวยวาย แต่ก็หาใช่ว่าไม่ท้าทาย
ศักดิ์ศรีและตำแหน่งรองเจ้ากรมค้ำคออยู่อย่างนี้ เขาจะไม่ยอมถูกใครตราหน้าว่าเป็นข้าราชการกังฉิน ฉ้อโกงได้แม้แต่เงินเล็กๆ น้อยๆ เด็ดขาด
ฝ่ายถูกท้าก็ร้องเสียงสูงว่า ‘ได้!’ ทำท่าจะแจ้งตำรวจจริงๆ
มีนาเห็นภาพการโต้เถียงนั่นแล้วก็อ้าปากค้างโดยอัตโนมัติ
ท่านรองเจ้ากรมออกจากห้องพักเธอมาก่อเรื่องอยู่ที่นี่น่ะเอง!
ก่อนที่ทุกอย่างจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ หญิงสาวก็รีบแหวกมวลเกาหลีมุงเข้ามาในร้านเป็นที่เรียบร้อย คังยูเห็นคนที่โผล่พรวดพราดเข้ามาก็เชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อย
“เจ้านี่เอง”
ใช่ มีนาเอง อัศวินม้าขาวที่จะมาช่วยเขาให้หลุดพ้นจากภาวะวิกฤตนี้ถึงแม้จะไม่อยากสักเท่าไรก็เถอะ เธอเหลือบมองชายหนุ่มอย่างระอา ไม่มีเหตุผลเหมือนกันว่าเธอจะช่วยเขาทำไม แต่ลางสังหรณ์บอกเธอว่าผู้ชายคนนี้คือคิมคังยูที่หลุดออกมาจากนิยายแน่นอน ไม่ใช่มิจฉาชีพอะไรอย่างที่เธอกังวลแล้วล่ะ
ก็มิจฉาชีพที่ไหนจะโกงด้วยแผนการอย่างนี้กันเล่า ใครจะไปหลงกล ให้บอกว่าเป็นคนเสียสติยังเชื่อได้ง่ายกว่าเลย
“มีธุระอันใดกับข้างั้นรึ”
ยังจะลอยหน้าลอยตาพูดกับเธออยู่ได้ ไม่รู้ตัวบ้างหรือไงว่าจะโดนลากคอเข้าซังเตอยู่แล้วน่ะ!
มีนาไม่สนใจที่จะพูดคุยกับคังยูสักนิด ถลาเข้าไปหาร่างอวบของหญิงวัยกลางคนที่ยกหูโทรศัพท์ขึ้นอย่างรวดเร็ว
“คุณป้าคะ เดี๋ยวหนูจ่ายให้เขาเองค่ะ”
คนถูกทักหันมามอง ลดโทรศัพท์ในมือลงพลางทำหน้าฉงน
“เอ้า ยัยหนูที่อยู่แถวนี้ รู้จักกับไอ้บ้านั่นเหรอ”
ป้าเจ้าของร้านรู้จักมีนาดีด้วยเธอเป็นลูกค้าขาประจำ ส่วนมีนา เมื่อถูกถามอย่างนั้น จะให้บอกว่าเธอรู้จักกับผู้ชายแต่งตัวประหลาดมันก็พูดยาก
จะว่ารู้จักก็ไม่เชิง ไม่รู้จักเลยก็ไม่ใช่ เพราะเธอไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว แต่รู้จักเขาว่าเป็นพระรองในนิยายที่เธออ่าน เธอจึงต้องตอบไปอย่างแบ่งรับแบ่งสู้
“ก็...ประมาณนั้นค่ะ พอดีเขาเป็นญาติห่างๆ ของหนูเอง เขาแบบว่า...ไม่ค่อยเต็มน่ะค่ะ เผลอคลาดสายตาหน่อยเดียว หายไปเลยทั้งวัน” หญิงสาวยิ้มแห้ง ชี้นิ้วไปที่ข้างขมับของตัวเองเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายรู้ว่า ‘อีตานี่มันบ้า ป้าอย่าไปเอาเรื่องเลยค่า’
เจ้าของร้านเข้าใจ หล่อนก็ไม่อยากจะเชื่อนักหรอก
“เพิ่งรู้ว่าหนูมีญาติเป็นคนเกาหลี”
มีนาสำนึกได้ในตอนนี้ว่าตัวเองเป็นคนไทย เท่านั้นก็เลิ่กลั่ก
“คือ...หนูเป็นลูกครึ่ง”
เป็นลูกครึ่งก็ได้แม้ว่าจริงๆ แล้วจะเป็นแค่คนไทยเชื้อสายจีนก็ตาม ในเวลาอย่างนี้มันต้องเนียนไปตามเรื่องแล้ว
เจ้าของร้านหรี่ตาลงอย่างพินิจ ถึงจะไม่ได้ดูเหมือนคนเกาหลี แต่ใบหน้าของหญิงสาวก็มีเค้าของคนเอเชียตะวันออกจึงพยักหน้ารับไป อีกอย่าง หล่อนเห็นหน้าค่าตามีนามาปีกว่าและเธอก็เป็นเด็กน่ารัก ช่างจ้อ ช่างเจรจา ซ้ำยังอัธยาศัยดีจนหล่อนถูกชะตามากเป็นพิเศษ ในเมื่อออกตัวแทนกันขนาดนี้ หล่อนจะยอมเชื่อก็ได้
“คราวหลังก็ดูแลให้ดีหน่อยแล้วกัน ถ้าหนูไม่เข้ามาบอกก่อนนะ ป่านนี้โทรให้ตำรวจมาลากตัวไปแล้ว ให้ตาย คนสมัยนี้นี่ดูแต่หน้าไม่ได้เลย คงจะเครียดกันมากล่ะสินะถึงได้เพี้ยนกันไปหมด”
จากนั้นก็บ่นเรื่อยเปื่อยอีกยาว มีนาได้แต่ยิ้มแห้งๆ รอให้เจ้าของร้านคิดเงินและจ่ายค่าอาหารให้ ปล่อยให้คังยูนั่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นว่าหญิงสาวออกเงินให้ก็คว้าพวงเหรียญเงินของตัวเองจากบนโต๊ะ ลุกพรวดขึ้นมา ก้าวอาดๆ มาคว้าข้อมือขาวที่กำลังยื่นเงินให้เจ้าของร้านทันใด
“เจ้าจะทำอันใด”
มีนาเหลือบดวงตากลมโตไปมอง ว่าหน้าซื่อ “จ่ายเงินให้คุณไง”
ราวกับถูกหมิ่นเกียรติ ใบหน้าคร้ามของท่านรองเจ้ากรมขึงขังไปทันตา
“ข้ามิยินยอมให้สตรีใช้ทรัพย์สินเพื่อข้าหรอก” ว่าพลางวางพวงเหรียญลงบนเคาน์เตอร์ “รับเงินของข้าไปเถิดท่านป้า อย่าได้รับเงินของแม่นางผู้นี้”
เจ้าของร้านถึงกับมองตาถลึงที่คังยูยังไม่หยุดยัดเยียดเหรียญเงินพวกนั้นให้ หากไม่เกรงใจมีนาที่ยืนอยู่ตรงนี้และไม่คิดว่าผู้ชายรุ่นลูกตรงหน้าไม่ค่อยเต็มแล้วล่ะก็ หล่อนคงจะเอาทัพพีมาฟาดพ่อหนุ่มคนนี้ให้หมดหล่อไปแล้ว
