บท
ตั้งค่า

บทที่ 1: ท่านรองเจ้ากรม [2/1]

ไม่น่าเป็นไปได้!

มีนาคิดอย่างนั้น มันจะเป็นไปได้อย่างไรล่ะที่จู่ๆ พระรองในหนังสือนิยายจะโผล่ออกมาให้เห็นตัวเป็นๆ อย่างนี้น่ะ ถ้าเธอยังไม่สร่างเมาก็คงฝันอยู่อย่างแน่นอน!

ยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองสองสามทีไม่แรงนักแต่ก็ยังไม่ตื่นเลยตบเต็มแรงไปทีหนึ่ง ยังไม่ตื่นอยู่ดี แถมเจ็บจนต้องสูดปากซี้ดอีกด้วย

การกระทำของเธอเรียกสายตาของแขกไม่ได้รับเชิญให้หันมามอง ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะได้สติกลับมาครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว เขาดูไม่ตกใจอย่างตอนแรกที่ลืมตาขึ้นมา โน้มตัวลงไปหยิบเอาเครื่องแต่งกายมาสวมเต็มยศ ก่อนจะเริ่มออกเดินสำรวจไปรอบห้องอย่างไม่เกรงใจ มีนาจึงใช้โอกาสนี้ปราดมองอีกฝ่ายอย่างพินิจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกระลอก

ชุดสีเลือดหมูที่ชายหนุ่มสวมใส่คาดแถบผ้าสีดำเป็นเครื่องแบบของข้าราชการระดับสูงของศาลตัดสินคดีความในสมัยโชซอน บนศีรษะมัดรวบผมเป็นมวยและหุ้มด้วยผ้าบางสีดำ มีตราข้าราชการสีทองประทับ หมวกสีดำมีพู่สีแดงห้อยและขนหางนกยูงประดับตกแต่งที่เขาเพิ่งหยิบขึ้นจากพื้นเมื่อครู่นี้ก็บ่งบอกให้รู้ถึงตำแหน่งยศศักดิ์เช่นกัน ยิ่งมีสร้อยประคำสีแดงสลับฟ้าห้อยระย้าจากหมวกและตราหลวง มีนาก็ยิ่งมั่นใจว่ามันคือชุดของพวกมือปราบอย่างที่เคยเห็นในซีรีส์พีเรียดเกาหลีแน่นอน

เดี๋ยว...ที่ห้อยๆ นั่นไม่ใช่สร้อยประคำ มันแค่เป็นลูกปัดตกแต่งหมวกเฉยๆ

แต่จะอะไรก็ช่าง สิ่งที่สำคัญกว่าคือรูปหน้าของผู้ชายคนนั้น

โครงหน้าได้รูปมีแนวสันกรามรับ ดวงตาเรียวยาวคล้ายดวงตาเหยี่ยว จมูกโด่งเป็นสัน ปากกระจับหนาและแดงเรื่อ ผิวหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลาชวนให้มองอยู่ไม่น้อย ที่สำคัญ...มันตรงตามที่ในหนังสือนิยายบรรยายถึงท่านรองเจ้ากรมคิมคังยูเป๊ะเลย!

มีนาเบิกตาโต ทะลึ่งพรวดไปยังชั้นหนังสือ ไล่ปลายนิ้วไปตามสันหนังสือก่อนจะหยิบเอานิยายเรื่องนั้นเล่มหนึ่งออกมาเปิดหาฉากที่นักเขียนบรรยายถึงผู้ชายคนนี้ ไล่ปลายนิ้วไปตามตัวหนังสือไม่นานก็เจอฉากนั้น ก่อนจะอ่านไป อ้าปากค้างไป

ตรงเป๊ะอย่างกับฝัน!

เอาจริงๆ เธอก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความฝันหรือความจริง รู้เพียงอย่างเดียว...

...หล่อมากค่ะแม่ขา

มันใช่เวลาจะมาคิดอะไรอย่างนี้ไหมล่ะ!

มีนายกมือยีผมตัวเองเพื่อเรียกสติ ก่อนจะหันกลับไปยังชายคนนั้นอีกครั้ง

“แน่ใจเหรอว่าคุณคือคิมคังยูคนนั้น”

คนที่กำลังถือวิสาสะหยิบจับข้าวของบนโต๊ะข้างเตียงชะงัก เหลือบหางตามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้านิ่งเรียบ

“หากเจ้ารู้จักข้า แล้วไยถึงไม่มั่นใจเล่าว่าคนผู้นั้นคือข้า”

มีนาก็อยากจะมั่นใจอยู่หรอก แต่จะให้เธอเชื่อได้อย่างไรล่ะว่าพระรองในนิยายจะหลุดออกมาจากโลกแห่งความจริงอย่างนี้น่ะ

