บทที่6 คำพูดถากถาง
-โรงพยาบาล-
“ดูเอาเถอะ! จนป่านนี้แล้วลูกชายคุณหญิงยังไม่โผล่หัวมาเลย”
“…..”
“รู้ว่าลูกเข้าโรงพยาบาลแทนที่จะรีบมาหา แต่นี่อะไร! จะข้ามวันแล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงาหัว”
“…..” ฉันนั่งก้มหน้าเงียบมองน้องปรางที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง เมื่อคืนลูกมีไข้ขึ้นสูงฉันเลยตัดสินใจพามาโรงพยาบาลกลางดึก
น้องปริมเป็นโรคที่เกี่ยวกับหัวใจขั้นรุนแรงมาตั้งแต่กำเนิด ต้องได้รับการรักษาต่อเนื่องซึ่งมีแพลนว่าจะได้เข้าผ่าตัดเมื่อครบอายุสี่ขวบ
“ไม่เป็นไรนะปราง ยังมีแม่กับพ่ออยู่ตรงนี้ ถ้าผัวเรามันไม่เอาไหนก็พาหลานย้ายไปอยู่กับแม่”
“…..” ฉันได้แต่ฝืนยิ้มให้แม่และไม่ได้พูดอะไร เรื่องคนอื่นไม่ได้โฟกัสเพราะทุกวันนี้มีชีวิตอยู่ก็เพื่อลูกเท่านั้น
“ดูหนูปริมสิ เวลาหลับยิ่งเหมือนพ่อเขาไม่มีผิด ไอ้รามิลไม่คิดจะสงสารหนูบ้างเลยหรือไงกัน”
แม่เลื่อนมือไปลูบศรีษะน้องปริมที่นอนอยู่ด้วยความเอ็นดู ยิ่งเห็นสภาพลูกในตอนนี้ยิ่งรู้สึกสงสารจับใจ
แกร๊ก~ เราทั้งหมดหันไปมองตามเสียงเปิดประตู ก่อนจะเห็นว่าเป็นรามิลที่เดินเข้ามาใหม่
“ทำไมเพิ่งจะมาเอาป่านนี้ นับวันยิ่งจะเหลวไหล แกเป็นพ่อคนแล้วนะตามิล ทำไมไม่รู้จักหัดทำตัวให้มันดีๆ ต้องรอให้ลูกเป็นหนักกว่านี้หรือไงถึงจะสำนึกได้สักที!”
“…..” รามิลตวัดสายตามองมาทางฉันที่นั่งอุ้มลูกอยู่ เขาคงคิดว่าฉันเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้โดนพ่อดุแบบนี้ แต่เปล่าเลย…ฉันไม่ได้พูดหรือฟ้องอะไรทั้งนั้น
“ให้ความสนใจกับคนอื่นจนลืมคนในครอบครัว แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน!” ฉันสัมผัสได้ถึงความโกรธจัดผ่านน้ำเสียงของผู้เป็นพ่อ
“โชคดีนะที่เอาหนูปริมมาส่งโรงพยาบาลทัน ไม่งั้นคงเป็นหนักกว่านี้แน่!”
“ทุกคนอยากให้ผมมาก็มาแล้วไง ยังจะต้องการอะไรอีก”
“น้องปริมเป็นลูกแกนะ ทำไมแกไม่สนใจลูกบ้าง”
“ผมก็ไม่ได้ตั้งใจอยากจะให้เด็กนั่นเกิดมาสักหน่อย”
เพียะ! ใบหน้าหล่อเหลาหันไปตามแรงตบอย่างแรง ฉันนั่งมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความลำบากใจ เมื่อสถานการณ์เริ่มตึงเครียดกว่าที่คิดไว้
“ทำอะไรไว้ก็รับผิดชอบการกระทำของตัวเอง ถ้าน้องปริมเลือกได้ก็คงไม่อยากเกิดมาเป็นลูกแกเหมือนกันนั่นแหละ!”
“…..”
“อย่าทะเลาะกันเลยนะคะ ถือว่าปรางขอ” ฉันพูดเสียงเบาเพื่อให้คนทั้งสองใจเย็นลงบ้าง
“ฉันล่ะหมดคำจะพูดกับคนอย่างแกจริงๆ!”
“แล้วเรื่องที่จะพาน้องปริมย้ายเข้าไปอยู่กับแม่ที่บ้านใหญ่ หนูคิดว่ายังไงบ้าง” รามิลหันขวับมาจ้องหน้าฉันทันทีเมื่อได้ยินแม่พูดประโยคนั้น
“…..” พอได้เห็นสายตากดดันที่บังคับฉันทางอ้อม มันถึงกลับรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างบอกไม่ถูก รามิลคงไม่ยอมให้ฉันกับลูกเข้าไปอยู่บ้านใหญ่แน่ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ ปรางยังไม่สะดวกย้ายไป”
“งั้นถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกนะ เดี๋ยวแม่ให้คนมาช่วยเก็บของ”
“ค่ะ”
-เวลาต่อมา-
“คงอยากจะหอบลูกหอบเต้าเข้าไปอยู่บ้านฉันจนตัวสั่นเลยใช่ไหม” เป็นเหมือนที่คิดไว้ไม่มีผิด ทันทีที่พ่อกับแม่กลับบ้านไป เขาก็เริ่มเปิดประเด็นพูดคุยเรื่องนั้นทันที
“…..”
“คิดจะปอกลอกฉันไม่พอ นี่ยังคิดจะปอกลอกครอบครัวฉันอีกเหรอ?”
“มิลจะคิดยังไงก็แล้วแต่เถอะ แต่ปรางไม่เคยมีความคิดแบบนั้น” ฉันพูดด้วยความเหนื่อยล้าหมดแรงจะต่อล้อต่อเถียงกับเขาเต็มทน
“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าเธออยากได้สมบัติของฉันมากแค่ไหน”
“ไปกันใหญ่แล้วมิล ปรางไม่เคยคิดแบบนั้น”
“ถ้าไม่ได้คิดแล้วจะยอมปล่อยให้ตัวเองท้องทำไม?”
“ปรางก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้” ฉันพูดด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะเขาเองก็ป้องกันแต่แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้
“แต่ฉันว่าเธอคงคิดวางแผนมาก่อนแล้วมั้ง”
“เราไม่พูดเรื่องนี้กันแล้วได้ไหม ปรางไม่อยากให้ลูกได้ยิน” ฉันกอดลูกไว้แน่นเพราะไม่อยากให้น้องปริมได้ยิน ถึงแม้ว่าลูกจะยังไม่เข้าใจแต่ฉันก็เป็นห่วงความรู้สึกลูกมากที่สุด
“…..”
สองวันต่อมา…
“ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด42,500บาทค่ะ
รามิลหยิบบัตรเครดิตก่อนจะยื่นให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน น้องปริมนอนโรงพยาบาลแค่สองคืนถึงกลับเสียเงินไปตั้งหลายหมื่น
“ขอบคุณนะที่ช่วยจ่ายค่ารักษาให้น้องปริม”
“ถ้าฉันไม่จ่าย แล้วเธอมีปัญญาจ่ายเองหรือไง”
“มิลก็รู้ว่าปรางคงไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น เอาไว้ถ้าได้ทำงานแล้วจะชดใช้ให้นะ”
“ชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่พอ”
“…..”
“เธอพาลูกนั่งแท็กซี่กลับเองแล้วกัน พอดีฉันมีธุระสำคัญต้องไปทำต่อ”
“อืม” ฉันพยักหน้ารับอย่างไม่เรื่องมาก ก่อนจะอุ้มลูกแล้วหอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าอย่างทุลักทุเลเดินมารอขึ้นรถที่หน้าโรงพยาบาล
“ปราง!” เสียงปริศนาดังขึ้น ทำให้รีบหันหลังกลับไปมอง เขาคือชื่อหนึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของนุ่นเอง
“พี่หนึ่ง”
“มาทำอะไรที่นี่ ไม่สบายเหรอ?”
“ตัวเล็กเข้าโรงพยาบาลน่ะค่ะ”
“ว่าไงน้องปริม ไม่สบายอีกแล้วเหรอ” พี่หนึ่งเดินเข้ามาหยอกล้อน้องปริมด้วยความเอ็นดู เราสองคนถือว่าสนิทกันในระดับนึงเพราะฉันชอบพาลูกไปเที่ยวเล่นที่บ้านของนุ่นอยู่บ่อยๆ
“ตัวเล็กไม่สบายแต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วค่ะ ว่าแต่พี่หนึ่งมาทำอะไรที่โรงพยาบาลเหรอคะ?”
“พี่มาเยี่ยมเพื่อนน่ะ ปรางกำลังจะกลับบ้านใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ กำลังรอแท็กซี่อยู่ค่ะ”
“พี่ก็กำลังจะกลับเหมือนกัน งั้นไปด้วยกันสิ”
“ขอบคุณ…”
หมับ! ร่างของฉันเซถลาไปตามแรงดึง ในขณะที่กำลังจะเดินตามพี่หนึ่งออกมา
“ระ…รามิล จะทำอะไรน่ะ เบาหน่อยได้ไหม ปรางอุ้มลูกอยู่นะ” ฉันมองคนตัวโตด้วยความสงสัย ไม่คิดว่าเขาจะเดินตามออกมาถึงที่นี่
“จะไปไหน?”
“กำลังจะกลับบ้าน”
“ไปขึ้นรถ! เดี๋ยวฉันไปส่ง”
รามิลแย่งลูกไปอุ้มไว้เองก่อนจะฉุดกระชากฉันให้เดินออกมาจากพี่หนึ่งเพื่อมาขึ้นรถของเขาแทน
“ที่อยากออกไปทำงานกับมันเพราะเหตุผลนี้ใช่ไหม?”
“มิลพูดถึงอะไร ปรางไม่เข้าใจ”
“อยากออกไปหว่านเสน่ห์ ขาดผู้ชายไม่ได้ พอจับฉันไม่ได้เลยคิดอยากจะหาผัวใหม่จนตัวสั่น ฝันไปเถอะ!”
“ปรางไม่เคยคิดแบบที่มิลพูด อย่าดูถูกกันให้มากนัก”
“…..”
“มิลจะไปทำธุระไม่ใช่เหรอ ก็รีบไปสิ จะมาหาเรื่องกันทำไม”
“…..”
