บทที่ 2 - พบหน้าแต่ไร้ซึ่งใจ
บทที่ 2
พบหน้าแต่ไร้ซึ่งใจ
รองประมุขหุบเขาเหมันต์... เหตุใดถึงได้พบคนที่อยากจะเจอตัวได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น ไม่แม้แต่ต้องใช้ความพยายาม เพียงแค่บังเอิญเท่านั้น
พบเจอแล้วก้าวต่อไปล่ะ...
การจะเข้าใกล้ใครคนหนึ่ง นั่นหมายความว่าต้องเป็นที่สนใจ ในขณะที่ทุกคนต่างหลีกทางให้หยินหลันผู้นั้น เฟยหมิงกลับทำในสิ่งตรงกันข้าม
เมื่อหยินหลันเดินลงมาจากชั้นบน ทางที่เขาต้องเดินคือผ่านหน้าเฟยหมิงออกไปทางประตู ซึ่งหนุ่มน้อยข้างกายพยายามเตือนนางให้อยู่เฉย ๆ แต่พอชายหนุ่มเดินผ่านมา นางกลับถลาตัวล้มลงไปตรงหน้าเขา
“แม่นาง” หนุ่มน้อยวัยสิบหกปีร้องลั่นออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบไปพยุงตัวเฟยหมิงขึ้นมา
เฟยหมิงแสร้งทำเป็นเซจะล้มอีกรอบ แต่คราวนี้ได้มือหนาของหยินหลันมาพยุงเอาไว้ เพียงแค่สัมผัสแรก นางพันรับรู้ได้ถึงความรู้สึกประหลาดที่แล่นพล่านไปทั่วทั้งร่าง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะมือของชายหนุ่มนั้นหนาวเย็น หรือเพราะพลังบางอย่างที่ตรงเข้ามาเล่นงาน
“ข้าขออภัย...”
เฟยหมิงเอ่ยออกมาได้ไม่ทันจบประโยค ใบหน้าบางก็ถูกมือหนาที่พยุงแขนเอาไว้ยกขึ้นมาบีบที่ลำคอขาวแน่นจนแทบหายใจไม่ออก มือของเขานั้นราวกับคีมเหล็ก ใบหน้าของชายหนุ่มยามนี้แปรเปลี่ยนไปจากฤดูเหมันต์กลายเป็นคิมหันต์ในพริบตา
“เจ้าเป็นใคร”
เสียงของหยินหลันนั้นเหี้ยมเกรียมดุดันเหมือนกับดวงตาสีดำที่จ้องเขม็งมาที่ใบหน้าของเฟยหมิง สตรีที่มีโฉมหน้าเฉกเช่นเดียวกันกับจินหมิงทุกระเบียบนิ้ว ในช่วงหลังมานี้นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่ศพของจินหมิงหายไป หยินหลันได้พบเจอกับพวกที่ปลอมตัวมาเป็นสตรีที่เขารักมากมายหลายคน แต่ไม่มีใครเลยที่ดูเหมือนจริงเฉกเช่นนาง
“อึก...”