ถ้าไม่ได้ฝันหรือยังไม่สร่างเมา ผู้ชายคนนี้ต้องเป็นมิจฉาชีพหรือคนสติไม่ดีแหง

ข้อสันนิษฐานนี้มีความเป็นไปได้มากกว่าหลุดออกมาจากหนังสือนิยายเสียอีก

คิดอย่างนั้น มีนาก็หันกลับไปคว้าขวดโซจูเปล่ามาเป็นอาวุธอีกที ตอนนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ไปมา เดี๋ยวประหลาดใจ เดี๋ยวตกใจ เดี๋ยวหวาดกลัวจนเริ่มคิดว่าตัวเองคงจะเป็นไบโพลาร์อย่างแน่นอน

แต่ถึงอย่างนั้นการเอาตัวรอดย่อมเป็นสิ่งที่พึงกระทำ มือเรียวที่จับปากขวดยื่นออกไปข้างหน้า ยืนจังก้าพร้อมฟาดเต็มที่ พลางถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทาเล็กน้อย

“ตะ...ตกลงแล้วคุณเป็นใครกันแน่ ต้องการอะไรไม่ทราบ!?”

คนถูกชี้หน้าย่นคิ้วมากกว่าเดิมเสียอีก

เมื่อครู่ก็เอ่ยชื่อของเขาไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมตอนนี้ยังมาถามซ้ำอีกว่าเขาเป็นใคร

“รองเจ้ากรมคิมคังยูแห่งเมืองฮันยาง” กระนั้นก็ตอบไป ซ้ำถามตบท้าย “เจ้าเองก็รู้จักข้ามิใช่รึ รู้จักข้าเช่นนี้แสดงว่าเจ้าก็เป็นคนฮันยางเช่นกัน”

รู้จักแค่คิมคังยูในนิยายเท่านั้น แต่ที่ยืนหัวโด่นี่ไม่รู้จัก!

จะอะไรก็เอาเถอะ มีนาไม่สนใจที่จะซักไซ้ถามอีกต่อไปแล้ว จะเป็นใครก็ช่าง แต่เขาไม่สมควรมาอยู่ในห้องเธออย่างนี้ ก่อนแผดเสียงขึ้น

“ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะเรียกตำรวจมาจับจริงๆ ด้วย!”

“ตำรวจ?” คนถูกขู่ทำหน้าฉงนหนัก ไม่เคยได้ยินศัพท์คำนี้มาก่อนเลยในตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ ทำให้หญิงสาวต้องพูดขึ้นมาอีก

“เจ้าหน้าที่ตำรวจไง ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์น่ะ!”

ไม่รู้จะอธิบายไปทำไมแต่ก็พูดไปแล้ว

ชายหนุ่มผู้มีนามว่าคังยูนิ่วหน้าไปเล็กน้อย

หากตำรวจมีความหมายเช่นนั้น เขาเองก็เป็นตำรวจเช่นกัน มือปราบคือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เช่นกัน ซ้ำตำแหน่งสูงพอที่จะควบคุมมือปราบทั้งกรมในเมืองฮันยางอีก แล้วจะให้พวกเดียวกันมาจับกุมตัวเขาหรืออย่างไร

ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องน่าขันทีเดียว ทว่าไม่ได้ตอบโต้อะไรด้วยไม่เห็นประโยชน์ที่จะต้องยอกย้อนกับอีกฝ่าย ในขณะที่คนยืนจังก้าพร้อมออกรบแหวเสียงลั่นขึ้นมาอีกครั้ง

“ออกไปได้แล้ว ไล่แล้วยังไม่ไปอีก ออกไป!”

ในเมื่อเจ้าบ้านไม่ต้อนรับ เขาก็ไม่อยากอยู่ ถึงต้อนรับก็ไม่อยากอยู่เช่นกัน

บ้านพักหน้าตาประหลาด...

คังยูอดคิดอย่างนั้นไม่ได้ แม่นางตรงหน้าก็ดูท่าจะเป็นคนสติไม่สมประกอบเสียด้วย ทั้งการแต่งตัว ทั้งกิริยาไร้ซึ่งความสำรวมอย่างที่แม่หญิงในสังคมพึงกระทำ

ไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดจะดีกว่า

“ขออภัยถ้าหากข้ารบกวนเจ้า สิ่งนี้คือค่าเสียเวลา” พูดพลางดึงถุงผ้าเล็กๆ ออกมาจากข้างเอว ก่อนจะวางเหรียญเงินโบราณลงบนโต๊ะ “หนึ่งเนียง[ เนียง เป็นสกุลเงินชนิดหนึ่งของเกาหลีในสมัยโชซอน นอกจากนี้ยังมีสกุลเงินจอนและมุน หนึ่งเนียงมีค่าเท่ากับสิบจอน หนึ่งจอนเท่ากับสิบมุน สกุลเงินที่ใหญ่กว่าเนียงคือกวาน หนึ่งกวานมีค่าเท่ากับสิบเนียง]คงมากพอที่จะเลี้ยงปากท้องเจ้าไปอีกหลายวัน”

มีนามองตามแล้วก็ขมวดคิ้วจนชนกันเป็นเส้นเดียว

คิดเหรอว่าเหรียญเงินบูดๆ เบี้ยวๆ นั่นจะเอาไปทำอะไรในยุคสมัยนี้ได้ บอกแล้วไงว่าไม่ใช่สมัยโชซอน นี่มันเกาหลีใต้ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด!