มีนารู้สถานการณ์ดี ก่อนจะยิ้มแหยให้เจ้าของร้าน แล้วหันไปดุคนที่จับข้อมือเธออยู่เสียงเบา
“คุณอยู่เงียบๆ ไปเลย ไม่ต้องพูดอะไร อย่าสร้างปัญหา”
เรียวคิ้วยาวของคังยูขมวดมุ่น
แค่จะรับผิดชอบค่าอาหารของตัวเองโดยไม่ต้องการให้สตรีนางใดมารับหน้า มันเป็นการสร้างเรื่องสร้างปัญหาอย่างไรกัน
“ข้ากิน ข้าจ่ายเองได้” คังยูโพล่งออกมาอีกที เรียกสายตาเขียวๆ ของมีนาค้อนขวับทันควัน
“ถ้าจ่ายเองได้ ป่านนี้เรื่องจบไปนานแล้ว”
ริมฝีปากสีสวยพึมพำ แทงใจดำคังยูอย่างจัง
จริงอย่างที่เจ้าหล่อนว่า และเขาก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมเงินจำนวนมากถึงขนาดซื้อทาสได้คนหนึ่งถึงไม่เพียงพอกับค่าอาหาร ของที่เขาเอาใส่ท้องไปเมื่อครู่ก็แค่ข้าวยำบิบิมบับกับเหล้าโซจูเพียงขวดเดียวเท่านั้น
หรือร้านอาหารแห่งนี้เป็นโรงเตี๊ยมชั้นสูง?
คิดพลางสังเกตบรรยากาศรอบร้านอีกที
การตกแต่งประหลาดตา...คงจะเป็นโรงเตี๊ยมชั้นสูงจริง
อยากจะถามแต่ไม่ทันได้เอ่ยปากก็เห็นคนตัวเล็กกว่ายื่นกระดาษยับยู่ยี่จำนวนหนึ่งให้กับเจ้าของร้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คังยูทำหน้าสงสัย เขาไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน
มีนาจ่ายเงินเสร็จก็ไม่รีรอ คว้าแขนล่ำของอีกฝ่ายพุ่งออกจากร้านทันทีด้วยไม่ต้องการตกเป็นเป้าสายตาอีกต่อไป ลับสายตาคนได้ถึงยอมปล่อยมือ
รองเจ้ากรมหนุ่มปัดเนื้อตัวสองสามครั้งเพื่อจัดเครื่องแต่งกายให้เข้าที่ มือหนาจับหมวกปีกกว้างเล็กน้อย สายตาจับจ้องยังหญิงสาวที่หายใจหอบน้อยๆ จากการเดินเร็ว รอกระทั่งเธอหายใจกลับมาเป็นปกติถึงได้เอ่ยปาก
“สิ่งที่เจ้าให้นางคืออันใดรึ”
มีนาชะงักทันควัน “หมายถึงอะไรคะ”
“กระดาษนั่น...ที่เจ้าใช้มันแทนเงิน”
มีนาร้องอ๋อ ลืมไปว่าคนตรงหน้าไม่รู้จักเงินวอน ก่อนจะล้วงกระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างและดึงธนบัตรออกมาให้เขาดู
“มันเรียกว่าเงินวอน เป็นสกุลเงินใหม่ของเกาหลีใต้ เงินที่คุณใช้น่ะ สมัยนี้เขาไม่ใช้กันแล้ว”
“เกาหลีใต้?”
คังยูไม่ได้ฟังสิ่งที่มีนาอธิบายเลย สะดุดหูกับคำศัพท์ใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมากกว่า
มีนาฉุกคิดได้ว่าประเทศที่คังยูถือกำเนิดไม่ได้เรียกว่าเกาหลีหรือแบ่งเป็นเกาหลีเหนือ - เกาหลีใต้อย่างเช่นปัจจุบันแต่เรียกว่าโชซอน
“ก็โชซอนนั่นแหละค่ะ แค่เปลี่ยนชื่อ” ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรถึงได้พูดไปอย่างนั้น
กลายเป็นคิดผิดเสียอีกที่ตอบแบบกำปั้นทุบดิน คังยูสงสัยหนักยิ่งกว่าเดิม
มันจะเรียกว่าเกาหลีใต้อย่างที่สตรีนางนี้ว่าได้อย่างไร หรือจะเป็นชื่อเมืองใหม่ที่ไม่เคยได้ยินกัน น่าแปลก หากเป็นเมืองใหม่ ไยจึงไม่ได้รับรายงาน
“หรือเจ้าจะหมายถึงเมืองแห่งใหม่?” ออกปากถามไปจนได้ ไม่แน่ว่ากษัตริย์ของเขาอาจมีพระราชโองการแต่งตั้งเมืองใหม่ขึ้นมาโดยที่เขายังไม่รับรู้ก็เป็นได้
ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สักนิดที่ข้าราชการซึ่งทำงานใกล้ชิดราชวงศ์อย่างเขาจะไม่รู้เรื่อง แต่ก็ต้องถาม
มีนาพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ดึงธนบัตรกลับมาจากมือใหญ่พลางตอบ
“ไม่ใช่ ประเทศต่างหาก ประเทศเกาหลีใต้ มีเมืองหลวงชื่อโซล”
“แสดงว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่โชซอน?”
“ก็ใช่ แต่ว่า...”
ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีว่าตอนนี้มันเปลี่ยนชื่อแล้ว ได้แต่อึกอักจนคังยูเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาแทน
“หากที่นี่เป็นโชซอน เมืองหลวงต้องชื่อว่าฮันยาง”
“มันก็ใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว”
“อย่างไรรึ”
“ก็...”
คนถามนิ่งรอฟังคำตอบ นึกในใจว่าสตรีตรงหน้าช่างต่อล้อต่อเถียงเก่งนัก ขณะที่มีนาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร อีกฝ่ายก็ถูก แต่มันผิดยุคสมัย สุดท้ายเธอก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งจนได้
ดูท่าเธอคงจะต้องอธิบายเรื่องนี้อีกยาว และการยืนคุยกลางถนนกับผู้ชายที่แต่งตัวเหมือนหลุดออกมาจากหลายร้อยปีก่อนก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไรนัก
ที่สำคัญ มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอที่จะต้องมาอธิบายเรื่องนี้ให้คนบ้าแต่งชุดโบราณนี่ฟังเลยนะ!
ตัดบท! ต้องตัดบทด่วนๆ เลย ไม่คุยแล้ว!
“จะเกาหลีใต้หรือโชซอน โซลหรือฮันยางอะไรก็ช่างมันเถอะค่ะ เอาเป็นว่าคุณเอาเงินนี่เก็บไว้แล้วกัน จะได้มีเงินกินข้าว เงินเหรียญพวกนั้นของคุณใช้กับที่นี่ไม่ได้แล้ว”
หญิงสาวพูดเร็วๆ เอาธนบัตรในกระเป๋าที่มีทั้งหมดยัดใส่มือชายตรงหน้า ก่อนจะหันหลังให้แล้วสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว
ก้าวห่างได้ไม่นานก็เปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งหน้าตั้งกลับอพาร์ตเมนต์เสียอย่างนั้น ปล่อยให้ท่านรองเจ้ากรมมองตามแผ่นหลังเล็กที่วิ่งหายไปยังมุมถนนข้างหน้าจนลับสายตา ก่อนที่เขาจะเหลือบมองมายังเศษกระดาษพวกนั้นในมือ
มองนิ่งๆ อยู่ครู่ก็ขยำแล้วโยนทิ้งข้างทาง หันหลังแล้วก้าวเดินไปอีกทางโดยไม่สนใจที่จะหันมามองธนบัตรที่ตนโยนทิ้งไปเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย
ใช้กระดาษแทนเงินเช่นนั้นเหรอ ล้อเล่นอันใดกัน สามหาวนักเจ้าไพร่พวกนี้...