หญิงสาวพยายามจะตอบแต่แรงบีบแน่นที่คอขัดขวางเอาไว้ แม้แต่จะหายใจยังยากลำบาก ในขณะที่รู้สึกมืดบอด มือของนางก็เริ่มขยับไปเองตามสัญชาตญาณ พุ่งตรงเข้าไปฟาดที่ท้ายทอยชายหนุ่มเบื้องหน้าเข้าอย่างจัง จนเขาปล่อยมือออกแล้วเซถอยหลังออกไป
เฟยหมิงในยามนี้คล้ายหมาจนตรอก ในพริบตาเดียวคนในชุดสีขาวและสีดำพร้อมทั้งอาวุธครบมือก็ปรากฏกายออกมาล้อมรอบตัวไร้ซึ่งช่องทางหนี เมื่อนางลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง ทันใดนั้นก็มีกริชจากมือนักฆ่าเหมันต์คนหนึ่งแทงเข้าที่ท้องโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
เล่นทีเผลอ... สมกับที่เป็นนักฆ่า
เมื่ออีกฝั่งเริ่มลงมือก่อน เฟยหมิงก็เหมือนปลดล็อกบางอย่างในตัวเอง แม้นางจะบาดเจ็บแต่ก็จับคนที่แทงตนเองข้ามผ่านตัวแล้วใช้ฝ่ามือฟันคออีกฝ่ายจนสลบ และเมื่อมีใครที่ถลาเข้ามาจะร่วมวง หญิงสาวก็ตอบโต้ไปด้วยกระบวนท่าที่แปลกตา แตกต่างจากวรยุทธ์ทั่วไป แตกต่างจากคนมีชื่อเสียงมากมาย แม้แต่หยินหลันที่เคยพบคนประหลาดอย่างหยินหลินหรืออดีตจินหมิงก็ยังไม่เคยพานพบการต่อสู้เช่นนี้มาก่อน
หนึ่งคนสู้กับคนเป็นสิบได้อย่างรวดเร็ว นางชิงลงมือกับทุกคนที่ขยับเข้ามาจนไม่มีใครตั้งตัวโต้กลับได้ทัน และทุกที่ที่หญิงสาวโจมตีไปล้วนแล้วแต่เป็นจุดอ่อนอย่าง ดวงตา ลำคอ ซี่โครงและหว่างขา นางยั้งมือไม่เริ่มเป็นฝ่ายฆ่าใครก่อน ทำเพียงแค่โจมตีหยุดสะกัดเอาไว้ ในการต่อสู้ครั้งนี้นับว่าเฟยหมิงนั้นได้เปรียบ ด้วยเพราะฝ่ายนั้นมีจำนวนคนที่เยอะกว่า แล้วพุ่งเข้ามาพร้อมกันเช่นนั้น จึงไม่แคล้วที่จะโดนพวกกันเอง
หยินหลันเห็นเช่นนั้นก็หยิบขลุ่ยหยกสีขาวของตนเองขึ้นมา และเมื่อคนในโรงเตี๊ยมเห็นเช่นนั้นต่างก็พากันหน้าซีด คนมากมายพากันวิ่งหนีชนกันออกไปทางหน้าประตู ทว่าเฟยหมิงกลับเลือกที่จะเผชิญหน้าแล้วรอดูว่าเขาจะเล่นงานนางไม้ไหน
ทันทีที่หยินหลันเริ่มบรรเลงบทเพลง ท่วงทำนองดนตรีที่เศร้าจับใจก็เริ่มขับกล่อมดังออกมา ทุกอย่างก็พลันหยุดเคลื่อนไหว ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่อาจขยับได้ แต่เป็นเพราะความรู้สึกไม่ต้องการ เมื่อท่วงทำนองได้เข้าไปควบคุมจิตใจและความรู้สึกหยุดทุก ๆ การกระทำมิให้เคลื่อนไหว แล้วดึงเอาความทรงจำที่โศกเศร้าที่สุดออกมา
เฟยหมิงยืนอยู่ตรงนั้น กลางโรงเตี๊ยมที่มีร่างของนักฆ่าเหมันต์นอนสลบอยู่ที่ฝ่าเท้า นางยื่นนิ่งอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งรับรู้สึกถึงหยาดน้ำตาที่ไหลออกมา
นางรู้สึกเศร้า แต่เพราะอะไร?
หญิงสาวสับสนและโมโหตนเองที่ไม่อาจรักษาความทรงจำเอาไว้ได้ แต่หากเรื่องนี้จะโทษใครสักคนคงต้องเป็นเขา... หยินหลัน ว่าที่ประมุขหุบเขาเหมันต์ พวกคนที่ทำให้นางสูญเสียตัวตนของตัวเอง
ไม่รู้เพราะเหตุใด ไม่รู้ว่าเพราะความโกรธหรือความรู้สึกอย่างอื่น แต่เมื่อเฟยหมิงมองไปที่ใบหน้าซีดขาวเจ้าของเรือนผมสีขาวโพลน น้ำตาก็ยิ่งไหลออกมาไม่อาจหยุดได้ อีกทั้งหัวใจดวงน้อยก็พลันเจ็บแปลบขึ้นมามากเกินกว่าจะทนไหว จนในที่สุดร่างบางก็ทรุดลงไปกับพื้นและสลบไปในที่สุด โดยเสียงสุดท้ายที่นางได้ยินคือเสียงของหยินหลัน
“นำตัวนางกลับหุบเขาไป”
“ข่าวใหญ่ของเช้าวันนี้ ในที่สุดหัวหน้ามาเฟียหวงเว่ยชิงก็ถูกตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิต ทรัพย์สินทั้งหมดทางการจะเข้ายึดในทันที...”