คิดดูดีๆ แล้วเหมือนเธอจะยังไม่ได้บอก เพิ่งจะระลึกได้เมื่อครู่ หากแต่ไม่ทันได้มีโอกาสพูด ชายหนุ่มก็เดินอาดๆ เข้ามาหาเธอแล้ว

มีนาถอยกรูดจนแผ่นหลังแนบติดไปกับกำแพงห้อง แขนข้างหนึ่งยกขึ้นกอดร่างกายตนเพื่ออำพรางทรวงอกปราศจากเสื้อชั้นใน มืออีกข้างถือขวดเปล่ามั่น ตั้งท่าระมัดระวังสุดฤทธิ์

คังยูเหลือบตามองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง คิดว่าตนคงจะทำให้หญิงสาวกลัว ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากชาวบ้านทั่วไปในโชซอนจะเกรงกลัวต่อผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างเขา ชายหนุ่มจึงโค้งศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงขอโทษและขอบคุณในคราวเดียว พลันตรงไปยังประตูห้อง

เมื่อมาหยุดยืนหน้าประตู มือหนาก็ยื่นออกไปจับที่เปิดประตูและเลื่อนไปด้านข้าง

ไม่ออก...

ชายหนุ่มชะงัก ออกแรงเลื่อนอีกครั้ง

ไม่ออกเช่นเดิม...

ประตูนี่ช่างหนักนัก

ปกติแล้วประตูไม้บานเท่านี้ออกแรงเลื่อนเพียงเล็กน้อยก็เปิดออกอย่างง่ายดาย แสดงว่ามันคงจะเก่าผุพังไปมากพอดู

คิดแล้วคังยูก็ปล่อยมือออกจากที่จับ ใช้ปลายนิ้วแตะไปตามร่องประตูเพื่อสำรวจดูว่าติดขัดอะไรหรือเปล่า ก่อนจะใช้ปลายนิ้วของมือทั้งสองข้างค่อยๆ แทรกเข้าไปในร่องนั้นและออกแรงเลื่อนเต็มแรง

ไม่ออกอยู่ดี...

เจ้าประตูนี่ช่างดื้อด้าน!

อยากจะหาอะไรมางัดให้รู้แล้วรู้รอด แต่หาใช่บ้านตัวเองก็ทำไม่ได้ ถึงจะเป็นรองเจ้ากรมที่มีอำนาจในการใช้กฎหมาย ทว่าการพังบ้านประชาชนหาใช่เรื่องที่เขาควรทำแต่อย่างใด เขาไม่ได้เป็นเหมือนพวกขุนนางกังฉิน เรื่องเลวทรามอย่างนั้นจะไม่มีวันทำเป็นอันขาด

แต่...อยากจะออกไป

ยิ่งอยู่ในนี้นานก็ยิ่งอึดอัด จึงต้องพยายามเลื่อนประตูออกอย่างสุดความสามารถ ปล่อยให้มีนาซึ่งยืนหวาดหวั่นอยู่เมื่อครู่มองอย่างสงสัย ก่อนกลายเป็นระอาใจแทนเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มรูปงามคนนั้นทำท่าจะใช้เท้าเข้าช่วยเปิดประตูแล้ว

“คุณคะ เดี๋ยวฉันเปิดให้” ในที่สุดก็ต้องออกปาก

คังยูละมือที่ปลุกปล้ำกับประตูออก ชำเลืองมองสาวเจ้าเล็กน้อย

“ประตูบานนี้ช่างมีน้ำหนักมากนัก ร่างเล็กบางเช่นเจ้าคงจะเปิดไม่ไหว”

คล้ายกับกำลังจะบอกว่าขนาดเขาเป็นผู้ชาย เขายังเปิดไม่ได้เลย

มีนาชูสองนิ้วขึ้นแล้วหันปลายนิ้วชี้เข้าที่ดวงตาตัวเองเป็นเชิงบอกว่า ‘จงดู’

คังยูไม่ชอบท่าทางอวดดีอย่างนี้จากหญิงสาวตัวเล็กสักเท่าไรนัก ทว่าก็ยอมถอยห่างให้ ก่อนที่มีนาจะยื่นมือไปจับกดปุ่มบางอย่างที่ข้างประตูแล้วเอื้อมมือไปจับด้ามประตูเพื่อดึงมันออก

เท่านั้นประตูก็เปิดอ้า คังยูมองประตูกับหญิงสาวอย่างไม่เชื่อสายตา ขณะที่เจ้าหล่อนยกยิ้มหวานแล้วผายมือ

“เชิญเจ้าค่ะ”

น่าขายหน้าเหลือเกิน!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel