บทที่7 งานพิเศษ
-เหตุการณ์ในอดีต-
“เป็นยังไงบ้างน้องปราง อาการดีขึ้นไหม?” เจ้านายสาวเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าปรางมีอาการไม่ค่อยดีมาตั้งแต่เช้าแล้ว
“…..” คนตัวเล็กทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรงพร้อมหยิบยาดมขึ้นสูดเข้าปอดเฮือกใหญ่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรถึงได้รู้สึกพะอืดพะอมวิงเวียนขนาดนี้
“เล่นอ้วกทั้งวันแบบนี้ เดี๋ยวก็ได้หมดแรงกันพอดี เจ๊ว่าปรางลางานไปพักก่อนเถอะนะ ขืนเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาแล้วจะยุ่ง”
“ค่ะเจ๊ งั้นปรางขอลาหยุดหนึ่งวันนะคะ”
ถ้าไม่จำเป็นหรือเจ็บปางตายจริงๆ คงไม่เอ่ยคำนี้ออกมา อาการป่วยที่เป็นอยู่ค่อนข้างหนักอยู่พอสมควรเลยกลัวทำงานได้ไม่เต็มที่
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเจ๊ให้เงินเอาไว้ไปซื้อข้าวซื้อยากินนะ”
“ขอบคุณมากค่ะเจ๊ดา”
“แต่จะว่าไป อาการแกเหมือนคนท้องเลยนะปราง ทั้งอ้วกพะอืดพะอมอยากกินแต่ของเปรี้ยวๆ”
ใบหน้าแสนหวานค่อยๆ ซีดเผือดเมื่อได้ยินในสิ่งที่เพื่อนร่วมงานพูดขึ้น นับตั้งแต่มีความสัมพันธ์กับรามิลในครั้งนั้น เธอก็เพิ่งนึกได้ว่าประจำเดือนขาดไปตั้งสามเดือนแล้ว
“ทะ…ท้องงั้นเหรอ!”
“เจ๊เห็นด้วยกับยัยริสานะ ปรางลองไปตรวจดูไหม หลายเดือนก่อนเจ๊เห็นออกไปกับแขกด้วยนิ”
“…..” ร่างบางไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านั้น เธอรู้สึกกลัวจนขาทั้งสองข้างหมดแรงจะก้าวเดิน
“แล้วแขกคนนั้นเขาได้ป้องกันหรือเปล่า?” ผู้เป็นเจ้านายถามด้วยความเป็นห่วง นอกจากรามิลแล้วก็ไม่เคยเห็นว่าปรางจะออกไปกับผู้ชายคนไหน
“ป้องกันค่ะ”
“แต่อย่างว่า บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่ป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก อาจจะทะลุยาคุมหรือถุงยางแตกก็เยอะแยะไป”
“…..” ปรางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เมื่อได้ยินประโยคนั้นจากเจ้านาย โชคชะตาคงไม่เล่นตลกกับเธอขนาดนั้น
ห้องเช่าแห่งหนึ่ง…
“สะ…สองขีด!” สองขาเรียวทรุดเข่านั่งลงบนพื้นอย่างหมดแรง เธอมองอุปกรณ์ตรวจครรภ์ที่อยู่ในมือก่อนจะเห็นว่ามันขึ้นขีดสีแดงสองขีด นั่นหมายความว่าเธอ…
“ท้องจริงๆ ด้วย”
“ฮึก!” คนตัวเล็กกอดเข่านั่งร้องไห้สะอื้นอย่างทำอะไรไม่ได้ ไม่คิดมาก่อนว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเธอ
ตึกตัก~ เสียงฝีเท้าของหญิงสาวดังขึ้นอย่างรีบร้อนเดินมาหยุดยืนที่หน้าคลับแห่งนึง เธอรู้ข่าวมาว่าวันนี้รามิลกับเพื่อนนัดกันมาดื่มฉลองกันที่นี่
ดวงตากลมโตวาดสายตามองหาเป้าหมายก่อนจะเห็นรามิลที่นั่งอยู่ไม่ไกล บริเวณรายล้อมของเขาเต็มไปด้วยสาวสวยมากหน้าหลายตาที่กำลังเอาอกเอาใจ
“รามิล!” หญิงสาวร้องเรียกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญคงไม่กล้าแบกหน้ามาหาเขาถึงที่นี่
“มีอะไร?”
“ขอคุยด้วยได้ไหม?”
“ถ้าจะคุยก็คุยตรงนี้ มีอะไรก็พูดมา” เขาพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะหันไปพูดคุยสังสรรค์กับพวกเพื่อนๆ โดยไม่ได้สนใจท่าทางกระวนกระวายใจของเธอเลยสักนิด
“ปรางทะ…ท้อง”
เสียงบริเวณโดยรอบสงบลงเมื่อสิ้นสุดประโยคนั้น สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมองไปยังคนตัวเล็กที่กำลังก้มหน้าสะอื้นร้องไห้
“แล้วยังไง มาบอกฉันทำไม?”
“ปรางท้องกับมิล!”
“…..” สิ้นประโยคนั้น แขนของเธอถูกกระชากอย่างแรงด้วยฝีมือของรามิล เขาฉุดกระชากลากถูให้เดินออกมาจากคลับพร้อมเหวี่ยงเธอเข้าใส่กำแพงอย่างแรงด้วยความโกรธจัด
“มะ…เมื่อกี้เธอว่ายังไงนะ?” รามิลเดินเข้าไปถาม สายตาของเขาตอนนี้มันเต็มไปด้วยความสับสน
“ปรางทะ…ท้อง”
“ท้องกับใคร?”
“ปรางนอนกับมิลแค่คนเดียว”
“แน่ใจแล้วใช่ไหม?”
“…..” คนตัวเล็กพยักหน้ารับทั้งน้ำตา ก่อนที่จะมาหาเขา เธอได้คิดสั้นโดยการไปทำแท้งที่คลินิกเถื่อน แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าทำจนต้องแบกหน้ามาหาเขาถึงที่นี่
“บัดซบ! ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้” รามิลยกมือทึ้งหัวราวกับสติแตก เขาไม่เคยพลาดท่าให้กับเรื่องแบบนี้
“…..”
“นี่เป็นแผนการของเธอใช่ไหม เธอตั้งใจจะจับฉันด้วยวิธีการโง่ๆ แบบนี้”
“เปล่านะ ปรางไม่เคยคิดแบบนั้นเลย”
“อย่ามาโกหก ทำไมฉันจะดูไม่ออกว่าเธออยากสบายทางลัดโดยการจับผู้ชายรวยๆ” หญิงสาวเบ้ออกมาด้วยความเจ็บเมื่อถูกบีบใบหน้าอย่างแรงด้วยอารมณ์เดือดดาล
“จะให้ปรางไปสาบานที่ไหนก็ได้ ปรางไม่เคยคิดแบบนั้นจริง”
“…..” เขาจ้องมองเข้าไปในแววตาของคนตัวเล็ก สีหน้าท่าทางของเธอกำลังบ่งบอกว่ากำลังกลัวเขาสุดขีด
“ไปเอาออกซะ!”
“รามิล!”
“ฉันยังเรียนไม่จบ งานการก็ยังไม่มีเป็นหลักเป็นแหล่ง แล้วก็ไม่พร้อมอะไรทั้งนั้น”
“…..”
“ทำตามที่ฉันสั่ง ไปเอามันออกซะ!”
“ปรางไม่กล้า ปรางทำไม่ได้”
“โธ่เว้ย!”
ปึก! หญิงสาวหลับตาปี๋เมื่อรามิลชกเข้ากำแพงตรงที่เธอยืนอยู่หลายครั้งเพื่อระบายอารมณ์
“ปรางขอเถอะนะ ช่วยเก็บเขาไว้ได้ไหม ยังไงเขาก็เกิดมาแล้ว”
“ถ้าจะเอาแบบนั้นก็ได้ แล้วก็อย่ามาหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน!”
“…..”
-เหตุการณ์ปัจจุบัน-
“สวัสดีค่ะคุณหมอแก้ว” ฉันกล่าวทำทักทายคุณหมอคนสวยที่มีน้ำใจอุตส่าห์มาเยี่ยมถึงหน้าห้อง
“น้องปริมเป็นยังไงบ้างคะ ได้ข่าวว่าเพิ่งออกจากโรงพยาบาล”
“มีไข้สูงค่ะหมอแก้ว แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว เพิ่งจะหลับไปเมื่อกี้เองค่ะ”
“อดทนนะคะคุณปราง รอให้น้องโตกว่านี้ ถ้าได้เข้ารักษาการผ่าตัดเดี๋ยวอีกไม่นานก็คงหาย”
“เชิญคุณหมอเข้ามานั่งในห้องก่อนค่ะ”
ครั้งนี้คุณหมอแก้วตาเดินตามเข้ามาในห้องเพราะอยากมาเยี่ยมน้องปริม
“เหมือนว่าคุณปรางจะดูเหนื่อยๆ อย่าลืมพักผ่อนเยอะๆ นะคะ ถ้าป่วยไปอีกคนเดี๋ยวจะยุ่งไปกันใหญ่”
“ปรางก็อยากพัก แต่ยังไม่มีเวลาเลย”
“น่าแปลกนะคะ คอนโดใหญ่ขนาดนี้ ทำไมสามีคุณไม่หาคนมาช่วยดูแลบ้าง คุณปรางทำคนเดียวคงจะเหนื่อยแย่”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ปรางทำคนเดียวไหว” ฉันยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างไม่คิดอะไร จะว่าชินก็คงไม่แปลก เพราะต้องทำงานบ้านคนเดียวทุกวัน
“เอ่อ…คุณหมอคะ?”
“คะ?”
“ปรางอยากหารายได้เสริม ว่าจะลองหาของมาขายดู คุณหมอว่าปรางควรขายอะไรดี?”
“ขายแซนด์วิชดีไหมคะ เดี๋ยวหมอช่วยเอาไปฝากขายให้ที่โรงพยาบาล รับรองว่าต้องขายดีแน่ๆ”
“ได้เหรอคะคุณหมอ ปรางเกรงใจ”
“ไม่ต้องเกรงใจเลยนะ คุณปรางก็เปรียบเสมือนเพื่อนแก้วคนนึง”
“ขอบคุณนะคะ” พอได้ยินแบบนั้นก็เริ่มมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยจะได้มีเงินเป็นของตัวเองเอาไว้ซื้อของดีๆ ให้ลูกโดยไม่ต้องขอเงินจากใคร
“ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกได้เลยนะ”
“…..”
แกร๊ก~ ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อรามิลเปิดประตูเข้ามาในห้องแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง
“ทำอะไรเยอะแยะ?” ดวงตาเฉี่ยวคมจ้องมองสิ่งของที่วางเกลื่อนกลาดอยู่บนโต๊ะด้วยความสงสัย มันคือวัตถุดิบอุปกรณ์เอาไว้ทำแซนด์วิช
“ปรางว่าจะลองทำขนมไปขายที่โรงพยาบาล”
“จะพาลูกออกไปเดินตะลอนๆ หากินหรือไงเหมือนตัวเองหรือไง”
“ไม่ใช่แบบนั้น ปรางจะฝากคุณหมอแก้วตาไปขายน่ะ ไม่ได้ไปขายเอง”
“หึ! ก็แค่เศษขนมปังจะได้สักกี่บาทเชียว” เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ พบางใช้สายตาดูถูกดูแคลนมองมาทางฉัน
ถึงมันจะไม่ได้เงินมากมายเท่างานที่เขาทำ แต่ถ้าเก็บไปเรื่อยๆ คงพอได้กำไรอยู่บ้าง เราสองคนแม่ลูกจะได้ย้ายออกไปจากที่นี่ ไม่ต้องอยู่เป็นหอกหนามทิ่มแทงใจเขาอยู่แบบนี้
“วันนี้มีอะไรกินบ้าง?”
“ปรางนึกว่ามิลกินข้าวนอกบ้านมาแล้ว เลยไม่ได้ทำอะไรไว้รอ”
“รีบไปทำสิ หิวจะตายอยู่แล้ว”
“งั้นรอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวปรางไปทำอะไรมาให้กิน”
“ซื่อบื้อ น่ารำคาญ!”
“…..” ถึงแม้ว่าเขาจะพูดเบาๆ แต่ฉันกลับได้ยินมันชัดเจนทุกคำ แต่ฉันเลือกที่จะไม่คิดอะไรมากแล้วรีบเดินออกมา
อาหารที่ฉันทำให้รามิลคือข้าวไข่เจียว มันง่ายแล้วก็สะดวกใช้เวลาไม่นานก็ได้กินแล้ว
“มีแต่ไข่เจียวนะ เหลือไข่ฟองสุดท้ายพอดี ของในตู้เย็นหมดยังไม่ได้ไปซื้อ”
“แล้วทำไมไม่ออกไปซื้อ มัวแต่นอนขี้เกียจสันหลังยาวอยู่หรือไง”
“วันนี้น้องปริมงอแงมาก เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยไปซื้อให้นะ”
“…..” เขาล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบเงินแบงก์พันปึกหนาวางลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์มากนัก
“ให้ปรางเหรอ?”
“เอาเงินไปซื้อของดีๆ มาไว้ให้ฉันกินบ้าง ไม่ใช่ให้กินแค่ไข่กับเศษผัก”
ฉันพยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะเก็บเงินที่เขาให้ใส่ลงในกระเป๋าสะพายที่วางอยู่
“มองหน้าฉันทำไม?”
“โทรศัพท์ปรางมันพังแล้วเลยอยากจะขอเครื่องเก่าของมิลเอาไว้ใช้ จะได้เอาไว้โทรติดต่อหามิล ไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่”
“…..”
รามิลไม่ตอบแต่เลือกที่จะโยนบางสิ่งบางอย่างให้ฉันแทน โชคดีที่ไหวตัวและรับมันทันไม่งั้นคงหล่นพื้นน่าเสียดายแย่เลย
“อะไร?”
“อยากได้โทรศัพท์ไม่ใช่หรือไง”
“แต่นี่มันเครื่องใหม่ของมิลไม่ใช่เหรอ?” ฉันก้มมองสิ่งของที่เขาโยนให้มาด้วยความงุนงง มันคือโทรศัพท์รุ่นเดียวกับของรามิลที่ใช้อยู่
ถ้าจำไม่ผิดราคามันค่อนข้างแพงมาก ซึ่งในชีวิตนี้ฉันเคยใช้โทรศัพท์ที่ราคาแพงที่สุดคือห้าพันเท่านั้นเอง
“ฉันมีหลายเครื่อง ถือว่าทำทานเอาบุญให้คนยากไร้”
“ขอบคุณนะ ปรางจะรักษาอย่างดีเลย”
“แอ้~” น้องปริมส่งเสียงร้องแล้วคลานไปกอดขาพ่อของเขาไว้แน่นในขณะที่รามิลกำลังนั่งกินข้าวอยู่
“มาหาแม่นะน้องปริม พ่อกินข้าวอยู่ห้ามกวนนะ” ฉันรีบเดินเข้าไปหาลูกเพราะกลัวว่าน้องปริมจะทำให้เขาหงุดหงิด แต่สิ่งที่รามิลทำคืออุ้มลูกให้ขึ้นไปนั่งบนตักแทน
“ที่บาร์ฉันมีตำแหน่งว่างพอดี พนักงานคนเก่าเพิ่งลาออกไป”
“มิลจะให้ปรางไปทำงานเหรอ?”
“จะทำหรือเปล่าล่ะ?”
“ทำสิ ปรางอยากทำงาน” ฉันรีบตอบแบบไม่คิดด้วยความดีใจ
“ว่าแต่มิลจะให้ปรางทำอะไร บอกมาได้เลย”
“พนักงานทำความสะอาด ฉันว่าตำแหน่งนี้เหมาะสมกับเธอที่สุดแล้ว”
“…..”
“ทำไม ทำไม่ได้เหรอ?”
“ปรางทำได้”
