บทที่5 เหตุการณ์ฉุกเฉิน
-เวลาต่อมา-
“สวัสดีน้องปริม แก้มยุ้ยขึ้นเยอะเลยนะ”
“…..” เสียงของนุ่นปลุกให้ฉันตื่นจากภวังค์ในขณะที่กำลังนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
“เด็กอะไรยิ่งโตหน้ายิ่งเหมือนพ่อ หน้าเกลียดน่าชังเสียจริง”
“แอ้ แอ้~” น้องปริมส่งเสียงร้องอ้อแอ้เมื่อมีคนพูดคุยด้วย ตอนนี้ลูกกำลังหัดคลานต้องดูแลระวังมากเป็นพิเศษ
“เป็นอะไรปราง?”
“…..”
“ยัยปราง! แกเป็นอะไร?”
“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร?” ฉันสะดุ้งตอบกลับไป พลางยกมือขึ้นลูบหน้าเพื่อตั้งสติ
“ทำไมนั่งเหม่อแบบนั้น?”
“แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
“รามิลเป็นยังไงบ้าง เขาดูแลแกดีหรือเปล่า?”
“เขาดูแลฉันกับลูกดี”
“แต่ทำไมแกดูไม่มีความสุขเลยล่ะ”
“…..” ฉันได้แต่ยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น เรื่องภายในครอบครัวมันค่อนข้างละเอียดอ่อนเลยไม่กล้าพูดหรือเล่าให้ใครฟัง
“ถ้าไม่มีความสุขก็ลองถอยออกมาดูไหม เดี๋ยวฉันช่วยเลี้ยงหลานเอง”
“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนุ่น น้องปริมไม่เหมือนเด็กทั่วไป ถ้าฉันออกมาจากเขา ลูกต้องลำบากมากแน่ๆ”
“แอ้~” เมื่อน้องปริมคลานเข้ามาหา ฉันจึงอุ้มลูกขึ้นมากอดไว้แนบอก ยิ่งมองหน้าลูกยิ่งรู้สึกสงสาร แม้แต่อ้อมกอดของพ่อก็ยังไม่เคยได้สัมผัส
“แล้วแกจะทนอยู่ให้เขาโขกสับแบบนี้น่ะเหรอ?”
“ฉันทนได้ ขอแค่ให้น้องปริมสบายก็พอ”
“แกยังมีฉันอยู่ทั้งคนนะปราง ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกมาได้เลย”
“ขอบใจแกมากนะที่เป็นห่วง แต่ฉันยังไหว”
“…..”
คอนโดรามิล
ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูดังขึ้นในขณะที่กำลังนั่งป้อนข้าวน้องปริมอยู่ในครัว ฉันอุ้มลูกขึ้นมากอดไว้แนบอกก่อนจะเดินไปเปิดประตู
“สวัสดีน้องปราง พี่เอาของมาให้ค่ะ”
เพื่อนบ้านคนสวยยิ้มให้อย่างใจดี เธอคนนี้ชื่อคุณแก้วตาเป็นหมอที่อยู่ข้างห้องของเราเอง
“สวัสดีค่ะคุณหมอแก้ว ได้อะไรมาฝากปรางเยอะแยะเลย?”
“พอดีพี่เพิ่งกลับจากสิงคโปร์เลยซื้อของเล่นกับเสื้อผ้ามาฝากน้องปริม” คุณหมอแก้วตาเป็นคนใจดี เธอมักจะเอาของมาฝากฉันกับลูกอยู่บ่อยๆ
“ส่วนอันนี้เป็นเสื้อผ้าของพี่เอาไว้ให้ปริมนะ บางตัวยังไม่ได้ใส่เลย”
“ขอบคุณหมอแก้วมากนะคะ ทีหลังไม่ต้องลำบากซื้อมาให้หรอกค่ะ ปรางเกรงใจ”
“ไม่ต้องเกรงใจ พี่เอ็นดูเรากับน้องปริมมากนะ”
“คุณหมอแก้วจะเข้ามาเล่นกับน้องก่อนไหมคะ?”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพี่ต้องรีบไปเข้าเวรแล้ว เอาไว้วันหลังจะมาเล่นด้วยนะ”
“ยินดีเลยค่ะ” ริมฝีปากบางยิ้มกว้างเมื่อเห็นข้าวของที่หมอแก้วตาเอามาให้ มีแต่ของดีๆ แพงๆ ทั้งนั้นเลย
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะ ตั้งใจจะผลาญเงินฉันให้หมดภายในวันเดียวเลยหรือไง!”
ฉันค่อยๆ หุบยิ้มลงเมื่อได้น้ำเสียงเสียงกระแทกกระทั้นของรามิล
“ไม่ใช่นะ ปรางไม่ได้ซื้อ คุณหมอแก้วตาเป็นคนเอามาให้”
“…..”
“เขาคงรักและเอ็นดูหนูปริมเลยซื้อมาฝาก เสื้อผ้าของคุณหมอที่เอามาให้มีแต่สวยๆ ทั้งนั้นเลย”
“ทำตัวเหมือนขอทาน ไม่เห็นจะต้องดีใจขนาดนั้น”
คำพูดแต่ละคำที่พรั่งพรูออกจากปากเขา มันเหมือนมีดแหลมที่ทิ่มแทงใจฉันซ้ำแล้วซ้ำอีก
“อ้ออ แอ้~” เสียงร้องของน้องปริมช่วยดึงสติของฉันให้กลับมา รามิลเหลือบสายตามองลูกเพียงนิด ก่อนที่น้องปริมจะยื่นมือเข้าไปหาคล้ายกับต้องการให้พ่อเป็นคนอุ้ม
“มีอะไรตัวเล็ก?”
“แอ้~”
“ลูกเธอพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ”
“น้องปริมคงอยากให้มิลอุ้ม”
“อยากให้พ่ออุ้มเหรอ” เขาก้มตัวลงไปอุ้มน้องปริมมาไว้แนบอก แต่นั่นไม่น่าตกใจเท่ากับที่เขาเรียกแทนตัวเองว่าพ่อ
“มองอะไร?”
“ปะ…เปล่า ไม่มีอะไร”
“ส่วนเธอจะไปทำอะไรก็รีบไป เดี๋ยวฉันดูลูกให้
“ถ้างั้นปรางไปตากผ้าก่อนนะ แล้วจะรีบมา”
เมื่อมีโอกาสจึงรีบเดินออกมาทำงานบ้านที่ทำค้างไว้ ถึงแม้คอนโดของมิลจะใหญ่มาก แต่ก็มีแค่ฉันที่ต้องทำงานบ้านทั้งหมดเพียงคนเดียว นอกจากเลี้ยงลูกกับทำงานบ้านในแต่ละวันก็แทบจะไม่มีเวลาได้ออกไปไหนแล้ว
“มิล!” ฉันร้องเรียกด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าเขากำลังป้อนบางสิ่งบางอย่างให้ลูกกิน
“จะเสียงดังทำไม?”
“ห้ามให้ลูกกินน้ำเย็น”
“กินนิดกินหน่อยไม่เห็นจะเป็นอะไร”
“ไม่ได้นะ เดี๋ยวน้องไม่สบาย” ฉันรีบเดินเข้าไปห้ามปราม น้องปริมร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงไม่ควรกินอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้
“แล้วใครมันจะไปรู้ เห็นลูกเธอมันร้องตามคิดว่าคงอยากกิน”
“ทีหลังห้ามให้น้องกินแบบนี้อีกนะ มิลก็น่าจะรู้ว่าลูกไม่เหมือนเด็กทั่วไป ควรระวังกว่านี้” น้ำเสียงที่พูดบ่งบอกว่าฉันกำลังไม่พอใจ
“จะอะไรกันนักกันหนา ถ้าเรื่องมากนักก็เอาไปเลี้ยงเอง!”
“…..”
-คลับหรูใจกลางเมือง-
“ว่าไงครับพ่อคาสโนว่า ทำไมวันนี้นั่งคอตกเป็นหมาเหงา” เชนเดินเข้าไปทักเพื่อนชายที่นั่งทำหน้าเครียดคล้ายกับมีเรื่องทุกข์ใจนักหนา
“รู้สึกเบื่อ”
“ชีวิตมึงดีจะตาย ยังต้องเบื่ออะไรอีก”
“…..”
“ลูกก็น่ารัก แถมเมียยังแสนดีเป็นแม่บ้านแม่เรือน มึงจะหาเมียแบบนี้ได้ที่ไหนอีก” ยอสพูดอย่างเห็นดีเห็นงาม ต่างจากรามิลที่ไม่ได้คิดแบบนั้น
“มึงอย่าพูดถึงยัยนั่นให้กูได้ยิน”
“กูไม่เข้าใจว่ามึงจะจงเกลียดจงชังอะไรเมียมึงนักหนา ถ้ากูเป็นปรางนะ กูคงไม่ทนอยู่กับมึงแบบนี้แน่ๆ” จากเคยเห็นใจเพื่อนชายที่ทำพลาดพลั้งมาจนถึงตอนนี้เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเห็นใจหญิงสาวแทน
ถึงแม้ว่ารามิลจะรับผิดชอบต่อเด็กที่เกิดมาแต่เขากลับทำร้ายจิตใจแม่ของลูกสารพัด
“แล้วทำไมต้องบอกว่าทน เงินเดือนกูก็ให้ใช้ คอนโดหรูก็มีให้อยู่ ชาตินี้ทั้งชาติยัยนั่นจะไปหาแบบนี้ได้ที่ไหนอีก!”
“สบายกายน่ะใช่ แต่ไม่สบายใจไง ในโลกใบนี้ กูว่าไม่มีใครทนมึงได้เท่าปรางอีกแล้ว”
“…..”
ครืด~ สมาร์ทโฟนเครื่องหรูแผดเสียงร้องดังเมื่อมีสายเรียกเข้า ชายหนุ่มปรายหางตาไปมองเพียงนิดหลังจากที่เห็นว่าเป็นปรางที่โทรเข้ามา
“รีบรับสายเธอสิ ปกติเมียมึงไม่เคยโทรตาม เผื่อวันนี้มีธุระสำคัญ”
“…..”
ติ๊ด! แต่สิ่งที่เขาทำคือเลือกที่จะกดตัดสายทิ้งแล้วปิดเครื่องหนีไปในที่สุด
วันต่อมา…
รามิลกลับเข้าคอนโดในช่วงสายของอีกวัน แต่วันนี้กลับรู้สึกแปลกเมื่อไม่ได้ยินเสียงของสองแม่ลูกเหมือนทุกครั้ง
“มัวแต่นอนขี้เกียจสันหลังยาวอยู่หรือไง สายป่านนี้ทำไมยังไม่ตื่นอีก” คนตัวสูงทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างไม่คิดอะไร
“…..” แต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงความเงียบ แค่นี้เขาก็รู้ได้ทันทีว่าไม่มีใครอยู่ก่อนหน้านั้น
“พาลูกไปไหน ทำไมไม่บอก”
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออกด้วยความหงุดหงิดใจ ปกติไม่ว่าจะพาลูกไปที่ไหนเธอต้องบอกหรือรายงานเขาทุกครั้ง
“ตอนนี้ปรางกับน้องปริมอยู่กับแม่หรือเปล่า?” รามิลกดเสียงใส่ปลายสายพลางหยิบมวนบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบอย่างใจเย็น เขาเลือกที่จะโทรหาผู้เป็นแม่แทนที่จะโทรหาเธอ
(มิลหายไปอยู่ไหนมา ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรบ้างเลยหรือไง)
“…..”
(น้องปริมไข้ขึ้นสูงเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แกมัวแต่ไปหดหัวอยู่ที่ไหน!?)
“…..”