เพล้ง! เสียงแก้วน้ำตกพื้นแตกกระจายดังขึ้นจากห้องนั่งเล่น ทำเอาหญิงสาวที่มัดผมยาวสีดำต้องรีบวิ่งถลาเข้าไปดูด้วยสีหน้าแตกตื่น
“เกิดอะไรขึ้น คุณหนู”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะเหรอ” หญิงสาวในชุดเดรสหันกลับมาด้วยสีหน้าช็อกสุดขีด มือบางที่ไว้เล็บยาวสีแดงสดชี้ไปทางทีวีที่มีใบหน้าของชายหนุ่มชื่อหวงเว่ยชิงโชว์หราอยู่บนจอ “พ่อฉันถูกจับ แล้วฉันก็กำลังจะกลายเป็นคนไร้บ้านยังไงล่ะ”
เหมยเหมยหรือก็คือหญิงสาวในชุดสูทสีดำที่เพิ่งวิ่งเข้ามาพลันหน้าขาวซีด เมื่อในที่สุดเหตุการณ์ที่ร้ายที่สุดก็เกิดขึ้นจริง แม้เธอจะเตรียมใจไว้กับเรื่องนี้มาแล้ว แต่พอเจอเข้าจัง ๆ กลับพูดอะไรไม่ออก แต่เธอจะตกใจกับข่าวนี้นานไม่ได้ ในเมื่อตัวเองคือบอดี้การ์ดของหญิงสาวตรงหน้า คนที่จะช่วยให้อีกฝ่ายรอดพ้นเวลานี้ไปได้ก็มีแค่เธอเท่านั้น
“คุณหนู ตามฉันมาค่ะ” เหมยเหมยตั้งสติแล้วเริ่มพาตัวหวงหนิงที่กำลังจะโวยวายให้เดินตามไปด้วยกัน
ก่อนที่หวงเว่ยชิงจะเข้าไปอยู่ในคุกรอขึ้นศาล เขาได้บอกกับเธอไว้ว่าให้ดูแลหวงหนิงให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับเขาก็ตาม หวงหนิงต้องรอดและต้องอยู่อย่างไม่ลำบาก โดยที่เงินก้อนสุดท้ายจะถูกโอนเข้าบัญชีของหวงหนิงในอีกหนึ่งอาทิตย์ เมื่อถึงตอนนั้นเหมยเหมยจะต้องพาคุณหนูของตัวเองหนีออกไปจากประเทศ
“เธอจะพาฉันไปไหนน่ะ”
หวงหนิงโวยวาย แต่ไม่ทันไรประตูห้องสูทก็มีเสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับฝีเท้าของคนที่กรูกันเข้ามา
เหมยเหมยรีบเร่งฝีเท้าจนมาถึงสุดโถงทางเดิน เธอขยับแจกันข้าง ๆ จนเมื่อประตูลับเปิดออกก็ผลักหวงหนิงเข้าไป แล้วปิดประตูใส่อีกฝ่าย
“คุณหนูรีบหนีไปตามทางเดิน จะเจอทางออกที่เชื่อมกับประตูหลังของคอนโด ทางนี้เดี๋ยวฉันจะเป็นคนจัดการเองค่ะ” เหมยเหมยตะโกนบอกอีกฝ่าย ส่วนมือก็หยิบเอาปืนพกมาเช็กลูกกระสุน
“แล้วเธอละ เหมยเหมย! นอกจากพ่อฉันก็มีแค่เธอแล้วนะ” หวงหนิงรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร เธอก็โวยวายออกมา พยายามจะเปิดประตูออกไป แต่พบว่ามันเปิดได้แค่จากฝั่งข้างนอกเท่านั้น
“อย่าเป็นห่วงไปเลยคุณหนู เหมยเหมยจะคอยทวงเวลาเอาไว้เอง ไว้มีโอกาสเราคงจะได้เจอกันอีกครั้ง”
เหมยเหมยกดปุ่มปิดตายประตูลับจากนั้นเตรียมตัวเผชิญหน้ากับความตายที่กำลังมาเยือน ภารกิจสุดท้ายนี้คือทวงเวลาให้หวงหนิงหนีไปมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยความรู้เรื่องการยิง การป้องกันตัวทุกอย่างเธอพร้อมแล้วที่จะสละชีวิตเพื่อคนคนหนึ่งที่ช่วยเธอออกมาจากจุดต่ำสุดในชีวิต
ชีวิตแลกให้คนคนหนึ่งได้ หากมีค่ามากพอ ซึ่งเธอไม่คิดจะลังเลที่ต้องเสียสละ
นั้นคือความคิดสุดท้ายของเหมยเหมย ก่อนที่เธอจะสู้กับคนนับสิบด้วยกระสุนปืนเพียงคนเดียว แม้ร่างจะถูกยิงจนร่างกายทะลุเป็นพรุนเธอก็ยังฝืนยืนสู้จนวินาทีสุดท้ายของลมหายใจ
แล้วฟื้นมาอีกครั้งในร่างของคนไม่รู้จัก...
เฟยหมิงลืมตาขึ้นมาพบแต่ความมืดที่ดำสนิท ร่างกายนั่งอยู่บนเก้าอี้และถูกมัดเอาไว้ด้วยเชือก นางไม่อาจขยับตัวได้ แต่ริมฝีปากยังคงเป็นอิสระ พร้อมที่จะร้องเรียกหาความช่วยเหลือ แต่ทว่าการฟื้นกลับมาในครั้งนี้นั้นแตกต่างไป เมื่อนางมีความทรงจำจากโลกในอนาคต จำได้ว่าตัวเองได้ตายไปแล้วด้วยลูกกระสุนนับไม่ถ้วนภายในร่าง แต่ยามนี้กลับมาอยู่ในร่างของสตรีปริศนาที่ไร้ซึ่งความทรงจำนามว่าเฟยหมิง
เหมยเหมยที่ยามนี้กลายเป็นเฟยหมิงเม้มริมฝีปากแน่น มีหลายครั้งที่หวงเว่ยชิงจับนางมัดมือมัดเท้า ขังในห้องต่าง ๆ เพียงเพื่อที่จะสอนวิธีการเอาตัวรอดเวลาโดนจับตัว ดังนั้นนี่จึงเป็นอีกครั้งที่ไม่แตกต่างจากในวันวาน
หญิงสาวใช้ร่างกายสัมผัสถึงเชือกที่มัดตัวอยู่ก็พอเดาได้ว่ามันคือเชือกธรรมดา ไม่มีโซ่เหล็กหรือกุญแจอะไรพันธนาการเอาไว้ คนที่จับตัวนางมาคงจะประเมินฝีมือต่ำไปถึงคิดว่าเชือกธรรมดาจะจับตัวนางไว้ได้
“มีใครอยู่ที่นี่ไหม” เฟยหมิงร้องถามออกไป แต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับมามีเพียงแค่ความเงียบ
เมื่อมีใครอยู่ หญิงสาวก็เริ่มสะบัดผมของตัวเองไปมาจนปิ่นที่ปักผมอยู่หล่นลงไปที่พื้น ปล่อยให้ผมยาวสีดำสยายอยู่กลางหลัง จากนั้นก็ขยับตัวไปมาซ้ายขวาให้เก้าอี้นั้นโคลงเคลงจนล้มลงไปที่พื้น ขั้นตอนนี้นับเป็นจุดที่เจ็บที่สุดเมื่อเราไม่รู้ตัวว่าตัวเองจะปะทะกับพื้นตอนไหน นางได้แต่กัดฟันกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ ก่อนจะเริ่มไถลขยับไปตามพื้นพร้อมกับเก้าอี้เพื่อหาปิ่นปักผม เมื่อมือที่ถูกไขว้หลังหยิบเจอก็ดึงมีดเล็กและบางที่ซ่อนอยู่ข้างในออกมาตัดเชือกที่ข้อมือออก ในเวลาไม่นานนางก็เป็นอิสระจากพันธนาการทุกอย่าง
พอหลุดพ้นออกมาเฟยหมิงถึงได้เห็นว่าตัวเองถูกขังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมห้องหนึ่ง ที่มีคบเพลิงเพียงอันเดียวเป็นแสงส่องสว่าง หญิงสาวพลันถอนหายใจ คิดจะใช้เข็มที่ซ่อนปิ่นไขกุญแจประตูออกไป แต่แล้วนางก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากข้างนอกเสียก่อน
“เจ้าคิดว่านางฟื้นแต่ไม่เข้าไปตรวจดู แล้วเลือกที่จะไปตามข้ามาแทนอย่างนั้นหรือ”
เสียงที่ดังผ่านประตูเข้ามานั้นฟังดูเย็นชาอย่างน่ากลัว ไม่ว่าใครที่ได้ยินต่างก็ต้องใจสั่น แม้แต่เฟยหมิงที่อยู่ในห้องยังรู้สึกระวังตัวขึ้นมาทันใด ตั้งแต่ที่พบกันมา นางหลงคิดว่าฝีมือของประมุขหุบเขาผู้นี้อาจจะไม่มีมากเท่าไรนัก แต่ดูเหมือนว่านางจะประเมินอีกฝ่ายต่ำจนเกินไป
เสียงขลุ่ยของเขา... ช่างประหลาดนัก แม้จะไพเราะแต่ฟังแล้วกลับรู้สึกทรมานเจียนตาย หากนางจะกำจัดเขา จำเป็นต้องหาวิธีป้องกันเสียงนั้นก่อน
เฟยหมิงหลบอยู่อีกด้านหลังของประตูที่กำลังเปิดออก ร่างของชายหนุ่มในชุดสีขาวเดินเข้ามาด้วยหน้าเคร่งขรึม เมื่อเขาเข้ามาอยู่ระยะ นางก็พุ่งเข้าหาเขาพร้อมกับปิ่นปักผมที่ใช้แทนมีดมุ่งตรงไปที่หัวใจของอีกฝ่าย มุ่งหวังจุดตายอย่างแนวแน่ แต่แล้วกลับถูกแขนแข็งแกร่งกันเอาไว้ได้อย่างดิบดี ก่อนจะงัดแย่งเอาปิ่นจากมือไป
“เจ้า...”
“ท่าน...”
...รู้จักศิลปะการต่อสู้คราฟมาก้าได้อย่างไร
เฟยหมิงเบิกตาโพล่ง คนในอดีตไม่น่ารู้วิธีการต่อสู้แบบคราฟมาก้า การป้องกันตัวควรจะเป็นแบบไร้หลักการ แต่นี่เขากลับสามารถกันการโจมตีที่รุนแรงของนางได้ในองศาที่แสนจะพอดี
ทางฝั่งหยินหลันเองก็ตกใจไม่ต่างกัน ในเมื่อคนที่สอนเขาเรื่องนี้คือจินหมิง... แต่นางได้จากเขาไปแล้ว เขาคือคนที่เป็นพยานการตายของนาง และยังฝังร่างนั้นเองกับมือ ถึงศพจินหมิงจะหายไป แต่ก็ใช่ว่านางจะฟื้นขึ้นมาได้ เพราะมันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว
ไม่มีทางเป็นไปได้เลย...
“เจ้าคือใคร”
เขาถามแต่น้ำเสียงที่ถามนั้นอ่อนโยนลง แม้แต่ดวงตาสีดำเข้มนั้นยังประกายความคาดหวังบางอย่างออกมา สร้างความสับสนให้กับเฟยหมิง เหตุใดบุรุษน้ำแข็งตรงหน้าจึงอ่อนโยนทั้งที่นางพยายามจะฆ่าเขา
“ข้าคือคนที่ท่านจับตัวมาอย่างไรล่ะ” นางตอบเสียงแข็ง ไม่ว่าอย่างไรก็ยังไม่ยอมเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา
เขาจับปลายคางนางแล้วบีบคาดคั้นเอาคำตอบด้วยดวงตาที่กลับมาแข็งกร้าวอีกครั้ง แต่จินหมิงกลับต่อยเข้าไปที่ท้องของชายหนุ่มเต็มแรง
หยินหลันปล่อยมือก่อนจะถอยห่างไป ชายหนุ่มพยายามยืนตรงนิ่ง แม้จะจุกท้องมากเพียงใดก็ตาม
“ที่ข้าอยากจะรู้คือ เจ้ามีนามว่าอะไร”
“นามของข้านั้นสำคัญกับท่านด้วยหรือ จับขัง ข่มขู่ จุดจบคือความตายไม่ใช่หรืออย่างไร” นางเอ่ยถามย้อนเขากลับเสียงเย็นชา
“ใช่ มันสำคัญกับข้า”
แววตาคู่นั้นที่มองมา เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาราวกับน้ำและไฟ บางคราก็อ่อนโยน บางคราก็แข็งกร้าว ราวกับว่าคนที่เขาพยายามพูดถึงนั้นไม่ใช่นาง แต่เป็นใครบางคนที่มีใบหน้าเหมือนนางก็เท่านั้น
หรือว่าแท้จริงเขารู้เรื่องอดีตเกี่ยวกับเจ้าของร่างนี้... หรือว่าเขาคือสาเหตุที่เจ้าของร่างนี้ได้ตายจากไป หรือเป็นนางเองที่ตายแล้วลืมทุกสิ่งอย่างไปเสียเอง
แต่ไม่รู้ทำไม แม้จะพยายามปิดบังตัวตน เฟยหมิงก็อยากจะลองดูบางอย่าง หากเขารู้ว่านี้คือคนที่เขารู้จัก ชายหนุ่มจะทำอย่างไร
“ข้ามีนามว่าเฟยหมิง”
“หมิง...” เสียงของหยินหลันนั้นเลื่อนลอยเมื่อเอ่ยชื่อนางออกมา เสียงของเขาอ่อนโยนและอบอุ่นหัวใจของนางอย่างน่าประหลาด
ทุกอย่างแปลกไปตั้งแต่ที่นางได้พบเขา ความคุ้นเคยที่มากล้น มากยิ่งเสียกว่าสำนักนภาเงินที่นางจากมาเสียอีก
“ท่านจะทำอย่างไรกับข้า ก็รีบทำเถิด อย่าเสียเวลาไปมากกว่านี้เลย”
คำพูดของนางดูเย็นชาราวกับไม่สนใจชีวิต ราวกับคนที่พร้อมตายทุกเวลา เป็นเพียงแค่หมาก... ที่ทำให้หยินหลันนึกถึงสตรีคนนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เหมือนกันยิ่งนัก...”
มือของชายหนุ่มยื่นออกมา ท่าทางราวกับคนที่ยังเหม่อลอย เขาสัมผัสไปบนใบหน้าของเฟยหมิงอย่างอ่อนโยนขณะที่กอบกุมเอาไว้ราวกับสมบัติอันล้ำค่าและบอบบาง หากลงแรงแค่เพียงนิดก็อาจจะแตกสลายแล้วหายไป... อีกครั้ง
เฟยหมิงปัดมือหยินหลันออกก่อนจะถอยหลังออกไป
“ถ้าท่านไม่คิดจะฆ่าข้าเดี๋ยวนี้ เช่นนั้นก็อย่ามาแตะต้องตัวข้า”
หยินหลันลบเลือนดวงตาอบอุ่นออกไป มาดบุรุษผู้เย็นชาของเขากลับมาอีกครั้ง
“เจ้ากับข้ามีเรื่องอีกมากที่ต้องคุยกัน”
เขาพูดแบบนั้นก่อนจะมีข้ารับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามากระซิบบางอย่าง หยินหลันเหลือบตามามองที่นางอีกครั้งก่อนจะหันไปสั่งงานเหล่านักฆ่าที่เฝ้าประตู
“พานางไปเปลี่ยนชุดแล้วเฝ้าเอาไว้จนข้าจะกลับมา”
“ขอรับ ท่านรองประมุข”
เฟยหมิงถูกพาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ที่สะอาดขึ้นกว่าเดิม ระหว่างนั้นนางได้ผ่านเหล่าข้ารับใช้มากมายที่มองมายังตนเองด้วยสีหน้าประหลาดใจ ยิ่งเมื่อนางใส่ชุดสีขาวแบบที่คนที่แห่งนี้นั้นชอบสวมใส่ ทุกสายตาของคนคุมต่างมองมาราวกับเห็นผี พวกเขามีสีหน้าราวกับอยากจะถามอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เงียบไปแล้วขังนางไว้เอาในห้องห้องหนึ่ง
ฝันร้ายของนักฆ่าทุกคนคือการถูกศัตรูจับตัว และสัญชาตญาณภายในกายก็เริ่มเรียกร้องให้เฟยหมิงหาทางหนีออกไป
ถึงแม้ตอนแรกนางจะท้าทายรองประมุขหุบเขาผู้นั้นให้ฆ่าตนเอง แต่ก็ใช่ว่านางจะยอมแพ้แต่โดยง่ายขนาดนั้น จะกล่าวว่านางแสร้งทำตัวห้าวหาญเพื่อโยนหินถามทางก็ว่าได้
นักฆ่าเหมันต์คิดว่าพวกเขาสามารถควบคุมตัวเฟยหมิงได้ ทว่าพวกเขากลับได้ทำเรื่องผิดพลาดมหันต์ การที่คิดสรุปว่านางยอมที่จะรับชะตากรรมไม่คิดหนี จึงได้วางใจพานางมาอยู่ในห้องที่มีประตูหน้าต่างมากมายหลายบาน...
หญิงสาวเหยียดยิ้มมุมปากเล็กน้อยขณะที่เดินไปที่หน้าต่าง นางมองกลอนที่ล็อกเอาไว้ด้วยแววตาขบขัน ก่อนจะหยิบเอาเข็มที่ซ่อนเอาไว้ในปิ่นปักผมออกมา แล้วไขกุญแจที่ล็อกเอาไว้อย่างง่ายดาย ความแตกต่างของยุคสมัยทำให้การใช้ชีวิตในยุคอดีตนั้นรู้สึกง่ายดาย
ทันทีที่เฟยหมิงเปิดหน้าต่างออก ลมหนาวก็พัดปะทะใบหน้านาง สร้างความเจ็บแสบราวกับถูกกรีดด้วยใบมีด หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมามองภาพทิวทัศน์ตรงหน้า แล้วก็ต้องประหลาดใจอย่างหนักเมื่อเห็นรอบด้านของหุบเขาถูกปกคลุมไปด้วยหิมะราวกับอยู่ในฤดูเหมันต์ตามชื่อที่ตั้ง ทั้ง ๆ ที่ยามนี้คือฤดูคิมหันต์
เฟยหมิงร่างสั่นสะท้านไปด้วยความหนาวเย็นที่เริ่มครอบงำ ตอนที่นางอยู่ในตัวห้องพักหรือแม้แต่ห้องขัง อากาศภายในนั้นช่างอบอุ่นจนไม่รู้เลยว่าความจริงแล้วภายนอกจะมีอากาศหนาวที่โหดร้ายขนาดนี้อยู่ด้วย ทว่าอากาศไม่อาจฉุดรั้งนางเอาไว้ได้ ทันทีที่สำรวจรอบด้านเสร็จสิ้น ร่างบางในชุดสีขาวกลมกลืนไปกับหิมะรอบด้านก็วิ่งตรงเข้าไปในป่าหวังที่จะหาทางออก...
โดยที่ไม่รู้เลยว่าป่าแห่งนี้ไม่มีใครเคยหนีรอดออกไปได้
