บท
ตั้งค่า

บทที่3 ลุงกับยัยแคระ

3

เช้าวันรุ่งขึ้น

พ่อเลี้ยงชนะชลพยายามนับ1-10ในขณะที่ยืนเท้าสะเอวก้มลงมองคนที่ยืนเท้าสะเอวทำท่าเอาเรื่องตรงหน้า เขากำลังจะเข้าไปอาบน้ำแต่แม่ตัวเล็กที่นอนข้างๆ กันมาทั้งคืนก็กำลังจะเข้าไปเช่นกันศึกแย่งชิงห้องน้ำจึงเกิดขึ้น

“นี่ห้องเค้า เค้าต้องเข้าก่อน” เด็กเอาแต่ใจเอ่ยขึ้นหลังจากเล่นสงครามจ้องหน้ากันมานานจนเธอเริ่มเมื่อยคอที่ต้องเงยหน้าขึ้นมอง ถ้าผู้ชายตรงหน้าจะสูงน้อยกว่านี้สักนิดหรือเธอจะสูงกว่านี้สักหน่อยก็คงดีทำไมเธอรู้สึกเหมือนยืนคุยกับยักษ์อยู่ล่ะเนี่ย

“เธอมาทีหลังอาตื่นก่อน เธอไม่มีสิทธิ์มาทำตัวเอาแต่ใจแบบนี้กระแต” พ่อเลี้ยงชนะชลเอ่ยบอกชักเริ่มเข้าใจแล้วว่าคบหาเป็นเพื่อนกับหลานชายเขาได้ยังไง ก็เอาแต่ใจและไม่รู้จักโตด้วยกันทั้งคู่

“ไม่! ยังไงเค้าก็ต้องได้เข้าก่อน เลดี้เฟิร์ส เข้าใจมั้ย” สาวน้อยที่มักพูดถึงความเท่าเทียมระหว่างเพศเอ่ยออกมาอย่างเอาแต่ใจ

“ไหนเคยบอกเท่าเทียมไง อันนี้มันเรียกร้องสิทธิสตรีในโลกแห่งความเท่าเทียมชัดๆ” พ่อเลี้ยงชนะชลเอ่ยเยาะ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูแต่ด้วยความตัวเล็กของสาวน้อยทำให้เธอแทรกตัวเข้าไปในห้องน้ำได้ก่อน

“จะชนะท่านกระแตได้ยังเร็วไปสิบชาติลุง แบร่” กรรณณาราเอ่ยเยาะเย้ยก่อนจะแลบลิ้นใส่พร้อมถึงคำพูดอันแสนเจ็บปวดไว้ก่อนปิดประตูอย่างสบายใจเฉิบ

“ยัยลูกหมากระเป๋าเอ๋ย ลุงเลยเหรอฝากไว้ก่อนเถอะยัยแคระ” พ่อเลี้ยงหนุ่มเอ่ยคาดโทษก่อนจะนั่งรอยัยตัวแสบไปพลาง สายตาหันมองไปรอบ ๆ ห้อง ห้องของหญิงสาวถูกตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าอ่อน มีรูปถ่ายตั้งแต่เป็นทารกจนถึงรับปริญญาถูกแขวนไว้อย่างสวยงามเกือบทุกรูปจะมีเจ้าหลานชายตัวดีอยู่ในเฟรมตลอด ดวงตาคมจับจ้องรูปถ่ายต่าง ๆ อย่างเพลิดเพลินก่อนสาวตาจะเลื่อนไปเห็นถ้วยรางวัลต่าง ๆ พร้อมทั้งรูปคู่กับหลานชายเขาเรียงรายอยู่ในตู้โชว์กระจกทั้งสองสนิทกันมากแต่ความสัมพันธ์กลับไม่มีวันพัฒนาแล้วนับประสาอะไรกับเขาที่มาแม่ฮ่องสอนสัปดาห์ละครั้งแถมไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยอย่างเขาล่ะ ชีวิตคู่ที่มารดาและพี่ชายและคนอื่น ๆ ปรารถนาอยากให้เป็นมันจะเกิดขึ้นได้แน่เหรอ

“เฮ้อ!” พ่อเลี้ยงชนะชลถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจก่อนจะนอนลงเพื่อพักสายตา

กรรณณาราที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเปิดประตูห้องน้ำออกมาก่อนจะเหลือบไปเห็นคนร่วมห้องอย่างคิดไม่ตก เธอกับเขาต่างกัน ทั้งความคิด และวัยที่ต่างกันชีวิตครอบครัวมันจะไปรอดจริง ๆ เหรอ เป็นไปได้เธอไม่อยากจะแต่งงานกับใครด้วยซ้ำเพราะคิดเสมอว่าจะแต่งแค่ครั้งเดียวเท่านั้นดังนั้นจะต้องคิดให้ดีก่อนที่จะเลือก

‘คงต้องแล้วแต่ดวงล่ะนะ เฮ้อ!’ หญิงสาวคิดในใจก่อนจะเดินออกจากห้องไป

“อ้าวกระแตลงมาแล้วเหรอ ชลล่ะ” แม่เลี้ยงกานดาเอ่ยถามบุตรสาวที่เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร แต่ไร้แววบุตรเขยรุ่นน้อง กรรณณาราหน้ามุ่ยเมื่อมารดาถามถึงคนอื่นแทนที่ที่จะชวนเธอกินข้าวเช่นทุก ๆ วัน

“นอนอยู่มั้งคะ สงสัยรอเข้าห้องน้ำจนเผลอหลับไป” กรรณณาราเอ่ยบอกอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะตักข้าวต้มกุ้งเข้าปากและเคี้ยวมันอย่างเอร็ดอร่อย พ่อเลี้ยงกรณ์และภรรยามองลูกสาวคนสวยที่ไม่ยอมโตสักทีแล้วลอบถอนหายใจ เมื่อไหร่กระแตน้อยของพวกเขาจะโตสักที

“แล้วนี่เตรียมตัวพร้อมรึยังลูก” พ่อเลี้ยงไร่ส้มเอ่ยถามบุตรสาว กรรณณาราหันมองเจ้าของคำถามอย่างงุนงง เตรียมตัวอะไรกัน?

“ก็ชลจะกลับเชียงใหม่บ่ายนี้ จบงานเช้าแล้วลูกก็ต้องไปกับชลด้วย” เจ้าของไร่ส้มเอ่ยอธิบายเมื่อลูกสาวทำหน้างง

“ไม่ไปค่ะ แตจะอยู่กับพ่อกับแม่” หญิงสาวเอ่ยอย่างออดอ้อนก่อนจะลุกขึ้นไปกอดบิดาอย่างออดอ้อน “ให้แตอยู่นี่นะคะ”

“แต่งงานแล้วก็ต้องอยู่กับสามีจะอยู่กับพ่อแม่ได้ยังไง ฟังนะกระแตหนูโตแล้วและก็มีสามีแล้วต่อไปคนที่จะเป็นที่พึ่งพิงให้หนูคือชลไม่ใช่พ่อแม่อีกแล้ว อย่าดื้อกับพี่เขาให้มากนัก” แม่เลี้ยงกานดาเอ่ยบอกพร้อมใช้มือเรียวที่มีร่องรอยเหี่ยวย่นตามวัยลูบไล้ไปตามผมยาวสลวยของบุตรสาวก่อนจะเอ่ยต่อไป “แม่อยากให้แตแต่งงานแค่ครั้งเดียวมีสามีแค่คนเดียว แม่อยากให้แตประคับประคองชีวิตคู่ไปให้ตลอดรอดฝั่ง”

กรรณณาราฟังมารดาพูดอย่างไม่โต้แย้งแต่ในใจนึกหวั่น เธอกับชนะชลจะประคับประคองชีวิตคู่ไปได้ยังไงในเมื่อพูดกันยังจะเถียงกันเลย

“อรุณสวัสดิ์ครับพี่กรณ์ พี่กานต์” เสียงของพ่อเลี้ยงชนะชลทำให้สามคนพ่อแม่ลูกผละออกจากกัน พ่อเลี้ยงหนุ่มไม่พูดอะไรแค่มองก่อนจะนั่งลงข้างๆ กรรณณาราเขาลงมาตั้งแต่ที่แม่เลี้ยงกานดาเอ่ยกับหญิงสาวแล้วแต่ไม่อยากขัดจังหวะครอบครัวจึงหยุดอยู่จนบทสนทนาเงียบลงจึงส่งเสียงขึ้น

