บทที่3 จะเอายังไง
“ตามิลอยู่ไหนเหรอหนูปราง?” ผู้เป็นแม่เอ่ยถามหญิงสาวที่กำลังนั่งเลี้ยงลูกอยู่ตามลำพังภายในห้องนั่งเล่นโดยไร้เงาของลูกชาย สีหน้าของปรางอิดโรยคล้ายกับคนพักผ่อนไม่เพียงพอ
“อยู่ในห้องค่ะ”
“อะไรกัน นี่มันจะเที่ยงแล้วนะ ทำไมตามิลถึงยังไม่ออกจากห้องอีก”
“…..”
“แทนที่จะตื่นขึ้นมาช่วยดูลูกบ้าง แต่นี่อะไร”
“รามิลคงทำงานเหนื่อยน่ะค่ะ” คนตัวเล็กพยายามอธิบายเมื่อเห็นว่าผู้เป็นแม่เริ่มโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว นับว่าเป็นเรื่องปกติที่เวลาอยู่ด้วยกันแล้วเขามักจะตื่นสายแบบนี้
“แม่ว่าเที่ยวเหนื่อยมากกว่าน่ะสิ ไอ้ลูกคนนี้ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ เดี๋ยวแม่ไปปลุกให้เอง”
หญิงวัยกลางคนเดินฟึดฟัดเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนโดยไม่ส่งสัญญาณใดๆ ก่อนจะเห็นว่าลูกชายกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วตามิล จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน”
“…..” ใบหน้าคมคายค่อยๆ สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงียหลังจากได้ยินเสียงรบกวนที่ดังข้างหู
“ตื่นขึ้นมาได้แล้ว!”
“ยัยนั่นไปฟ้องอะไรแม่อีกล่ะ” ชายหนุ่มหยัดตัวลุกขึ้นด้วยความหงุดหงิดใจ เพราะคิดว่าปรางที่เป็นตัวต้นเหตุ ทำให้เขาถูกแม่ดุด่าอยู่บ่อยๆ
“หนูปรางเขาไม่ได้ฟ้องอะไรแม่ทั้งนั้น รีบลุกขึ้นไปอาบน้ำ เสร็จแล้วจะได้ช่วยหนูปรางดูลูก”
“…..”
เวลาต่อมา…
“ปรางไปไหน?” รามิลเอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางวาดสายตามองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นหญิงสาวอยู่แถวนี้
“แม่ให้หนูปรางไปกินข้าว แกมาก็ดีแล้ว มาช่วยกันดูยัยหนู”
“น้องปริมขี้โรคจะตาย ตัวเล็กแค่นิดเดียวจับนิดจับหน่อยก็ป่วยแล้ว” เขามองไปยังลูกสาวที่กำลังส่งเสียงอ้อแอ้อย่างไร้เดียงสา หน้าตาของเด็กน้อยช่างละม้ายคล้ายคลึงกับเขาไม่มีผิดเพี้ยน
“แต่แกควรจะอุ้มลูกบ้างนะ จะได้แบ่งเบาภาระหนูปรางบ้าง เลี้ยงลูกเหนื่อยจะตายไป”
“ไม่เอาหรอก ผมเลี้ยงเด็กไม่เป็น”
“แง้งงงง” เด็กน้อยแบะปากร้องไห้คล้ายกับรู้ภาษาในสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดคุยกัน
“ร้องทำไมนักหนา ยัยเด็กขี้โรค” รามิลพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้จริงจังมากนัก ก่อนจะเลื่อนมือไปบีบแก้มของเด็กน้อย
“อุ้มลูกเร็วสิ มัวแต่นั่งมองอยู่ได้”
“…..”
-PRANG PART-
“เป็นไงบ้างคุณปราง กับข้าวฝีมือป้ายังอร่อยเหมือนเดิมไหม?” ป้าสมใจเอ่ยถามฉันที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่ในครัว
ป้าสมใจคือหัวหน้าแม่ครัวประจำบ้านที่มีฝีมือชั้นยอดทำอาหารได้ทุกประเภท แถมยังอร่อยทุกอย่างเลย
“อร่อยเหมือนเดิมเลยค่ะ” ฉันตอบพร้อมตักข้าวคำโตใส่ปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย กลับมาบ้านใหญ่ทีไรได้กินแต่ของดีๆ ทั้งนั้นเลย
“ถ้าอร่อยก็ทานเยอะๆ นะคะ ป้าว่าคุณปรางผอมลงไปเยอะเลย”
“…..”
“คุณปรางเลี้ยงลูกคนเดียวแถมยังทำงานบ้านเองอีกคงเหนื่อยแย่เลยใช่ไหม”
“เหนื่อยมากเลยค่ะ แต่ต้องอดทน”
“ทำไมไม่บอกให้คุณรามิลหาคนมาช่วยล่ะคะ”
“…..” ฉันได้แต่ยิ้มบางๆ โดยไม่พูดอะไรไปมากกว่านั้น การจ้างคนเพิ่มเท่ากับต้องสิ้นเปลืองมากขึ้น ฉันเลยต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมดเพื่อจะได้ลดภาระค่าใช้จ่าย
เมื่อกินข้าวและทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย ฉันจึงเดินไปหารามิลที่นั่งเล่นอยู่ตรงสวนหลังบ้าน
“มิลว่างหรือเปล่า พอดีปรางมีเรื่องอยากจะคุยด้วย”
“เงินที่ให้ไปใช้หมดแล้วหรือไง คราวนี้จะขอเพิ่มเท่าไหร่?”
“เปล่าหรอก ไม่ใช่เรื่องนั้น”
“ถ้าไม่ใช่เรื่องเงินแล้วเป็นเรื่องอะไร ปกติเห็นถนัดขอแต่เงินฉันอยู่แล้วนิ”
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อได้ยินประโยคนั้น สายตาที่เขามองมามันเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลนฉันหนักหนา
“เดือนหน้าปรางว่าจะไปหาสมัครงานจะได้แบ่งเบาภาระช่วยมิล อย่างน้อยก็ยังพอได้ช่วยจ่ายค่านมลูกได้บ้าง” จากที่เคยคิดว่าจะรอให้ลูกโตกว่านี้ พอได้ยินที่รามิลบอกฉันคงต้องรีบออกไปหางานเพราะค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนมันมากจริงๆ ไม่อยากให้เขาต้องมารับภาระอยู่คนเดียว
“เด็กใจแตกเรียนก็ไม่จบอย่างเธอ ใครจะรับเข้าทำงาน”
“เป็นร้านของพี่ชายนุ่นเอง เขาบอกว่าจะให้ปรางไปเป็นแคชเชียร์คอยคิดเงิน ได้เงินเดือนตั้งสองหมื่นเลยนะ ถ้าได้เงินจากส่วนนั้นคงช่วยแบ่งเบาภาระมิลได้เยอะเลย”
“แล้วใครจะดูลูก?”
“ปรางว่าจะ…”
“ไม่ต้องไป! สภาพซื่อบื้ออย่างเธอจะไปทำอะไรได้ อยู่บ้านเลี้ยงลูกนั่นแหละ”
“…..”