“ทานข้าวต้มก่อนสิชล แล้วบ่ายนี้จะกลับเชียงใหม่แล้วใช่มั้ย อยู่ต่อสักสองสามวันให้ยัยแตเตรียมตัวสักหน่อยได้มั้ย” พ่อเลี้ยงกรณ์เอ่ยถามลูกเขยหมาดๆ

พ่อเลี้ยงหนุ่มใหญ่ยิ้มขอบคุณแม่บ้านที่ยกชามข้าวต้มมาให้ก่อนจะเอ่ยตอบ “ความจริงคิดว่าเสร็จงานเช้านี้ก็จะกลับแล้ว แต่พอดีมีธุระเข้ามาพอดี คงจะกลับค่ำ ๆ วันนี้หรือไม่ก็บ่ายพรุ่งนี้ล่ะครับ”

“ดีเลย ยัยกระแตจะได้มีเวลาเก็บเสื้อผ้า”

“คงไม่ต้องเก็บเสื้อผ้าหรอกครับผมว่าต้องเปลี่ยนมากกว่า แต่งตัวอย่างกับเด็กม.ปลายแบบนี้ล่อตาล่อใจพวกคนงานกลัดมันเสียเปล่าๆ” ชนะชลเอ่ยพร้อมกับเบนสายตามามองร่างเล็กกะทัดรัดในชุดที่แต่งแล้วคล้ายเด็กม.ปลายมากกว่าสาวสะพรั่งวัย20 ก็อย่างว่าล่ะนะถ้าเป็นคนอื่นวัยนี้ยังเป็นนักศึกษาเพิ่งพ้นวัยมัธยมมาไม่นานอยู่เลยนี่นะ แต่คนที่เรียนมหาวิทยาลัยก่อนอายุและจบการศึกษาแล้วอย่างกรรณณาราเขาว่ามันไม่เหมาะนะ

“นี่อาชล เค้าไม่ใช่เด็กแล้วนะแล้วแต่งตัวแบบเนี่ยก็สมวัยด้วยอย่าทำตัวเป็นคนแก่หัวโบราณนัก เหมือนเด็กม.ปลายตรงไหน ชิ” กรรณณาราเอ่ยอย่างหมั่นไส้คนแก่หัวโบราณเธอไม่ได้แต่งตัวเหมือนเด็กซะหน่อยแค่หน้าเด็กเท่านั้น คนถูกหาว่าแก่ถึงกับสะอึก ให้ตายเถอะไม่เคยถูกหาว่าแก่เลยสักครั้งสาวๆ ที่มาชอบเขายังคิดว่าเขาเพิ่ง30ต้นเลย ‘ยัยกระแตป่านี่ยังไงชอบหาว่าแก่อยู่เรื่อย เจ็บจี๊ดที่หัวใจเลยแฮะ’

“กรรณณาราพ่อแม่สอนแล้วไม่จำรึไงถึงได้ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่แบบนี้ระวังจะถูกดัดนิสัย แบบไอ้ชัชยังน้อยไปอย่างเธออาว่าต้องโดนหนักกว่านั้น” พ่อเลี้ยงชนะชลเอ่ยบอกเขาเลือกใช้สั่งสอนแล้วไม่จำเพราะทราบดีว่าพ่อแม่ของหญิงสาวสั่งสอนเสมอแต่เธอไม่ค่อยจะฟังเสียมากกว่าก่อนที่จะขู่ขวัญหญิงสาวด้วยบทลงโทษที่หนักกว่าที่ชัชรินทร์เคยเจอ ด้านคนฟังถึงกับฉุนกึกเจ็บจี๊ดที่ถูกว่าถูกสั่งสอนแล้วไม่จำแต่ก็เกรงกลัวบทลงโทษที่ว่าอยู่บ้างเพราะเพื่อนทรยศมักจะมาเล่าให้ฟังบ่อย ๆ

“ชิ กลัวตายแหละ” กรรณณาราแกล้งเอ่ยทั้งที่ใจหวาดหวั่น

“เอาเถอะๆ ตกลงว่าของอื่น ๆ แม่จะให้คนส่งไปให้แล้วกัน ไว้พี่เขากลับตอนไหนก็กลับพร้อมพี่เขาไปพี่เขามีงานต้องทำอย่าเรื่องมากนะกระแตน้อยของแม่” แม่เลี้ยงกานดาเอ่ยบอกห้ามศึกที่ใกล้จะเกิดขึ้น ‘ทำไมถึงได้ทะเลาะกันนักนะสองคนนี้แต่ก็ดีโบราณว่าทะเลาะกันมาก ๆ จะมีลูกดก’

“เข้าใจตามนั้นนะกระแตน้อย” หนุ่มใหญ่เอ่ยด้วยเสียงล้อเลียนคำว่ากระแตน้อยซึ่งเขารู้มาว่ากรรณณาราไม่ชอบให้ใครเรียกนอกจากมารดาด้วยเหตุผลที่ว่าเธอโตแล้วไม่ใช่เด็กน้อย

“อย่ามาเรียกเขาแบบนั้นนะ” กระแตน้อยค้อนใส่ก่อนที่จะงุดหน้าลงทานข้าวเช้าเงียบ ๆ ในใจนั้นมีแต่คำบริภาษที่ส่งไปให้คนบังอาจมาเรียกชื่อต้องห้ามของเธอถูกพ้นออกมา ถ้าไม่ติดว่าพ่อกับแม่อยู่ตรงนี้เธอจะว่าคืนให้หน้าหงายเลยที่บังอาจมาเรียกชื่อนั้นของเธอ

เช้าวันนี้ครอบครัวของกรรณณาราและครอบครัวฝั่งเจ้าบ่าวตกลงกันไว้แต่แรกแล้วว่าจะทำบุญถวายสังฆทานหลังจากพิธีแต่งงานผ่านพ้นไปแล้ว ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวแต่กำหนดการของวันนี้ไม่ได้เปลี่ยนไป เช้าวันนี้สองครอบครัวจึงพากันไปทำบุญที่วัดทั้งช่วงเช้าและช่วงเพล

“แม่คะ เรื่องเรียนกระแตยังไม่ได้สละสิทธิ์นะคะ กระแตยังอยากเรียนถ่ายภาพอยู่นะคะ” หลังจากทำบุญเสร็จกรรณณาราก็เอ่ยขึ้นถึงความต้องการตอนแรกของเธอ ที่คิดไว้ว่าหลังจากชัชรินทร์หนีงานแต่งไปแล้วเธอจะไปเรียนต่อปริญญาอีกใบในสาขาที่เธออยากจะเรียน

“อยากเรียนก็เรียนสิลูก พ่อกับแม่ไม่ได้ห้ามนี่จ๊ะ”

“ไม่ห้ามแต่ก็กำลังจะโยนกระแตไปอยู่กับอาชล” หญิงสาวท้วง

“อ้าวก็หนูสอบเข้าที่มช.ไว้นี่จ้ะ มช.กับไร่ก็ไม่ได้ไกลกันนักไปกลับสะดวกกว่าที่นี่เยอะเลยไม่ใช่เหรอ?” คนเป็นแม่ท้วงกลับด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ

“ก็กระแตสอบเผื่อไว้เท่านั้นล่ะ ที่จริงกระแตสอบชิงทุนไว้ด้วยและก็ผ่านแล้วด้วย”

“แต่ถ้าลูกอยากจะไปเรียนต่างประเทศพ่อกับแม่ก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่มีข้อแม้ว่า...” พ่อเลี้ยงกรณ์ที่อยู่ไม่ไกลแทรกขึ้น

“ว่าอะไรคะ?”

“หนูต้องมีหลานให้พ่อกับแม่อุ้มสักคนก่อนค่อยไป” พ่อเลี้ยงกรณ์พูดแล้วก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ “พ่อให้หนูตัดสินใจเอานะ จะไปตอนนี้ก็แค่มีหลาน”

“กระแตเรียนที่มช.ก็ได้” หญิงสาวตอบอย่างไม่เต็มใจนักแต่ก็จำใจต้องเลือกทางนี้ ใครจะไปมีหลานให้พ่อกับแม่อุ้มกันเล่า ถ้าต้องมีแล้วใครจะเป็นพ่อของลูกล่ะ ก็ต้องเป็นตาคนเย็นชาชนะชลน่ะสิ ใครจะไปยอมมีลูกกับอิตาคนนี้กันล่ะ เป็นข้อเสนอที่เธอไม่รับเด็ดขาด ฝันไปเถอะ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel